แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 674 ค่ำคืนแห่งแสงเทียน
ตอนที่ 674 ค่ำคืนแห่งแสงเทียน
ฟางจั๋วหรานออกจากห้องไป และเมื่อกลับมาอีกครั้ง เขาก็นำขวดแชมเปญมาด้วย
ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กในห้อง
ฟางจั๋วหรานรินแชมเปญหนึ่งแก้วให้หลินม่าย “แอลกอฮอล์ต่ำ หอมหวานมาก”
หลินม่ายจิบแชมเปญนั้น มันหอมหวานเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
เธอกระดกแชมเปญทั้งแก้วทันที
ฟางจั๋วหรานรินแชมเปญให้เธออีกครั้ง และเธอก็ดื่มมัน
หลังจากดื่มสามแก้วติดต่อกัน หลินม่ายก็พบว่าฟางจั๋วหรานไม่ได้จิบแม้แต่หยดเดียว
เธอถามอย่างงุนงง “ทำไมคุณไม่ดื่มคะ?”
ฟางจั๋วหรานมองเธอด้วยรอยยิ้ม “ผมกลัวว่าดื่มแล้วจะอดใจไม่ไหวน่ะ”
“กลัวอะไร? ฉันไม่เห็นกลัวเลยค่ะ!” หลินม่ายกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
วันนี้เป็นคืนวันแต่งงานของพวกเขา และทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างมีนัยยะ “ถึงคุณจะไม่กลัว แต่ผมก็ดื่มเยอะไม่ได้”
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “ทำไมดื่มไม่ได้ล่ะคะ?”
ฟางจั๋วหรานโน้มตัวเข้ากระซิบข้างหู “เพราะหากเราทั้งคู่เมาก็คงขาดสติจนทำอะไรไปโดยไม่คิด เวลาคุณเมาก็ไม่ได้สติเหมือนกัน ดังนั้นเราต้องตื่นตัวอยู่เสมอ คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
ใบหน้าของหลินม่ายแดงก่ำอีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานพลันกล่าว “งั้นมาเริ่มกันเลย”
แม้ว่าหลินม่ายจะเข้าใจความหมายของคำพูดของเขา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความตกใจ “อะไรนะ? เริ่มอะไรคะ?”
นี่เป็นครั้งแรกของเธอ ดังนั้นเธอจึงประหม่าและหวาดกลัว
“เมามายและร่วมรักอย่างไรล่ะ”
หลังจากฟางจั๋วหรานพูดจบ เขาก็อุ้มหลินม่ายและเดินไปที่เตียงใหญ่
หลินม่ายดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยความเขินอาย “อ๊า! ไม่เอาแล้ว!”
“ใครกันนะที่บอกว่าไม่กลัว?” ฟางจั๋วหรานมองไปยังหญิงงามในอ้อมแขนของเขาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ฉันก็แล้วกัน” หลินม่ายปฏิเสธอย่างรุนแรง “สุภาพบุรุษต้องตกลงกันด้วยวาจา ไม่ใช่ใช้กำลัง ปล่อยฉันนะ~”
สุภาพบุรุษต้องตกลงกันด้วยวาจา ไม่ใช้กำลัง
ฟางจั๋วหรานวางหลินม่ายลงบนเตียง และจูบที่เร่าร้อนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเข้ามาใกล้ จู่ ๆ หลินม่ายก็อยากจะแกล้งฟางจั๋วหราน
เธอหลบจูบของเขา หัวเราะคิกคัก แล้วกลิ้งไปบนเตียง
ฟางจั๋วหรานใช้ความพยายามอย่างมากในการรวบปลาไหลตัวน้อยอย่างเธอไว้ในอ้อมแขน
เขาไม่ต้องการละเล่นอะไรให้เสียเวลาอีกต่อไป เขาต้องการกลืนกินเธอทั้งตัว เขาตั้งตารอวันนี้มานานแล้ว
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เปลื้องผ้าของหลินม่ายออกจนเปลือยเปล่า
เธอถูกวางลงบนเตียงและจับตัวไว้แน่นจนไม่อาจดิ้นได้
เขาเอื้อมมือปัดเส้นผมที่บดบังหน้าของเธออย่างนุ่มนวลราวกับสายลมอ่อนโชย ความอ่อนโยนแผ่ซ่านในดวงตา
ก่อนที่ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองจะมาถึง ทั้งสองก็ได้เข้าเรือนหอก่อนแล้ว
สาวน้อยผู้นี้เปรียบดังของหวานแสนอร่อยที่ฟางจั๋วหรานกลืนกินอย่างมีความสุข
แต่ปฏิกิริยาของเธอ…
ฟางจั๋วหรานลูบใบหน้าแดงก่ำของเธอและถาม “ครั้งแรกเหรอ?”
