แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 670 ดูฝนดาวตกด้วยกัน
ตอนที่ 670 ดูฝนดาวตกด้วยกัน
ทั้งโทรทัศน์และวิทยุต่างก็ประกาศว่า จะมีฝนดาวตกในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 28 กันยายน
วันนั้นอากาศค่อนข้างดี ตราบใดที่หาพื้นที่โล่งปราศจากตึกรามบ้านช่องบดบัง ไม่ว่าใครก็สามารถรับชมฝนดาวตกได้
หลินม่ายไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนหนุ่มสาวเลือดร้อนหรืออย่างไร แต่เพื่อนร่วมชั้นของเธอต่างก็ดีใจกันอย่างออกนอกหน้า
พวกเขานัดกันไปดูฝนดาวตกด้วยกันในมหาวิทยาลัย
แต่หลินม่ายปฏิเสธไป เธอต้องการใช้ช่วงเวลาที่แสนโรแมนติกนี้กับฟางจั๋วหราน
หลังจากศึกษาด้วยตัวเองในช่วงเย็น ฟางจั๋วหรานก็ขับรถจี๊ปมารับเธอ จากนั้นทั้งสองเดินทางไปยังฉือชาไห่เพื่อรับชมฝนดาวตก
ทิวทัศน์ทะเลสาบและภูเขา สะท้อนฝนดาวตกพร่างพราว แค่จินตนาการก็รู้สึกว่าสวยมากแล้ว
ทั้งสองจอดรถด้านนอกสวนและจูงมือกันเดินเข้าไปด้านใน
หลินม่ายชอบความรู้สึกที่ได้จับมือกับฟางจั๋วหรานมาก ฝ่ามือใหญ่ของเขาอบอุ่นและทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
ปลายเดือนกันยายน คลื่นความร้อนในเมืองเจียงเฉิงยังไม่หมดไป แต่กรุงปักกิ่งได้เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
สายลมกลางคืนพัดผ่านค่อนข้างหนาวเย็น แม้ว่าหลินม่ายจะสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ก็อดสั่นเทาไม่ได้
เมื่อเห็นดังนี้ ฟางจั๋วหรานจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกและสวมให้เธอ
หลินม่ายผลักมันออกและพูดว่า “ไม่เอา เอามันออกไปนะ วันนี้ฉันจะเป็นสาวสวยที่ถูกแช่แข็ง อย่ามาพยายามบังแสงของฉันด้วยเสื้อคลุมของคุณเลย”
ฟางจั๋วหรานเพียงยิ้ม เขาสวมเสื้อคลุมให้เธออีกครั้ง ก้มลงจุมพิตพวงแก้มของเธอ จากนั้นเดินไปด้านหน้าพร้อมกับโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
หลินม่ายลอบสังเกตฟางจั๋วหรานด้านข้างและถามว่า “คุณมีอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานส่งรอยยิ้มอันสดใสกลับมาให้เธอและบรรจงจูบลงบนหน้าผากหญิงสาว “เปล่านี่”
ในความจริง เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยว่ากู้ม่านซืออาจสร้างปัญหาในงานแต่งงานของพวกเขา
เพื่อนของเขาส่วนใหญ่อยู่ในเมืองเจียงเฉิง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาผู้ช่วยสองถึงสามคนมาคอยห้ามปรามกู้ม่านซือ
แต่เขาไม่ต้องการให้คู่หมั้นตัวเองกังวล จึงไม่ได้บอกกล่าวถึงความกังวลในใจออกไป
เขาหวังเพียงว่าหญิงสาวจะกลายเป็นเจ้าสาวแสนสวยในงานแต่งงานและทุกอย่างดำเนินไปด้วยความสงบสุข
หลินม่ายแย้งเขา “แต่ฉันคิดว่าคุณมีนะ!”
“ผมไม่มีจริงๆ”
“เป็นไปไม่ได้! ถ้าคุณไม่ได้มีอะไรอยู่ในใจ คุณคงอุ้มฉันขึ้นและจูบฉันไปนานแล้ว”
เสียงของหลินม่ายนุ่มนวลและไพเราะจนทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้ในใจ
เมื่อรวมกับกลิ่นหอมแสนคลุมเครือจากร่างกายของเธอ ฟางจั๋วหรานก็รู้สึกเหมือนกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้
เขาเผยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้าคุณต้องการก็แค่พูดออกมา ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ทำให้ ทำไมถึงได้ใช้ข้อแก้ตัวแย่ๆ แบบนี้กันล่ะ?”
