แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 647 สองมาตรฐาน
ตอนที่ 647 สองมาตรฐาน
หลินม่ายเกียจคร้านเกินกว่าจะคุยกับแม่ไป๋ จึงทำเป็นไม่ได้ยิน
แต่นึกไม่ถึงว่าแม่ไป๋จะไม่ลดละความพยายาม เดินตามมาขวางทางเธอเอาไว้
หล่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กคนนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? ฉันตะโกนเรียกคอแทบแตก เธอกลับไม่สนใจ!”
หลินม่ายทำเป็นเมินอีกต่อไปไม่ได้แล้ว จึงถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า “คุณมีอะไรจะคุยกับฉันคะ?”
แม่ไป๋มองไปรอบ ๆ ถึงแม้จะมีคนอยู่ที่โถงกลางไม่มากนัก แต่ก็มีคนเดินผ่านไปมา
หล่อนยื่นมือออกไปจะดึงแขนหลินม่าย “พวกเราไปคุยกันที่ห้องเถอะ”
หลินม่ายหลบมือหล่อนวูบ เอ่ยปฏิเสธราวกับคนห่างไกลเป็นพันลี้ “พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ถึงขั้นคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวได้ มีเรื่องอะไรก็พูดตรงนี้เถอะค่ะ”
แม่ไป๋สะอึกกับคำพูดของเธอ ก่อนพูดขึ้นอย่างโมโห “เธอกับฉันเป็นแม่ลูกกัน!”
หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็แค่เป็นแม่ลูกกันโดยกำเนิด ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น คุณและไป๋ซวงต่างหากล่ะคะถึงจะเป็นแม่ลูกที่แท้จริง”
แม่ไป๋เอ่ย “ฉันรู้ว่าเธอโกรธที่ฉันใจดีกับซวงเอ๋อร์ วันนี้ฉันเลยมาหาเธอ เพราะอยากจะพูดเรื่องซวงเอ๋อร์กับเธอ”
เมื่อคืนนี้ พ่อไป๋นอนแยกห้องกับหล่อน ทำให้หล่อนตระหนักได้ถึงวิกฤตชีวิตคู่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หล่อนนอนเบิกตาโพลงทั้งคืน พยายามไตร่ตรองว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสามีตกอยู่ในวิกฤตแบบนี้ได้อย่างไร และจะแก้ไขอย่างไร
และคำตอบของวิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาในขณะนี้ก็ตอบได้ไม่ยาก ไม่ใช่เพราะไป๋ซวงหรอกหรือ?
หล่อนยอมรับว่า ไป๋ซวงทำเกินไปหลายเรื่องจริง ๆ
แต่นั่นเป็นลูกรักที่หล่อนถนอมฟูมฟักเป็นแก้วตาดวงใจมาสิบเก้าปี หล่อนไม่อาจปล่อยไป๋ซวงไปได้หรอก
ยิ่งไปกว่านั้นไป๋ซวงยังสัญญากับหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าหล่อนจะเปลี่ยนนิสัยของตัวเองแน่นอน
แต่ทำไมสามีและลูกชายลูกสาวถึงไม่ให้โอกาสไป๋ซวงอีกสักครั้ง?
สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะหลินม่าย
หลินม่ายทนไป๋ซวงไม่ได้ ไม่ใช่เพราะตนดีกับไป๋ซวงเกินไปหรือ?
อันที่จริงหล่อนก็อยากจะดีกับหลินม่าย แต่น่าเสียดายที่หลินม่ายตั้งกำแพงกับหล่อนไว้สูงเกินไป ไม่ให้โอกาสหล่อนได้เข้าใกล้สักครั้ง ถึงตนอยากจะดีกับเธอก็ไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ
หล่อนมาหาหลินม่าย ก็เพราะอยากอธิบายว่าทำไมตนถึงดีกับไป๋ซวง และหวังว่าหลินม่ายจะเข้าใจและยอมรับไป๋ซวงได้ พวกเธอแม่ลูกจะได้เข้ากันได้ดี แทนที่จะทำสงครามใส่กันแบบตอนนี้
สีหน้าของหลินม่ายเฉยเมย “แต่ฉันไม่อยากคุยกับคุณ”
คำพูดของเธอขัดขวางแผนการทั้งหมดของแม่ไป๋ สีหน้าของแม่ไป๋พลันเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูทันที
หล่อนลดเสียงลง พูดขึ้นมาสองสามคำเล่าเรื่องที่ไป๋ซวงถูกหลินเพ่ยคิดร้ายกับหล่อน ถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่งย่ำยีจนกลายเป็นประสบการณ์อันน่าสลด
แม่ไป๋พูดด้วยความไม่พอใจ “ซวงเอ๋อร์ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่หวังให้เธอดีกับหล่อนหรอก ขอแค่เธอยอมรับหล่อน ไม่สาดเกลือใส่บาดแผลของหล่อนก็พอ”
หลินม่ายจงใจถามเสียงดัง “เพราะลูกสาวสุดที่รักซวงเอ๋อร์ของคุณถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่งย่ำยี มันถึงกลายเป็นเหตุผลที่มาแว้งกัดฉันหรือคะ? นอกจากนี้เรื่องที่หล่อนถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่งย่ำยีก็ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน แล้วทำไมฉันถึงต้องยอมรับหล่อนด้วย? ในเมื่อสมองของคุณมีปัญหา ก็อย่าหวังว่าสมองของฉันจะมีปัญหาเหมือนกันกับคุณสิคะ!”
