แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 676 ให้กำลังใจลวี่กั๋วต้ง
ตอนที่ 676 ให้กำลังใจลวี่กั๋วต้ง
คู่หนุ่มสาวไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของขวัญ จากนั้นกลับไปยังบ้านของพ่อไป๋
ซึ่งที่นี่ไม่มีแม่ไป๋และไป๋ซวง
มีเพียงพ่อไป๋ สองพี่น้องไป๋เซี่ยและไป๋ลู่ ครอบครัวของไป๋เหยียน และคู่สามีภรรยาอาวุโสอย่างปู่ไป๋ บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างกลมกลืนและสมานฉันท์
ไป๋เหยียนลงมือทำอาหาร หยางจิ้นจึงลุกไปช่วยเหลือ ทั้งสองทำอาหารแสนอร่อยสำหรับหลินม่ายและฟางจั๋วหราน
ผู้ที่แม่ไป๋ควรเอาเป็นแบบอย่างมากที่สุดคือไป๋เหยียนพี่สาวคนโตของตระกูล
ทุกคนรับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างมีความสุข
พ่อไป๋บอกว่าหลินม่ายมีอายุในทะเบียนบ้านเกือบยี่สิบปีแล้ว ซึ่งบรรลุนิติภาวะที่จะจดทะเบียนสมรส
เขาเตือนฟางจั๋วหรานว่าอย่าลืมขอรับใบรับรองกับหลินม่าย
การขอทะเบียนสมรสในยุคนี้เข้มงวดน้อยกว่าในทศวรรษต่อมามาก
ตราบใดที่บรรลุนิติภาวะสำหรับการแต่งงาน ย่อมเป็นไปได้ที่จะไว้วางใจให้คนอื่นดำเนินการแทน
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ผมได้ขอให้หัวหน้าคนก่อนช่วยเหลือผมและหลินม่านยื่นขอทะเบียนสมรสแล้ว หลังจากวันที่เก้า หัวหน้าจะส่งทะเบียนสมรสมาให้เรา”
ได้ยินแบบนั้นพ่อไป๋ก็โล่งใจ
หลังรับประทานอาหารกลางวันและพูดคุยกันสักพัก หลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็ขับรถกลับบ้าน
ตั้งแต่ที่แม่ไป๋และพ่อไป๋หย่ากัน แม่ไป๋เลี้ยงดูคนสองคนด้วยเงินเดือนของตนคนเดียวและต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกด้วย ส่งผลให้ชีวิตของไป๋ซวงไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งทำให้หล่อนหดหู่ใจอย่างมาก
ลวี่กั๋วต้งแฟนของหล่อนที่คบหากันมาตั้งแต่ยังเด็ก ขอให้ออกไปซื้อของด้วยกัน หล่อนจึงออกไป
พูดตามตรงก็คือ ทุกวันนี้ลวี่กั๋วต้งยังเต็มใจที่จะคบหากับหล่อน ไม่ว่ามันจะเป็นรูปแบบไหน ไป๋ซวงก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก
ตั้งแต่เรื่องอื้อฉาวของหล่อนแพร่ออกไป เพื่อนร่วมชั้นหลายคนเริ่มไม่พูดคุยกับหล่อนอีก
บางครั้งที่บังเอิญเจอกันบนถนน ไม่เพียงไม่ทักทายหล่อนเท่านั้น แต่ยังชี้นิ้วมาทางหล่อนพร้อมกระซิบกระซาบ การถูกจ้องมองอย่างเหยียดหยามเช่นนี้ทำให้หล่อนลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต
ไป๋ซวงรู้สึกเสียศูนย์อย่างมาก
ทำไมเพื่อนร่วมชั้นเหล่านี้ถึงดูถูกหล่อน ถ้าพบเจอสิ่งเดียวกันกับที่เธอเผชิญหน้า พวกเขาอาจทำยิ่งกว่าหล่อนก็ได้!
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามถนนหนทาง ไป๋ซวงถาม “คุณป้ายังให้นายไปไหนมาไหนกับฉันด้วยเหรอ?”
