แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 643 การมาเยือนครั้งแรก
ตอนที่ 643 การมาเยือนครั้งแรก
ในวันที่สองหลังจากจัดงานเลี้ยงขึ้น หลินม่ายก็ออกเดินทางสู่เมืองหลวงเพียงลำพัง
เธอไปยังเมืองหลวงก่อนเวลาไม่ใช่เพราะรอไม่ไหวที่จะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวา
แต่เธอได้บอกเจ้าหน้าที่รับเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยชิงหวาแล้วว่าเท้าของเธอได้รับบาดเจ็บ
หลังวันที่หนึ่งร้อยของการได้รับบาดเจ็บ เธออาจมารายงานตัวตรงเวลาหรืออาจล่าช้าไปครึ่งเดือนก่อนที่จะลงทะเบียน
เธอโกหกเรื่องนี้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
เธออยากรู้ว่าว่านฮุ่ยจะไปมหาวิทยาลัยชิงหวาโดยปลอมแปลงเอกสารและสวมรอยเป็นเธอหรือไม่
เธอสงสัยมากว่าว่านฮุ่ยอาจปลอมตัวเป็นเธอ นักเรียนสายวิทยาศาสตร์ชั้นนำในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เจ้าหน้าที่ดูแลการลงทะเบียนรายงานสถานการณ์ของเธอต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลินม่ายมาที่ปักกิ่งล่วงหน้าเพื่อตามหาซื้อบ้าน
สายลมแห่งการปฏิรูปในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านแผ่นดินจีน ครอบครัวที่มีเงินออมสูงถึงหนึ่งหมื่นหยวนก็เพิ่มมากขึ้น กระเป๋าเงินของคนทั่วไปก็หนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งแรกที่เราผู้ร่ำรวยในจีนมักจะนึกถึงคือการซื้อบ้าน
แม้ในยุคนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่เป็นที่นิยมก็ตาม
ย่านที่อยู่อาศัยของหลินม่ายในถนนชิงเหนียนเป็นแหล่งแห่งการทดสอบน่านน้ำ
แม้เมืองหลวงจะเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ แต่ก็ไม่มีบ้านหรืออาคารเชิงพาณิชย์สำหรับขาย
หากคนธรรมดาต้องการซื้อบ้าน พวกเขาสามารถซื้อได้เฉพาะบ้านส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้นเรือนสี่ประสานที่มีลานบ้านจึงเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆองผู้คน
หากหลินม่ายไม่ริเริ่มที่จะหาซื้อบ้าน ราคาของลานบ้านจะพุ่งขึ้นไปอีก และอาจพุ่งทะยานอย่างก้าวกระโดดภายในเวลาสองปี
ดังนั้นเธอจึงต้องลดความเสี่ยงโดยการมาที่เมืองหลวงเพื่อซื้อเรือนสี่ประสานล่วงหน้า
เมื่อมาถึงเมืองหลวง หลินม่ายก็พักอยู่ในโรงแรมและไปยังบ้านตระกูลไป๋พร้อมของขวัญ
แม้ว่าเธอจะไม่ถูกชะตากับแม่ไป๋มาก แต่คนอื่น ๆ ก็ปฏิบัติต่อเธออย่างดี ดังนั้นเธอจึงไปเยี่ยมพวกเขาอย่างไม่เต็มใจ
และเธอยังแบกรับภารกิจในการขับไล่ไป๋ซวงออกจากบ้านตระกูลไป๋
มรดกของตระกูลไป๋นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญอะไรสำหรับหลินม่าย
ไม่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่ แต่เธอจะไม่ยอมให้ไป๋ซวงครอบครองสิ่งที่เป็นของเธอในบ้านตระกูลไป๋
ของขวัญที่หลินม่ายเตรียมไว้ครั้งนี้เป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ นม และน้ำผึ้ง
สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีในเมืองนี้ ดังนั้นแน่นอนว่าของขวัญเหล่านี้จะทำให้ผู้ที่ได้รับมีความสุขเช่นกัน
แต่ด้วยความที่มีของขวัญมากเกินไป หลินม่ายไม่สามารถขนไปด้วยตัวเองได้ ดังนั้นเธอจึงจ้างรถสามล้อเพื่อนำเอาสิ่งเหล่านี้ไปยังบ้านตระกูลไป๋อย่างเปิดเผย
ขณะที่กำลังเดินทาง ของขวัญเหล่านั้นก็ดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของเพื่อนบ้านจำนวนมาก
ทุกคนจ้องมองยังหลินม่ายและรถสามล้อที่เธอว่าจ้างซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าจอดอยู่หน้าลานบ้านตระกูลไป๋และเริ่มเดินเข้าไปเพื่อล้อมรอบรถสามล้อคันนั้น
หลินม่ายยิ้มให้เพื่อนบ้านอย่างเป็นมิตร และก้าวไปข้างหน้าเพื่อเคาะประตูบ้านตระกูลไป๋
หลังจากนั้นไม่นานไป๋ลู่ก็เปิดประตูออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่าย หล่อนก็เปล่งเสียงดีใจออกมาทันทีและพูดอย่างยินดี “ม่ายจื่อ มาถึงแล้วทำไมไม่โทรหาและให้เราไปรับล่ะ?”