สิ้นเสียง เขาก็ประทับริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากนุ่มของหลินม่าย
ทั้งคู่บรรจงจูบเนิ่นนาน จนกระทั่งแทบหมดลมหายใจ
ใบหน้าของหลินม่ายกลายเป็นสีแดงก่ำ แต่ฟางจั๋วหรานไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ภายใต้ความมืดรอบด้าน
มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรอชมฝนดาวตกที่ริมฝั่งฉือชาไห่ แสงสะท้อนของไฟฉายหลายกระบอกสะท้อนกับดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า
ฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายนั่งลงบนผ้าปูผืนใหญ่ในพื้นที่โล่ง
เขาหันมองไปรอบบริเวณ เห็นว่าเด็กสาวหลายคนกำลังกินขนมที่แฟนหนุ่มซื้อมาให้ขณะรอชมฝนดาวตก
เวลาผ่านไปนานหลินม่ายก็จามออกมาติดต่อกันถึงสองครั้ง
ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นยืน “ผมจะไปซื้อขนมทังหยวนหอมหมื่นลี้เพื่อคุณจะได้อุ่นขึ้น” กล่าวคำดังนั้นเขาเดินจากไปทันที
หลินม่ายนั่งกอดเข่าพลางฟังเสียงกระซิบของคู่หนุ่มสาวรอบข้าง
หนุ่มสาวคู่หนึ่งพ่นคำหวานใส่กันเป็นเวลาเนิ่นนาน
หญิงสาวพูดขึ้น “ครั้งหน้าถ้ามีฝนดาวตก เรามาด้วยกันอีกนะ”
ชายคนนั้นพยักหน้ากล่าวคำ “ได้สิ ตราบใดที่คุณต้องการ ผมจะมากับคุณเสมอ”
หลินม่ายรู้สึกว่าเสียงของชายคนนั้นฟังดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
เธอจึงหันมองไปทางชายคนนั้น
ภาพเงาปีศาจหมูที่มีผมยาวสะท้อนในดวงตาของเธอทันที
หลินม่ายเม้นปากด้วยความรู้สึกรังเกียจ
จากนั้นเธอก็เหลือบมองหญิงสาวที่อยู่กับจ้าวซั่วหยางด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นสวีชิงหยา
ผู้หญิงคนนี้อยู่กับจ้าวซั่วหยางจริงด้วย!
จ้าวซั่วหยางกระซิบบางอย่างข้างหูสวีชิงหยา ก่อนที่หล่อนจะหัวร่อต่อกระซิกออกมาด้วยความเขินอาย
ได้ยินเพียงเสียงโน้มน้าวใจของจ้าวซั่วหยางพูดว่า “อย่ากลับไปที่โรงเรียนเลย ไปที่บ้านผมเถอะ”
สวีชิงหยาถามขึ้นด้วยความอิจฉา “คุณมีบ้านของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวซั่วหยางพูดอย่างภาคภูมิใจ “ปู่ของผมเป็นนายทหารอาวุโสฝ่ายเสนาธิการ เขาซื้ออพาร์ทเมนท์สองห้องจากหน่วยงานเพื่อตัวเองและให้ผมห้องหนึ่ง”
เขาพยายามหว่านล้อมหล่อนต่อ “ไปที่บ้านผมหลังจากดูฝนดาวตก ตกลงไหม?”
หลินม่ายภาวนาอยู่ในใจขอให้เด็กสาวปฏิเสธ ถ้าอีกฝ่ายตกลงยอมไปด้วย คงไม่ต่างจากการกระโดดเข้ากองไฟ
แต่สวีชิงหยาพยักหน้ารับแผ่วเบา หล่อนไม่ได้รอดูฝนดาวตกด้วยซ้ำ ก่อนจะเดินตามจ้าวซั่วหยางออกไป
ทั้งสองเดินผ่านหลินม่ายโดยไม่ได้สนใจเธอเลย
หลินม่ายมองตามแผ่นหลังสวีชิงหยา และคิดว่าอีกฝ่ายช่างโง่เขลาเหลือเกิน
เห็นแวบแรกก็รู้ได้ว่าจ้าวซั่วหยางไม่ใช่ผู้ชายที่ดี แต่หล่อนยังคงเลือกที่จะตามเขาไป
แต่จ้าวซั่วหยางก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะมีรูปลักษณ์น่าเกลียดราวกับสัตว์ประหลาด แต่เพราะมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีและเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในโรงเรียน ทำไมเขาถึงไปคว้าหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์อย่างสวีชิงหยาได้?
หรือว่าเขาจะกินไม่เลือก?
“คุณคะ ฉันขอสัมภาษณ์คุณหน่อยได้ไหม?” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังหลินม่าย
ทันทีที่หลินม่ายหันไปมอง ไมโครโฟนสีดำก็จ่อมาที่ด้านหน้าเธอแล้ว
“คุณผู้หญิงคะ คุณมารับชมฝนดาวตกที่เกิดขึ้นในรอบห้าสิบปีคนเดียว หรือมากับใครหรือคะ? คนที่มากับคุณจะต้องเป็นคนรักแน่ๆ เขาจะพาคุณไปดูฝนดาวตกในอีกห้าสิบปีข้างหน้าไหมคะ?”