เจ็บ มันเจ็บมาก
หลินม่ายพยักหน้าทั้งน้ำตา ดวงตาที่โศกเศร้าเล็กน้อยของเธอทอแววราวกับกล่าวหาว่าเขาไม่ปรานี
ฟางจั๋วหรานพลันรู้สึกเป็นทุกข์ “ทำไมคุณไม่บอกความจริงกับผม?”
“ฉันอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลอู๋มาตั้งหลายเดือน คงไม่มีใครเชื่อหรอกหากฉันบอกว่าตัวเองยังบริสุทธิ์~”
“เด็กโง่เอ๊ย คุณไม่มั่นใจในตัวผมขนาดนั้นเลยเหรอ? ไร้เดียงสาจริง”
ฟางจั๋วหรานพรมจูบไปทั่วร่างกายของหลินม่ายราวสายฝนอันปลอบประโลม
เขาไม่ได้รีบเร่งที่จะกระทำต่อไป รอจนกว่าร่างกายของเธอจะปรับตัวได้และความเจ็บจางหายไป…
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลองของมัน~
ในคืนนี้ หลินม่ายก็ต้องรับศึกหนัก
ศาสตราจารย์ผู้นี้ดูเหมือนจะมีพลังงานเหลือล้น เขาจับเธอพลิกรอบแล้วรอบเล่า
ความรู้สึกของเธอราวกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ บ้างก็รู้สึกหวั่นไหว บางรู้สึกหายใจไม่ออก แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย
จนกระทั่งรุ่งสาง ศาสตราจารย์ผู้นี้ถึงจะยอมรามือและพาหลินม่ายไปอาบน้ำ
หลินม่ายถึงกับสลบไสลไปบนตัวเขา
ฟางจั๋วหรานหอมแก้มเธอและวางลงบนเตียง
เมื่อเห็นท่าทางอ่อนแรงของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่าและรักเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตามปกติปู่ฟางและย่าฟางจะตื่นนอนเวลาหกโมงครึ่ง
เมื่อเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวในบ้านหลังใหม่ คู่สามีภรรยาชราก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะพาโต้วโต้วและอาหวงไปที่สวนสาธารณะขนาดเล็กเพื่อออกกำลังกาย
เมื่อกลับมาตอนแปดโมงเช้า ฟางจั๋วเยวี่ย ฟางเว่ยกั๋ว ฟางเว่ยหมิน ฟางเว่ยตั่ง และฟางจิ้งเสียนต่างก็ตื่นขึ้นแล้ว ยกเว้นหลินม่ายและฟางจั๋วหราน
ในบรรดาคนเหล่านี้ สีหน้าฟางจั๋วหรานดูแจ่มใสที่สุด ราวกับได้รับการบำรุงมาเป็นอย่างดี
หลินม่ายไม่ชอบนอนดึก แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้วเธอกลับยังไม่ตื่น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าทั้งสองคนทำกิจกรรมร่วมกันอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยิ่งเผยกว้างขึ้น
แต่เมื่อมองยังที่ห้องที่ฟางจั๋วเยวี่ยอาศัยอยู่ ใบหน้าของคู่สามีภรรยาชราก็ไม่ค่อยดีนัก
มีเพียงเขาคนเดียวที่นอนดึกแล้วตื่นสายโดยไม่มีอะไรทำ!