หลินม่ายเห็นเด็กตัวอ้วนท้วมคนหนึ่งเดินเข้ามาจึงคว้าลูกกวาดกระต่ายขาวหนึ่งกำมือใหญ่ที่ซื้อมามอบให้เด็กคนนั้น
เด็กคนนี้คือหลานของคุณป้าโหยว
ป้าโหยวดีใจมากพร้อมเอ่ยสอนหลาน “อย่าเอาแต่กินนะ ขอบคุณคุณน้าที่มอบลูกกวาดนี้ให้ด้วย”
เด็กคนนั้นจ้องหลินม่ายเป็นเวลาหลายวินาทีด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและพูดอย่างจริงจัง “นี่คือพี่สาว ไม่ใช่น้า ขอบคุณพี่สาวมาก ๆ เลยครับ”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาทันที
หากหลินม่ายจะเป็นคนแปลกหน้าทั่วไป เขาก็สามารถเรียกหลินม่ายว่าพี่สาวได้
เพราะเธอไม่ถือว่าอาวุโสในหมู่คนแปลกหน้า
แต่หลินม่ายเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋ ดังนั้นเด็กน้อยจึงต้องเรียกตามความอาวุโสของเธอ
ป้าโหยวหยิกแก้มหลานชายตัวน้อย “เรียกหล่อนว่าพี่สาวเพราะหน้าตาดีใช่ไหมล่ะ ไม่เป็นไร แต่คราวหลังต้องเรียนว่าคุณน้านะ”
เด็กชายตัวน้อยจึงเปลี่ยนสรรพนามให้ใหม่พร้อมเรียกเธอว่าคุณน้าหลินม่าย
หลินม่ายลูบหัวของเขาและพูดอย่างใจดี “น่ารักจัง!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เด็กคนอื่น ๆ ก็เดินเตาะแตะเข้ามาใกล้เธอ เนื่องจากต้องการลูกกวาดเช่นกัน
เนื่องจากพวกเขาเป็นเด็ก หลินม่ายจึงมอบให้ทุกคนที่เข้ามาใกล้
ขณะที่แจกจ่ายลูกกวาดให้กับเด็ก ๆ เธอยิ้มและพูดกับไป๋ลู่ “ไม่ใช่ฉันไม่อยากบอก แต่ฉันแค่ไม่อยากให้ใครต้องลำบากน่ะค่ะ”
“พ่อและพี่ชายคิดถึงเธอทุกวัน พวกเขาต้องมีความสุขมากที่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่”
ไป๋ลู่ตะโกนไปยังห้องนั่งเล่นอย่างตื่นเต้น “พ่อ แม่ พี่ชาย ม่ายจื่อมาแล้ว!”
ผู้คนในห้องนั่งเล่นลุกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินข่าว และทั้งหมดก็วิ่งออกไป
พ่อไป๋มองดูรถสามล้อที่เต็มไปด้วยของขวัญพลางพูดด้วยความไม่พอใจ “ถึงจะบอกให้ลูกเดินทางมาที่นี่ทันทีที่มาถึง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อของติดมือมามากมายขนาดนี้สักหน่อย! จั๋วหรานหาเงินไม่ง่ายเลย ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองถึงขนาดนั้น”
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าว “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่ แน่นอนว่าต้องเตรียมของขวัญติดไม้ติดมือมาด้วยน่ะค่ะ”
พ่อไป๋รู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อได้ยิน “นี่คือบ้านของลูก ทำไมถึงต้องพูดแบบนั้นล่ะ?”
หลินม่ายยิ้มและไม่ตอบอะไร
ไป๋เซี่ยช่วยระบายสัมภาระลงจากสามล้อและพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “ม่ายจื่อ ไม่จำเป็นต้องซื้อของมามากมายขนาดนี้หรอก แค่ไส้กรอกเนื้อสักหนึ่งถึงสองชิ้นก็เพียงพอแล้ว!”
ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดล้วนมีรสเลิศ และหลินม่ายก็ชอบกินเช่นกัน
เธอตอบรับด้วยรอยยิ้ม
พ่อไป๋กล่าวต่อไป๋เซี่ย “พี่ชายขออาหารจากน้องสาวแบบนี้ ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ? ม่ายจื่อกำลังจะแต่งงานอีกไม่นาน ลูกเตรียมซองแดงไว้ให้น้องแล้วหรือยัง?