ขณะที่หลินม่ายกำลังจะตอบ คุณลุงวัยสี่สิบปีก็เดินเข้ามาแย่งตอบก่อน
เขายิ้มให้กล้องด้วยความตื่นเต้นเหมือนดอกไม้ที่ผลิบาน ยกมือโบกให้กล้องเป็นการใหญ่
“เมียจ๋า! เมียจ๋าเห็นผมไหม! ความรักของผมที่มีต่อคุณตลอดห้าสิบปีไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย!”
นักข่าวหญิงมองคุณลุงที่อายุห่างกับหลินม่ายอย่างน้อยยี่สิบปี สีหน้าของหล่อนพลันหม่นหมองทันใด
หล่อนเดินจากไปพร้อมกับช่างภาพด้วยความโกรธ สาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ในใจ “ช่างไร้ยางอาย ฉันไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน มาดูฝนดาวตกกับชู้สาวรุ่นราวคราวลูก แล้วยังกล้าแสดงความรักต่อภรรยาหน้ากล้องอีก ความสัมพันธ์ของเขาจะต้องขาดสะบั้นเมื่อกลับไปบ้านแน่”
หลินม่ายรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจและพูดไม่ออก ขณะมองไปยังคุณลุงที่กำลังตื่นเต้นอยู่
ฟางจั๋วหรานซื้อขนมทังหยวนหอมหมื่นลี้กลับมาให้หลินม่ายกินขณะยังคงอุ่น จากนั้นนำชามไปคืนให้กับคนขาย
ทั้งสองกอดกันท่ามกลางความหนาวยามค่ำคืนและรอชมฝนดาวตก
หลังจากนั้นไม่นาน ฝนดาวตกอันพร่างพราวก็มาถึงตามสัญญา ราวกับกองทหารนับพันเคลื่อนทัพผ่านท้องฟ้ายามราตรี แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็งดงามมากจนผู้คนไม่มีวันลืมเลือน
หลินม่ายในอ้อมแขนฟางจั๋วหรานเงยหน้าขึ้นมองฝนดาวตก “จั๋วหราน อีกห้าสิบปีเราจะยังได้มาดูฝนดาวตกด้วยกันอีกไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานจูบหน้าผากของเธอ “แน่นอนสิ เราตกลงกันว่าจะจับมือกันตลอดชั่วชีวิตและไม่แยกจากกันอีก ดังนั้นเราจะมาดูฝนดาวตกด้วยกันอีกครั้ง”
หลินม่ายยิ้มรับประหนึ่งดอกไม้แรกแย้ม
สิ่งที่โรแมนติกที่สุดในโลกนี้คือ การมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างกันตลอดชีวิตและแก่ตัวลงไปพร้อมกัน
เธอฮัมเพลงแผ่วเบา “… จับมือกันไว้เถอะ แม้หนทางอาจไม่ง่ายดาย อาจมีวิธีร่วมเดินทางกับสหาย แม้หนทางจะยากเข็ญสักเพียงใด จงจับมือกันไว้เถอะ เราจะเดินไปด้วยกันจนถึงชาติหน้า ด้วยหนทางแห่งมิตรภาพ ไม่มีวันหวนย้อนคืนกลับมา”
เมื่อเพลงของเธอจบลง ทั้งสองก็นิ่งเงียบไปนาน
ไม่นานฟางจั๋วหรานพูดขึ้นว่า “เพลงนี้ไพเราะจริงๆ”
มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว หลังจากดูฝนดาวตกก็ไม่อาจกลับไปที่หอพักได้ เพราะอาจถูกคุณป้าผู้คุมหอพักดุด่าจนหน้าชา
หลินม่ายจึงตามฟางจั๋วหรานไปนอนที่บ้าน
วันต่อมาเมื่อหลินม่ายมาเรียน เธอก็เห็นสวีชิงหยาและจ้าวซั่วหยางเดินเคียงข้างกันในมหาวิทยาลัยจากระยะไกล
จ้าวซั่วหยางมีชื่อเสียงมากในโรงเรียน ผู้คนต่างก็พูดทักทายทุกที่ที่เขาไป
ชายหนุ่มหลายคนพบกับจ้าวซั่วหยางและเริ่มพูดคุยกับเขา
จ้าวซั่วหยางขอให้สวีชิงหยาเข้าไปก่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สวีชิงหยาเดินจากไปอย่างว่าง่าย
เมื่อหลินม่ายขี่จักรยานผ่านจ้าวซั่วหยาง เธอก็ได้ยินชายหนุ่มเหล่านั้นถามเขาว่า “ทำไมนายถึงรสนิยมสุดโต่งขนาดนี้ ชอบผู้หญิงแบบนั้นเหรอ?”