เสียงของเธอดึงดูดความสนใจของพนักงานและแขกที่ผ่านที่อยู่โถงกลางให้หันมามองเธอและแม่ไป๋ ก่อนหันไปซุบซิบกัน
แม่ไป๋เห็นหลินม่ายเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวน่าอับอายของไป๋ซวงออกมา ก็แทบอกแตกตาย
ขมวดคิ้วพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอลดเสียงลงหน่อยไม่ได้หรือไง?”
หลินม่ายตอบอย่างมั่นใจ “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องลดเสียงลงคะ!”
แม่ไปโกรธจัดจนลากหลินม่ายออกจากโรงแรมไปที่มุมห่างไกลผู้คน พูดออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “เมื่อกี้นี้เธอจงใจใช่ไหม?”
หลินม่ายโกรธมากจนแทบไม่สนใจอะไรแล้ว “ใช่ค่ะ”
แม่ไป๋ตัวสั่นด้วยความเดือดดาล “ทำไมเธอร้ายกาจอย่างนี้?”
หลินม่ายเย้ยหยัน “เรียนมาจากไป๋ซวงยังไงล่ะคะ เทียบกันแล้วหล่อนร้ายกว่าฉันเป็นร้อยเป็นพันเท่า!”
เธอแสร้งทำเป็นงุนงงไม่เข้าใจแล้วถาม “ทำไมไม่ว่าไป๋ซวงจะทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหน คุณก็จะให้อภัยหล่อนเสมอ แต่ฉันทำเรื่องแย่ ๆ แค่ครั้งเดียว คุณก็มองฉันด้วยสายตาเกลียดชังขนาดนี้แล้ว? ฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกแท้ ๆ ของคุณถูกไหมคะ? ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างเราก็เป็นอันจบแล้วล่ะค่ะ”
แม่ไป๋เน้นย้ำทีละคำ “ฉันให้อภัยซวงเอ๋อร์ เพราะหล่อนจะปรับปรุงตัวเอง!”
หลินม่ายหัวเราะขึ้นมา “ฉันก็จะเปลี่ยนเหมือนกัน ทำไมคุณไป๋ถึงไม่ให้โอกาสฉันสักครั้งล่ะคะ?”
แม่ไป๋พูดไม่ออก
สายตาของหลินม่ายเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “พูดไปพูดมา เป็นคุณไป๋เสียอีกที่ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อฉัน แต่มีความรู้สึกต่อไป๋ซวง ดังนั้นจึงปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน กระทั่งไป๋ซวงถูกพี่สาวแท้ ๆ ของหล่อนทำร้าย ก็ยังกลายมาเป็นเหตุผลให้ฉันวางความขุ่นเคืองทั้งหมดลง และยอมรับข้ออ้างของหล่อน อย่างนั้นฉันขอถามคุณนะคะ ฉันอยู่ที่บ้านหลินได้รับความยากลำบากมามากกว่าสิบปี คุณในฐานะแม่แท้ ๆ ไม่ควรปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำของฉันหรือไง!”
แม่ไป๋ทั้งโมโหทั้งจนตรอก เถียงออกมาข้างๆ คูๆ “ตอนนี้เธอไม่ได้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขมากหรือ? เธอยังจะต้องการอะไรอีก!”
หลินม่ายหัวเราะด้วยความแค้นเคือง
เธอเกี่ยวผมยาวที่ระลงบนหน้าอกของเธอไปทัดไว้ที่หู แล้วพูดยิ้ม ๆ
“คุณถามว่าฉันยังต้องการอะไรอีกน่ะหรอ? ฉันน่ะ อยากให้ไป๋ซวงมีชีวิตน่าอนาถ ป่นปี้ น่าสมเพชยิ่งกว่าตอนนี้ คุณคงจะปวดใจมากสินะ”
พูดจบก็จากไป
แม่ไปพยายามเอื้อมมือไปรั้งเธอ คิดจะโน้มน้าวให้เธอยอมรับไป๋ซวง
ขอแค่เพียงหลินม่ายยอมรับไป๋ซวง ครอบครัวของหล่อนก็จะกลับไปสงบสุขและมีความสุขเหมือนเดิม
เพียงแค่สะบัดมือเบา ๆ หลินม่ายก็สะบัดหลุดจากหล่อนแล้ว
เธอได้เรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้างแล้ว ยังจะจัดการหญิงวัยกลางคนที่แสนบอบบางไม่ได้อีกหรือ?