คุณย่าฟางขอให้โต้วโต้วปลุกฟางจั๋วหราน พลางทำเป็นพูดอย่างไม่พอใจ “จนตะวันโด่งขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่นอีก!”
โต้วโต้วเดินไปที่ประตูห้องของฟางจั๋วหรานเพื่อปลุกเขา และกลับมาถามคุณย่าฟาง “คุณย่าคะ อยากให้หนูปลุกแม่จ๋าด้วยไหมคะ?”
คุณย่าฟางลูบศีรษะของหล่อน “แม่ของหลานทั้งไปโรงเรียนและทำงาน คงเหนื่อยไม่น้อย ให้แม่นอนพักเถอะ”
หลินม่ายไม่ตื่นเลยจนถึงเที่ยง
เมื่อลืมตาตื่น เธอก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนกพลางกล่าว “แย่แล้ว แย่แล้ว ฉันพลาดเวลาเสิร์ฟชาให้ทุกคนแล้ว”
ฟางจั๋วหรานทียืนอยู่ปลายที่นอนกล่าวขึ้นทันที “พลาดก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ ครอบครัวเราไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้”
หลินม่ายลุกขึ้นอย่างเร่งรีบพลันรุดไปอาบน้ำ
ฟางจั๋วหรานออกมาก่อนจะกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งพร้อมชามซุปนกพิราบ
เธอพูดอย่างงุนงง “ใกล้จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว คุณเอาซุปมาให้ฉันทำไมคะ?”
คำพูดของฟางจั๋วหรานนั้นคลุมเครือและอ่อนโยน “เมื่อวานคุณใช้พลังมากเกินไป คุณต้องดื่มเพื่อเพิ่มพลัง”
ใบหน้าของหลินม่ายพลันแดงก่ำในทันที
หลังจากกินซุปนกพิราบเสร็จ หลินม่ายก็เดินตามฟางจั๋วหรานไปยังห้องนั่งเล่น
มีคนมากมายในห้องนั่งเล่น
แม้ว่าจะมีเพียงสามครอบครัวของพี่น้องฟางเว่ยหมิน แต่การแต่งงานของฟางจั๋วหรานก็เป็นเรื่องใหญ่
ทั้งสามครอบครัวช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง และครอบครัวของพวกเขาทั้งหมดมาพร้อมเพรียงกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีผู้คนมากมาย
คนใช้ได้เตรียมชาสำหรับหลินม่ายและสามีของเธอแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขามา คนใช้ก็นำถ้วยชามาให้พวกเขาและขอให้พวกเขานำชาไปให้กับฟางเว่ยกั๋ว
ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายมาหาฟางเว่ยกั๋ว
หลินม่ายเป็นผู้ยื่นชาให้ฟางเว่ยกั๋วก่อน เขาจิบชาด้วยรอยยิ้มและมอบซองสีแดงขนาดใหญ่ให้เธอ
เมื่อถึงคราของฟางจั๋วหราน พี่น้องบางคนก็โห่ร้อง
ว่ากันว่าการคุกเข่าซ้ายจะได้ลูกชาย การคุกเข่าขวาจะได้ลูกสาว และการคุกเข่าทั้งสองข้างจะได้ลูกแฝด
ทุกคนต้องการให้ฟางจั๋วหรานคุกเข่าลงทั้งสองข้างเพื่อหลินม่ายจะมีลูกแฝดในอนาคต
ฟางจั๋วหรานคุกเข่าข้างหนึ่งอย่างตั้งใจ