จ้าวซั่วหยางตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ไม่เสแสร้ง “ฉันไม่ได้ชอบหล่อนสักหน่อย อย่ามาพูดไร้สาระน่า หล่อนเป็นฝ่ายตามฉันไม่หยุดเอง”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาเห็นหลินม่ายขี่จักรยานผ่านไป
จึงคิดกับตัวเองว่าโชคดีที่ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระออกไปเยอะ ไม่อย่างนั้นถ้าหลินม่ายได้ยินว่าเขาควงสวีชิงหยา แล้วเขาจะไล่ตามเธอได้อย่างไร?
ช่วงเที่ยง หลินม่ายและเพื่อนๆ ไปยังโรงอาหารเพื่อกินอาหารกลางวัน
เมื่อเข้าไปยังโรงอาหาร เธอก็เห็นจ้าวซั่วหยางตรงเข้ามาหาเธอทันที
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุด “นักเรียนหลินม่าย ผมต้องการคบหากับคุณ เรามาเริ่มความสัมพันธ์ของเราด้วยอาหารมื้อแรกเถอะ ผมจะเลี้ยงคุณเอง”
เมื่อสวีชิงหยาที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นภาพฉากที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่ยิ้มแย้มตอนแรกพลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมองเหมือนก้นหม้อ สายตาจ้องเขม็งไปที่หลินม่ายด้วยความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง
หลินม่ายตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันมีแฟนแล้วและกำลังวางแผนที่จะแต่งงานกันอีกไม่ช้า เขาดูดีมากและมีความสามารถมากกว่าคุณ ดังนั้นฉันคงไม่คิดเหลียวแลคุณหรอก”
สิ้นเสียงกล่าว สวีชิงหยาพุ่งตัวเข้ามาราวกับกระสุนปืนใหญ่
เธอผลักหลินม่ายออกไป “แฟนเธอหล่อและมีความสามารถกว่าคนอื่นแล้วยังไง อย่ามาพูดต่อหน้าเขาแบบนี้นะ ช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว”
หลินม่ายพยุงตัวลุกขึ้น “ฉันพูดแบบนั้นเพื่อให้เขาตัดใจ เมื่อคืนฉันไปดูฝนดาวตกกับคู่หมั้นของฉันที่ฉือชาไห่เหมือนกัน!”
สวีชิงหยาและจ้าวซั่วหยางแข็งค้างเป็นหินทันที
ความหมายที่ซ่อนเร้นในคำพูดนั้นของหลินม่ายคือ เธอได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาทำสิ่งเกินเลยกันเมื่อวานนี้ทั้งหมดเลยเหรอ?
สวีชิงหยาพลันรู้สึกไม่สบายใจ
ถ้าทางมหาวิทยาลัยจับได้ว่าหล่อนมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว พวกเขาจะต้องไล่หล่อนออกแน่!
หลังจากเลิกเรียนคาบแรกในช่วงบ่าย สวีชิงหยาก็กระวนกระวายใจจนต้องดึงหลินม่ายออกจากห้องเรียน
หล่อนร้องไห้ฟูมฟาย ขอร้องไม่ให้ป่าวประกาศสิ่งที่หลินม่ายได้ยินในฉือชาไห่เมื่อคืนนี้ให้ใครฟัง
สวีชิงหยากล่าวอีกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่หล่อนจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงต้า หากต้องถูกไล่ออกเพราะความสัมพันธ์เชิงชู้สาว หล่อนคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตายเท่านั้น
สวีชิงหยาเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับหลินม่าย และผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานก็คือตัวสวีชิงหยาเอง
หลินม่ายกล่าว “อย่ากังวลไปเลย ฉันพูดให้คนอื่นได้ยินแค่เมื่อกี้นี้เอง”
หลังจากคิดเรื่องนี้ เธอพูดต่ออีกสองสามคำ “ในเมื่อเธอรู้อยู่แล้วว่าการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชิงต้าไม่ใช่เรื่องง่าย เธอก็ควรจะสนใจเรื่องการเรียนกว่านี้ จ้าวซั่วหยางไม่ใช่คนดี เธอไม่ควรไปคบค้าสมาคมกับเขา”
ตอนแรกเธอไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วย แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนสวีชิงหยา
นอกจากนี้เธอรู้สึกเกลียดชังจ้าวซั่วหยางเป็นอย่างมาก และไม่ต้องการให้เขาไปทำร้ายผู้หญิงคนอื่นอีก
แต่เธอทำได้แค่เตือนเท่านั้น ไม่ว่าสวีชิงหยาจะรับฟังหรือไม่ก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของหล่อนแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นตอนที่โรแมนติกที่สุด และมีเรื่องให้เผือกอีกแล้ว
ไหหม่า(海馬)