ไป๋เซี่ยยิ้มและกล่าว “ไม่ต้องห่วงครับ ต่อให้ต้องขายไตผมก็จะหาซองแดงหนาเป็นปึกมาให้ม่ายจื่อให้ได้”
หลินม่ายดูตกใจมาก “ไม่จำเป็นต้องขายไตเพื่อนำซองแดงหนาเป็นปึกมาให้ฉันก็ได้ค่ะ หากเป็นแบบนั้นฉันคงฝันร้าย”
ทุกคนหัวเราะและบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
แต่ทั้งแม่ไป๋และไป๋ซวงต่างหัวเราะไม่ออก
ไป๋ช่วงยิ้มไม่ออก เพราะภายในเวลาไม่ถึงเดือน หลินม่ายก็ดูจะสวยขึ้นและแต่งตัวดีขึ้น
เรื่องนี้ทำให้หล่อนอิจฉาอย่างมาก และโกรธเคืองจนไม่อาจหัวเราะออกมาได้
แม่ไป๋เองก็หัวเราะไม่ออก เพราะรู้สึกว่าหล่อนและไป๋ซวงถูกทั้งครอบครัวตีตัวออกห่างโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงแต่จะไม่หัวเราะเท่านั้น แต่ยังขุ่นเคืองอยู่เต็มอกด้วย
ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ หลินม่ายทักทายทุกคนในครอบครัว ยกเว้นหล่อนกับไป๋ซวง
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเพิกเฉยต่อหล่อนและไป๋ซวงอย่างแท้จริง
เป็นที่เข้าใจได้ว่าหลินม่ายไม่ได้สนใจไป๋ซวงเพราะพวกเธอทั้งสองเป็นศัตรูต่อกัน แต่เธอก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อแม่ผู้ให้กำเนิด!
เพื่อนบ้านหลายคนในละแวกนั้นยิ้มพร้อมถามพ่อและแม่ไป๋ว่าหลินม่ายเป็นใคร
พ่อไป๋และไป๋ลู่รีบไปบอกเพื่อนบ้านว่าหลินม่ายเป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลไป๋ที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี
ไป๋ลู่ยังบอกกล่าวต่อพวกเขาด้วยว่าหลินม่ายเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดในการสอบเข้าวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติในปีนี้ และจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชิงหวาในอีกไม่ช้า ซึ่งได้รับการชื่นชมจากเพื่อนบ้านอย่างมาก
เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดกับไป๋ซวงด้วยรอยยิ้ม “ซวงเอ๋อร์ เธอต้องพยายามให้มากกว่านี้หน่อยนะ ปีนี้เธอสอบเข้าวิทยาลัยไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ใบหน้าของไป๋ซวงแดงก่ำ
หล่อนเหลือบมองไป๋ลู่อย่างดุร้าย หากไป๋ลู่ไม่คุยโวถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของหลินม่าย เพื่อนบ้านจะหัวเราะเยาะหล่อนแบบนี้ได้อย่างไร?
หล่อนช่วยย้ายของอย่างประณีตและพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ “ม่ายจื่อ ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็ควรต้องย้ายออกไปสินะ”
เมื่อพ่อไป๋ ไป๋เซี่ย และไป๋ลู่ได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็แทบระเบิดความโทสะในใจออกมา
การพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเพื่อนบ้านจำนวนมากจะทำให้ผู้คนคิดว่าหลินม่ายไม่อาจยอมรับการมีอยู่ของไป๋ซวงได้
ครั้งแรกที่หลินม่ายมายังบ้านของตระกูลไป๋ ไป๋ซวงหลอกลวงและทำร้ายความรู้สึกเธอเป็นอย่างมาก
ไป๋เซี่ยหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเธอต้องการย้ายออกก็ออกไปสิ เธอจะย้ายออกเมื่อไหร่ล่ะ? ฉันยินดีจะช่วยขนของให้”
ไป๋ลู่กล่าวขึ้นทันที “ฉันก็จะช่วยขนเหมือนกัน”
แม่ไป๋โกรธมากเมื่อเห็นลูกชายและลูกสาวรุมข่มเหงไป๋ซวงผู้อ่อนแอ
หล่อนหันศีรษะมองไป๋ซวง “ลูกจะไม่ย้ายออกไปที่ไหนทั้งนั้น จะต้องอยู่กับแม่ที่นี่ แม่จะไม่ให้ใครกล้าแตะต้องเส้นผมของลูกแม้แต่เส้นเดียว!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ประกาศชัดเจนแบบนี้ ก็แยกบ้านไปอยู่กับยัยงูพิษเลยค่ะคุณแม๊ ไม่ต้องมาโชว์โง่ต่อหน้าเพื่อนบ้านให้ขายหน้าตระกูลไป๋หรอก
ไหหม่า(海馬)