เขาบอกว่าการมีลูกยากมาก และการมีลูกแฝดนั้นยากยิ่งกว่า หลินม่ายต้องให้กำเนิดลูกคนเดียวก่อน และเขารับได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
เหล่าพี่น้องต่างโห่ร้อง บอกว่าเขารักภรรยามากเกินไป
ฟางจั๋วหรานคิดในใจ แน่นอนว่าภรรยาต้องเจ็บปวดเพียงใดในการคลอดลูก
เป็นเรื่องยากที่เถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ จะมายังเมืองหลวง ดังนั้นหลินม่ายจึงขอให้ผู้จัดการสำนักงานในปักกิ่งจัดหาผู้ร่วมเดินทางให้กับเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ เพื่อจะได้เดินทางท่องเที่ยวในเมืองหลวงก่อนจะกลับไปยังเจียงเฉิง
แต่เฉินเฟิงไม่กล้าอยู่ต่อ เขาบินกลับไปฮ่องกงเพื่อดูแลเคอจื่อฉิงในวันแต่งงานของหลินม่าย
แม้ว่าการแต่งงานของหลินม่ายจะมีความสำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่ากับภรรยา
ดังนั้นเมื่อหลินม่ายแต่งงาน เขาจึงไม่ได้เข้าร่วม ซึ่งหลินม่ายก็ไม่โกรธ เพราะเข้าใจถึงเหตุผลของเขา
แต่ภรรยาของเขายืนกรานให้เขาเข้าร่วม โดยบอกว่าหล่อนมีพี่เลี้ยงดูแลอยู่แล้ว
ดังนั้นเขาจึงหาเวลาไปร่วมงานแต่งงานของหลินม่าย
หลังจากงานแต่งงานจบลง เขาก็ไม่กล้าอยู่ต่อ
เขาไม่เพียงต้องดูแลภรรยาเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลโครงการอสังหาริมทรัพย์สองโครงการในฮ่องกงที่หลินม่ายมอบหมายให้เขา
หลังจากเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ ตะลอนเที่ยวเมืองหลวงเป็นเวลาสองวัน ในคืนก่อนที่พวกเขาจะจากไป หลินม่ายจัดงานเลี้ยงอำลาให้พวกเขาในโรงแรม และฟางจั๋วเยวี่ยก็ไปด้วย
หลินม่ายรู้ว่าเขาต้องการพบเถาจืออวิ๋น ดังนั้นจึงต้องพาเขาไปด้วย
ฟางจั๋วหรานในฐานะสามีของหลินม่ายที่เพิ่งแต่งงานใหม่และแยกจากเธอไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงตามไปเป็นธรรมดา
ก่อนเข้าห้องส่วนตัว ฟางจั๋วเยวี่ยอารมณ์ดีอย่างมาก
แต่เมื่อเขาผลักประตูห้องส่วนตัวและเห็นหลิวหย่งเจียงกำลังยื่นองุ่นให้เถาจืออวิ๋น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยสีหน้ารังเกียจทันที
เมื่อเห็นหลินม่ายและฟางจั๋วหรานกำลังมา ทุกคนก็พูดหยอกล้อทั้งคู่
แต่ฟางจั๋วเยวี่ยไม่สนใจเลย
บริกรเสิร์ฟอาหารและทุกคนพูดคุยกันขณะรับประทานอาหาร
เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยเผยสีหน้าเย็นชา เสี่ยวหม่านจึงหยอกล้อ “ใบหน้าของคุณฟางเป็นอัมพาตเหรอคะ? ในงานดูเหมือนว่าคุณจะกลับมายิ้มได้ปกติแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงกลับมาป่วยอีกแล้วละคะ?”
