แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 633 เสียงกระซิบจากเพื่อนบ้าน
ตอนที่ 633 เสียงกระซิบจากเพื่อนบ้าน
รถไฟมาถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็วฉับไว
ทันทีที่พวกเขาลงจากรถไฟ สองพี่น้องไป๋ก็ประกบติดไป๋ซวงทั้งทางซ้ายและทางขวา ซึ่งทำให้ไป๋ซวงรู้สึกอึดอัดมาก
หล่อนถามอย่างเก้อเขิน “พวกพี่จะมายืนประกบซ้ายขวาฉันทำไมคะ? ฉันอึดอัดนะ”
ไป๋เซี่ยผายมือ “เราก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้นักหรอก แต่ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ เธออาจวิ่งไปหาป้าข้างบ้านตอนเราเผลอเพื่อขอให้หล่อนเป็นพยานเท็จให้ และช่วยยืนยันว่าเธอและม่ายจื่อไม่เคยพบกันมาก่อน หากเป็นแบบนั้นเราจะทำยังไง? เธอมีแม่คอยถือหางเธออยู่แล้ว หากป้าข้างบ้านให้การเท็จอีก แม่จะต้องมั่นใจว่าม่ายจื่อโกหกแน่ เราไม่อาจปล่อยให้ม่ายจื่อรับผิดได้ ดังนั้นเราต้องเฝ้าเธอให้ดีและไม่เปิดโอกาสให้เธอสมรู้ร่วมคิดกับใครเพื่อให้การเป็นพยานเท็จ”
ไป๋ซวงดูอึดอัดมาก
อันที่จริงหล่อนวางแผนการแบบนั้นไว้ในใจ แต่ตอนนี้แผนการนั้นคงเป็นหมันไปแล้ว
และหล่อนก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากแม่ไป๋ได้
บนรถไฟ พ่อไป๋ตำหนิแม่ไป๋ต่อหน้าหล่อนพร้อมบอกกล่าวถึงเหตุผล
เขาบอกให้แม่ไป๋ปฏิบัติต่อหลินม่ายและไป๋ซวงอย่างยุติธรรม ไม่ควรปกป้องไป๋ซวงอย่างไร้เหตุผล และไม่ควรตำหนิหลินม้ายอย่างไรเหตุผลเช่นเดียวกัน
หากแม่ไป๋ยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ เขาจะส่งไป๋ซวงกลับกลับไปยังตระกูลหลิน
เขาทนไม่ได้ที่เห็นลูกสาวของตนถูกไป๋ซวงวางแผนต่อต้านตลอดเวลา
ไป๋ลู่เองก็บอกกล่าวต่อแม่ไป๋ด้วยเหตุและผล
พ่อและลูกสาวต่างบอกกล่าวต่อแม่ไป๋ว่า หล่อนปฏิบัติตนดุจคนเสียสติ ลำเอียงและเข้าข้างไป๋ซวงอย่างไรเหตุผล
ทำให้ไป๋ซวงรู้ว่าถึงหล่อนจะขอความช่วยเหลือจากแม่ไป๋ตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์
แม่ไป๋กำลังถูกล้างสมองจึงเป็นการยากที่จะขอความช่วยเหลือ ดังนั้นหล่อนจึงต้องหาทางแก้ไขวิกฤตด้วยตัวเอง
คนกลุ่มหนึ่งเดินมายังประตูลานบ้านและทันเห็นป้าโหยวกลับมาจากการซื้อของชำ
ป้าโหยวทักทายพ่อไป๋และแม่ไป๋อย่างอบอุ่น “กลับมาจากไปเที่ยวเจียงเฉิงแล้วเหรอ?”
พ่อไป๋พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วถามป้าโหยวถึงวันก่อนวันชาติปีที่แล้วว่ามีผู้หญิงที่ดูเหมือนภรรยาของเขามาคุยกับไป๋ซวงหรือไม่?
แม้ว่าเขาจะเชื่อในตัวหลินม่าย แต่แน่นอนว่าภรรยาของเขาไม่เชื่อ ดังนั้นเขาจึงถามเพื่อให้หล่อนเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อหน้าต่อตาแม่ไป๋
ป้าโหยวพยักหน้า “มีสิ ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงดูเหมือนคนรักของคุณ แต่ยังแต่งตัวทันสมัยมากด้วย ฉันจ้องมองชุดหล่อนอยู่ตั้งนานเพราะคิดว่าจะเลียนแบบเพื่อให้ลูกสาวของฉันสวมใส่”
จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ ๆ พวกคุณถึงถามเรื่องนี้กับฉันล่ะ?”