เมื่อครู่นี้ที่เธอถูกแม่ไป๋ดึงออกมาจากโรงแรมก็เป็นเพราะเธอไม่ต่อต้าน ดังนั้นจึงถูกแม่ไป๋ลากไปที่มุมได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นแม่ไป๋โกรธจนจะเป็นจะตาย หลินม่ายก็ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย รู้สึกแค่ว่าตัวเองเท่เหลือเกิน
ถึงเธอจะถูกแม่ไป๋ตามรังควาน แต่หลินม่ายก็ยังคงนอนหลับสนิทเมื่อกลับเข้าไปในโรงแรม
ปลายเดือนแปดในเมืองหลวง อากาศสบายมาก เหมาะที่จะงีบหลับเป็นที่สุด
หลังจากตื่นขึ้นมาตอนบ่าย หลินม่ายก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก เธอสวมหน้ากาก จากนั้นก็ออกไปหาเรือนสี่ประสานที่ปล่อยขายอีกครั้ง
พายุทรายในปักกิ่งค่อนข้างรุนแรง ถ้าไม่ใส่หน้ากากออกไปคงหายใจเอาทรายเข้าเต็มปอด
หลังจากตระเวนทั้งบ่าย ถึงจะยังไม่ได้อะไร แต่หลินม่ายกระจายข่าวออกไปไม่น้อย คงได้รับการตอบรับในเวลาไม่กี่วัน
ใกล้จะสายแล้ว หลินม่ายจึงรีบร้อนไปตรอกเสี่ยวหยาง เตรียมไปพบพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ที่หน้าประตูบ้านไป๋ เพื่อไปเยี่ยมคุณปู่ไป๋และคุณย่าไป๋ด้วยกัน
พ่อไป๋รออยู่ที่หน้าประตูบ้านก่อนแล้ว เมื่อเห็นเธอ เขาก็โบกมือให้ “เข้ามาสิ”
หลินม่ายมองไปที่ประตูบ้าน แต่เธอไม่อยากเข้าไปแม้แต่น้อย
ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า “ไม่ล่ะค่ะ พวกเราไปหาคุณปู่กับคุณย่ากันเถอะค่ะ”
สีหน้าของพ่อไป๋จริงจังมาก “ไม่ต้องรีบร้อนไปตอนนี้หรอก พ่อมีเรื่องบางอย่างจะบอกลูกพอดี”
หลินม่ายไม่ได้โง่ เธอจึงคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าพ่อไปจะบอกอะไรเธอ
ก็ดีเหมือนกัน ให้เขาได้เห็นชัด ๆ ว่าเธอเป็นคนแบบไหน จะได้ตัดสินใจได้ว่าอยากได้เธอคนนี้เป็นลูกสาวหรือไม่
อย่างไรเสียเธอก็ไม่สนใจพวกเขาอยู่แล้ว
เธอมีฟางจั๋วหราน คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง ยังมีโต้วโต้ว และยังมีเถาจื่ออวิ๋นเป็นเพื่อนที่ดี
ชีวิตของเธอไม่ขาดญาติ ไม่ขาดเพื่อนสนิทดี ๆ จะมีคนจากครอบครัวไป๋หรือไม่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเธอ
หลินม่ายก้าวเข้าไปในบ้าน แล้วตามพ่อไป๋เข้าไปในห้องรับแขก
ไป๋เซี่ยกับไป๋ลู่ทั้งสองคนรีบตามพวกเขาเข้ามา
พ่อไป๋ขมวดคิ้ว “พวกแกสองคนจะตามเข้ามาทำไม?”
ไป๋เซี่ยกับไป๋ลู่นั่งลงบนพื้น “กลัวพ่อจะว่าเสวี่ยเป่า”
พ่อไป๋ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พ่อจะใช้เหตุผลกับเสวี่ยเป่า ไม่ด่าหล่อนแน่”
ไป๋เซี่ยกับไป๋ลู่พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะจับตามองพ่อว่าเหตุผลของพ่อสมเหตุสมผลไหม ถ้าไม่สมเหตุสมผล พวกเราก็จะพาเสวี่ยเป่าไป”
พ่อไป๋แสดงสีหน้าจนใจ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ยอมให้ไป๋เซี่ยกับไป๋ลู่อยู่ต่อ
เขาหันไปมองหลินม่าย “ลูกจงใจเปิดเผยความจริงที่ไป๋ซวงถูกย่ำยีในที่สาธารณะหรือ?”
หลินม่ายพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
พ่อไป๋ถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูด “พ่อรู้ว่าลูกไม่ชอบไป๋ซวง…..”
หลินม่ายขัดคำพูดเขา “ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่เป็นเกลียด หล่อนลอบแว้งกัดฉันตั้งกี่ครั้งกี่หน ฉันไม่ควรเกลียดหล่อนงั้นหรือคะ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหมือนยัยแม่ไป๋จะคิดได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคิดไม่ได้ หย่าเท่านั้นคือคำตอบค่ะ
ไหหม่า(海馬)