หลี่หมิงเฉิงแอบสัมผัสหล่อนด้วยข้อศอก ส่งสัญญาณไม่ให้เธอพูดเรื่องไร้สาระ
ทุกคนมองไปยังฟางจั๋วเยวี่ยโดยพร้อมเพรียงกัน
ฟางจั๋วเยวี่ยหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบ ดวงตาของเขาฉายแววแห่งรอยยิ้มอันเฉื่อยชา “คุณรู้อะไรไหม อาการอัมพาตที่ใบหน้าของผมเรียกว่าความเย็นชา”
เมื่อเห็นเถาจืออวิ๋นกำลังตักผักให้หลิวหย่งเจียง เขาก็ยื่นชามใบเล็กออกมา “ผมขอด้วยสิครับ”
เถาจื่ออวิ๋นมองเขาอย่างเหลือเชื่อ แต่หลิวหย่งเจียงต้องการที่จะหยิกเขา เพราะเขากลัวว่าเขาจะคว่ำโต๊ะด้วยความโกรธ อาหารทั้งหมดก็จะไม่สามารถรับประทานได้อีกต่อไป
หลินม่ายตักอาหารแสนอร่อยวางในชามของฟางจั๋วเยวี่ยพลางแล้ว “เอาล่ะ หยุดสร้างปัญหาได้แล้วค่ะ”
จากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็ดึงชามใบเล็กของเขากลับมาอย่างเชื่องช้า
ทุกคนยิ้มและคุยกันสักพักแล้วจึงคุยเรื่องงาน
จ้าวเลี่ยงพูดคุยกับหลินม่ายเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการทำสัญญาที่ดินในชนบทช่วงเดือนกันยายนนี้เพื่อปลูกผักนอกฤดู
เขากล่าวว่าปีที่แล้ว เกษตรกรที่ปลูกผักนอกฤดูของตนเองขาย ได้เงินมากกว่าผู้เช่าที่ดินกับหลินม่ายและทำงานให้กับเธอ
ในปีนี้จึงไม่มีเกษตรกรรายใดเต็มใจที่จะเช่าที่ดินของพวกเขาและทำงานให้กับพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำเองทั้งหมดแล้วขายผักนอกฤดูที่ปลูกไว้
หลินม่ายพยักหน้า “แน่นอนว่าเรื่องราวเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ แต่เราก็มีวิธีจัดการปัญหาที่ดี คุณบอกเกษตรกรเหล่านั้นว่าตราบเท่าที่ตัวชี้วัดของผักนอกฤดูที่พวกเขาปลูกตรงตามมาตรฐาน เราจะเก็บเกี่ยวมัน หากสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานและผักที่ปลูกไม่ดี เราก็จะไม่ซื้อจากพวกเขา”
เธออ่านประโยคหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตในชีวิตที่แล้วว่า ชาวนาใจดีจริง แต่พวกเขาก็โหดเหี้ยมเช่นกันเมื่อพูดถึงผลประโยชน์
พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันด้วยหลักการ พูดแต่เรื่องผลประโยชน์
หลินม่ายขอให้จ้าวเลี่ยงพูดอย่างชัดเจนกับชาวบ้าน เพื่อที่ความขัดแย้งจะได้น้อยลงในอนาคต
นอกจากนี้ หลินม่ายยังขอให้โจวฉายอวิ๋นส่งไส้ขนมมาให้ เพื่อที่เธอจะฝึกฝนเหล่าพ่อครัวและแม่ครัวให้ฝึกทำไส้ขนม
เธอต้องการเปิดสาขาร้านเปาห่าวชือในปักกิ่ง จึงต้องเพิ่มสูตรลับในการทำไส้
แม้เธอจะสามารถคิดค้นสูตรลับในการทำไส้ขนมได้เอง แต่ก็ยังไม่อาจหาวิธีเก็บรักษาให้อยู่ได้นานขึ้น เนื่องจากเธอมีเรื่องมากมายต้องทำและค่อนข้างวุ่นวาย
ดังนั้นเธอจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการสอนพนักงาน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คืนเข้าหอช่างร้อนแรงเหลือเกินค่ะ อดทนมานานแล้วใช่ไหมพี่หมอ เล่นซะยันหว่างเลย
ไหหม่า(海馬)