พ่อไป๋กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเราน่ะครับ”
ป้าโหยวตะลึงงัน “มิน่าล่ะ ตอนที่ฉันเห็นหล่อน ฉันก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นดูคล้ายคลึงกับภรรยาของคุณมาก ขนาดยังไม่รู้ ฉันยังคิดเลยว่าหล่อนเป็นลูกของคุณ!”
หล่อนกระซิบถาม “ในเมื่อหล่อนเป็นลูกของพวกคุณ แล้วทำไมถึงไม่ได้เติบโตในครอบครัวของพวกคุณล่ะ?”
พ่อไป๋ถอนหายใจ “เรื่องมันยาวครับ”
แต่เขาก็พยายามเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างกระชับให้ป้าโหยวฟัง
ในเวลานั้น ครอบครัวพ่อตาของเขาถูกส่งไปที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในหูหนานและหูเป่ย
ภรรยาของเขาซึ่งกำลังตั้งท้องกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ได้รับประทานอาหารดีๆ จึงเดินทางมาด้วยเพื่อคอยปรนนิบัติ
เมื่อไปถึงฟาร์ม ฝนก็ตกและถนนก็เต็มไปด้วยโคลน
หล่อนบังเอิญหกล้มอย่างรุนแรง ส่งผลทำให้ถุงน้ำคร่ำแตก จึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและผ่าคลอดในทันที
โรงพยาบาลแห่งนั้นบังเอิญสลับตัวลูกของพวกเขากับลูกของคนอื่น ดังนั้นลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขาจึงไม่ได้เติบโตในบ้านหลังนี้
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ป้าโหยวก็อุทาน “โอ้ ฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีแค่ในละคร แต่กลับกลายเป็นว่าเกิดขึ้นในชีวิตจริงซะนี่!”
หลังจากทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน พ่อไป๋ก็เปิดประตูบ้านและนำครอบครัวของเขาเข้าไปข้างใน
ป้าโหยวคว้าตัวแม่ไป๋ไว้และกล่าวอย่างแผ่วเบา “อย่าเพิ่งไป ฉันมีอะไรจะบอกเธอ”
ไป๋ซวงตระหนักได้ทันทีว่าแม่ไป๋ไม่ได้ติดตามมา หล่อนก็พลันตื่นตระหนก
หล่อนเหลียวหลังไปและพบป้าโหยวกำลังดึงแขนแม่ไป๋เดินออกไปไกล
หล่อนรีบเดินไปหาแม่ไป๋เพราะอยากจะได้ยินว่าป้าโหยวจะพูดอะไรกับแม่ไป๋
ป้าโหยวกล่าวต่อหล่อนทันที “ฉันต้องการคุยกับแม่เธอเป็นการส่วนตัว เธอจะมาทำไม?”
ไป๋ซวงยิ้มอย่างไร้เดียงสา “แม่ของหนูอยู่บนรถไฟมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว และคงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย หนูต้องอยู่ดูแลแม่น่ะค่ะ”
แม่ไป๋ขมวดคิ้ว “แม่อยู่ไม่ไกลจากประตูบ้านนัก ลูกเข้าไปก่อนเถอะ แม่ไม่เป็นอะไรหรอก”
ไป๋ซวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับเข้าไปในบ้าน
ป้าโหยวพูดคุยกับแม่ไป๋อย่างมีเลสนัย
วันนั้นหลินม่ายมาที่นี่เพื่อพบไป๋ลู่ แต่ไป๋ซวงกลับหลอกลวงจนเธอกลับไปมือเปล่า
ท่าทางป้าโหยวดูจริงจัง “ฉันไม่เข้าใจเบยว่าทำไมไป๋ซวงถึงพยายามหลอกลวงหล่อน? แต่พอได้ฟังเรื่องราวก็เข้าใจทันทีว่า ไป๋ซวงคงรู้ว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของคุณ ดังนั้นจึงคิดขับไล่หล่อนไปให้ไกล ไป๋ซวงมีแผนการในใจแบบนี้…มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ พวกคุณควรระมัดระวังให้มาก”
แม่ไป๋เจอสถานการณ์เหล่านี้มานานแล้ว แม้แต่คนภายนอกก็รู้สึกว่าเจตนาของไป๋ซวงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัดมาก ดังนั้นหล่อนจึงเดินเข้าบ้านอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เมื่อเห็นว่าหล่อนมีสีหน้าผิดปกติ ไป๋ซวงก็ถามด้วยความเป็นห่วง “แม่เป็นโรคลมแดดหรือเปล่าคะ?”
หล่อนเอ่ยถามพลางเปิดพัดลมและรินน้ำเย็นให้แม่ไป๋ดื่ม
ไป๋ลู่และไป๋เซี่ยมองไป๋ซวงอย่างดูถูก ผู้หญิงคนนี้ประจบแม่ไป๋เก่งเสียจริง!
แม่ไป๋มองไปยังไป๋ซวงด้วยแววตาสับสน ความรู้สึกมากมายปรากฏในใจ
ไป๋ซวงเป็นลูกสาวที่หล่อนเลี้ยงดูราวกับแก้วตาดวงใจมาตั้งแต่เด็ก และคิดมาตลอดว่าหล่อนเป็นเด็กว่าง่ายและน่ารัก ไม่เคยคาดคิดเลยว่าหล่อนจะมีความคิดชั่วร้ายแบบนี้
หล่อนไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับไป๋ซวงอย่างไรอีกต่อไป
หากจะปฏิบัติต่อไป๋ซวงเป็นอย่างดี หล่อนก็รู้สึกสงสารหลินม่าย เพราะนั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของหล่อนเอง
แต่หากจะปฏิบัติกับหล่อนไม่ดี แม่ไป๋ก็คงดูใจร้ายมากเกินไป เพราะเด็กคนนี้เพิ่งข้ามผ่านความทุกข์ทรมานจากการกลั่นแกล้งของหลินเพ่ย
แม้ว่าหลินม่ายจะซื้อที่นอนให้ครอบครัวของไป๋ลู่ แต่ก็ยากที่จะนอนหลับสบายบนรถไฟ
หลังมื้ออาหารเช้า ทั้งครอบครัวก็เข้านอน
ไป๋ซวงนอนบนเตียงของตัวเอง แต่ไม่อาจหลับใหล เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวภายนอก
บริเวณนอกลานบ้านเต็มไปด้วยความเงียบงัน
หล่อนลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังประตูห้องอย่างเชื่องช้า แง้มประตูเล็กน้อยแล้วมองออกไปข้างนอก
ประตูห้องทั้งหมดถูกปิดอย่างแน่นหนา
หล่อนแอบออกจากบ้านอย่างเงียบงันและวิ่งไปที่โรงพยาบาลฉือซิน
เมื่อครั้งยังอยู่ที่เจียงเฉิง ครอบครัวไป๋เคยบอกว่าหากกลับไปถึงปักกิ่งจะนำไป๋ซวงไปตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อดูว่ามีอาการแน่นหน้าอกหรือไม่
หล่อนกำลังจะเดินเข้าไปทักทายหัวหน้าพาน หัวหน้าแผนกห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลฉือซิน พ่อแม่ของเธอพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลและพวกเขาก็เขียนผลการทดสอบทั้งหมดให้เธออย่างจริงจัง
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหล่อนป่วยจริงหรือไม่ และร้ายแรงเพียงใด
และเพื่อพิสูจน์ว่าฟางจั๋วหรานบิดเบือนผลการตรวจทั้งหมดหรือไม่
เพราะหากเป็นเช่นนั้น เธอจะได้ใช้ผลตรวจของโรงพยาบาลฉือซินเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง
ไป๋ซวงพยายามครุ่นคิดว่าหล่อนจะเอาตัวรอดจากการตรวจโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่กำลังจะมาถึงได้อย่างไร
โดยไม่รู้เลยว่ามีรถคันหนึ่งสะกดรอยตามหล่อนไปยังโรงพยาบาล และพ่อไป๋ก็นั่งในรถคันนั้นอย่างเงียบงัน
ในตอนเที่ยง พวกเขาแสร้งทำเป็นหลับ แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเฝ้าดูไป๋ซวงอย่างลับ ๆ
หลังจากที่ไป๋ซวงออกจากบ้านอย่างลับ ๆ พ่อไป๋ก็จ้างรถสามล้อมาเพื่อนำคนที่เหลือในครอบครัวขึ้นรถและแอบติดตามไป๋ซวงไป
เมื่อเห็นว่าไป๋ซวงกำลังเดินอย่างรวดเร็ว แม่ไป๋ก็รู้ทันทีว่าเธอไม่ได้ป่วย
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้
หัวใจของแม่ไป๋พลันเย็นชา ไม่คาดคิดว่าไป๋ซวงจะโกหกทั้งครอบครัวด้วยการแกล้งป่วย
ที่ผ่านมาหล่อนเอาแต่คิดถึงสภาพร่างกายของไป๋ซวงจนนอนไม่หลับ
เมื่อพวกเขามาถึงโรงพยาบาลฉือซิน ไป๋ซวงก็เรียกหัวหน้าพานออกมา
หัวหน้าพานไม่แสดงสีหน้าใด ๆ พยักหน้าและตกลงตามที่หล่อนขออย่างเชื่อฟังราวกับหุ่นเชิด
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน ไม่นานหัวหน้าพานก็หันกลับมาและกำลังจะจากไป แต่เขาก็เห็นสมาชิกทั้งสี่ของครอบครัวไป๋ยืนอยู่ข้างหลังและกำลังจ้องมองมายังตน ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
ไป๋ซวงก็เห็นแม่ไป๋และคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน พลันรู้สึกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
หล่อนเอ่ยถามตะกุกตะกัก “ทุก... ทุกคนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”
พ่อไป๋มีสีหน้าซีดเซียว “โชคดีที่เราแอบติดตามเธอมา ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รู้ว่าเธอวางแผนชั่วร้ายและติดสินบนหัวหน้าแผนกเพื่อโกหกเราว่าป่วย!”
หัวหน้าพานกล่าวอย่างรวดเร็ว “ลูกสาวของคุณไม่ได้ติดสินบนผม แต่หล่อนจะแบล็กเมล์ผม”
พ่อไป๋รู้สึกประหลาดใจมาก “หล่อนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะมีความสามารถในการแบล็กเมล์คุณได้ยังไง?”
“หากเป็นเด็กสาวธรรมดาคนอื่น ๆ ก็คงทำไม่ได้ แต่ไป๋ซวงของคุณมีความสามารถ!”
เมื่อครั้งไป๋ซวงอายุสิบสองปี หล่อนเคยขอให้หัวหน้าพานเคยออกเอกสารเท็จเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจให้หล่อน แต่เขาปฏิเสธ
หล่อนพลันเคลื่อนไหวโดยไม่คาดคิด ถอดกระโปรงสั้นตัวที่สวมใส่อยู่ออก
แม้เขาจะบอกว่าไม่เห็นด้วย แต่หล่อนก็ยังพยายามจะยั่วยวนเขา
แน่นอนว่าหากผู้ใดได้มาเห็นฉากนี้เข้าพอดี ต่อให้เขาจะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ไม่อาจชำระความผิดครั้งนี้ได้
เขาพยายามเกลี้ยกล่อมไป๋ซวงให้สวมใส่เสื้อผ้ากลับคืน ทว่าไป๋ซวงไม่เพียงปฏิเสธที่จะใส่ แต่ยังบังคับให้เขาเขียนคำสารภาพโดยบอกว่าเขาทำอนาจารหล่อน
หากเขาไม่เขียน หล่อนจะตะโกนโวยวายในที่แห่งนั้นเพื่อให้คนทั้งแผนกวิ่งเข้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น
หัวหน้าพานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของหล่อนอย่างเชื่อฟัง
ตั้งแต่นั้นมา หัวหน้าพานก็ถูกเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกของเขาคนนี้บังคับให้ปลอมแปลงใบตรวจให้หล่อน
หัวหน้าพานกล่าวอย่างเฉยเมย “หากคุณจะส่งผมให้กับตำรวจก็ตามสบายเลยครับสถานการณ์ปัจจุบันของผมในตอนนี้คือ ยื่นหัวถูกแทงแผลหนึ่ง หดหัวก็ถูกแทงอีกแผล(1) ไม่ว่ายังไงก็ต้องตายอยู่ดี”
เขาปลอมแปลงผลการตรวจ หากมีคนรับรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลอย่างแน่นอน
หากไม่มีงานก็จะไม่มีรายได้ แล้วเขายังจะต้องกลัวจดหมายสารภาพในมือของไป๋ซวงอีกเหรอ?
เขาถูกต้อนให้จนมุมแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว
พ่อไป๋เป็นคนมีเหตุผล เขายืนยันกับหัวหน้าพานว่าจะไม่ส่งเขาไปยังสถานีตำรวจเพียงเพราะต้องการฟ้องเพื่อความสะใจ
หากไป๋ซวงกล้าขู่เขาเรื่องสารภาพนั้นอีกครั้ง แม้หัวหน้าแผนกพานจะถูกจับโดยตำรวจ ครอบครัวไป๋ก็จะยืนหยัดและเป็นพยานให้เขา
หัวหน้าพานซึ้งใจจนน้ำตาไหล
เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าปัญหาที่กวนใจเขามานานหลายปีจะได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย
เขากลัวอยู่เสมอว่าหากพ่อและแม่ไป๋เชื่อคำสารภาพและคิดว่าเขาประพฤติตัวไม่ดีกับลูกสาวของพวกเขา พวกเขาจะฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ หรือไม่?
ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจที่ฝันร้ายนั้นจะไม่เกิดขึ้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)สำนวน หมายถึง จะเดินหน้าต่อหรือถอยกลับก็ต้องตายอยู่ดี ดังนั้นการสู้สุดชีวิตย่อมดีกว่า
สารจากผู้แปล
จะจัดการนังไป๋ซวงนี่ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย ถ้าเจองูกับนังไป๋ซวงนี่จะขอตีหัวนังไป๋ซวงแล้วอุ้มงูหนีอะ
ไหหม่า(海馬)