ลวี่กั๋วต้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “เปล่าหรอก แต่ฉันไม่ฟังหล่อนอยู่แล้ว”
ไป๋ซวงรีบผลักเขาและพูดว่า “นายแอบมาหาฉันเป็นการส่วนตัว รีบกลับไปเลยนะ อย่าทำให้คุณป้าโกรธ คุณป้าเป็นคนดี เพียงแต่หล่อนเข้มงวดกับนายไปหน่อย แต่นี่ก็แสดงว่าหล่อนรักนายจริงๆ ถ้าหล่อนไม่รักนาย หล่อนคงไม่ตีสั่งสอนนายโดยไม่สนใจว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย อีกอย่างหล่อนเอาเวลามากมายเหล่านี้ไปสั่งสอนลูกชายตัวเองดีกว่าไม่ใช่เหรอ? นั่นหมายความว่าหล่อนให้ความสำคัญกับนายเหมือนกับลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง นายควรจะขอบคุณหล่อนนะ”
แม่ของลวี่กั๋วต้งเป็นแม่เลี้ยง หล่อนเป็นคนติดดินและไม่สนใจสิ่งใดมาก
หล่อนต้องการเลี้ยงดูสั่งสอนลูกทั้งสองให้มีความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นลูกของตัวเองหรือลูกติดจากภรรยาเก่าของสามีที่ทิ้งไป
ลูกชายของแม่เลี้ยงลวี่กั๋วต้งเชื่อฟังมากกว่า หล่อนจึงให้ความสนใจเขาน้อยลง
ส่วนลวี่กั๋วต้งเป็นคนดื้อรั้นมาก ดังนั้นแม่เลี้ยงจึงมักทุบตีสั่งสอนเขาบ่อยครั้ง
ลวี่กั๋วต้งคิดว่าแม่เลี้ยงรักพวกเขาไม่เท่ากัน และรู้สึกไม่ชอบหน้าแม่เลี้ยง
เมื่อไป๋ซวงดุเขาเรื่องนี้ ลวี่กั๋วต้งก็ยิ่งไม่พอใจแม่เลี้ยงของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาตะคอกด้วยความเย็นชา “ขอบคุณเหรอ เหอะๆ!”
ไป๋ซวงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากด้วยความภูมิใจ
หล่อนรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะในการพูดอย่างมาก พูดไปเพียงไม่กี่คำก็สามารถกระตุ้นความเกลียดชังของลวี่กั๋วต้งที่มีต่อแม่เลี้ยงได้แล้ว
นังผู้หญิงแก่นั่นเป็นใครถึงมาสั่งห้ามไม่ให้ลวี่กั๋วต้งคบหากับหล่อน!
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันก้าวไปข้างหน้า จู่ๆ ลวี่กั๋วต้งก็ยกมือขึ้นชี้นิ้ว “ดูสิ ลูกสาวแท้ๆ ของพ่อแม่เธอนี่”
พ่อของลวี่กั๋วต้งและพ่อไป๋เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบหัวหน้าและลูกน้อง
มิตรภาพระหว่างทั้งสองถือว่าไม่เลวร้าย ดังนั้นพ่อไป๋จึงเชิญพ่อลวี่มางานแต่งงานของลูกสาวตัวเอง
ดังนั้นลวี่กั๋วต้งจึงตามพ่อแม่มางานแต่งงานของหลินม่ายและฟางจั๋วหรานด้วย และเคยได้เห็นหลินม่ายมาก่อน
ครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลินม่าย มันทำให้เขาตกใจไม่น้อย
ในวันแต่งงาน หลินม่ายแต่งหน้าอย่างประณีตดูมีเสน่ห์ดึงดูดมาก
แม้วันนี้หลินม่ายจะไม่ได้แต่งหน้า แต่เธอยังคงดูสวยเหมือนเดิม
ไป๋ซวงหันมองตามนิ้วของลวี่กั๋วต้ง แล้วก็เห็นหลินม่ายและฟางจั๋วหรานจอดรถและลงมาซื้อผลไม้ที่ร้านค้าข้างถนน
เมื่อดูเสื้อผ้าที่หลินม่ายสวมใส่ และสิ่งที่ตัวเองสวมใส่ จากนั้นก็ไล่ดูเครื่องประดับพลางเปรียบเทียบระหว่างหลินม่ายและตัวเอง ไป๋ซวงพลันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
หล่อนลอบกัดฟันด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะหลินม่าย หล่อนจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้หรือ?
หล่อนอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกด้วยความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง “ไร้ยางอาย ไร้ยางอายจริงๆ อย่างหล่อนก็รู้แค่วิธีใช้เงินของผู้ชาย!”
ลวี่กั๋วต้งมองหล่อนด้วยความประหลาดใจ
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเป็นสามีภรรยากัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภรรยาจะใช้จ่ายด้วยเงินสามี
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาแค่ซื้อผลไม้ ผลไม้พวกนั้นคงไม่ได้มีราคาแพง อย่างน้อยก็ไม่แพงเท่ากล่องแป้งเค้กที่เขาซื้อให้ไป๋ซวง
แต่ไป๋ซวงกลับใช้เหตุการณ์นี้โจมตีหลินม่ายอย่างไร้เหตุผล
เมื่อนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับไป๋ซวงที่พยายามขัดขวางหลินม่ายไม่ให้เจอกับตระกูลไป๋ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลวี่กั๋วต้งอดไม่ได้ที่จะพูดเกลี้ยกล่อม “ซวงเอ๋อร์ ฉันรู้ว่าการกลับมายังตระกูลไป๋ของหลินม่ายมีอิทธิพลกับเธอมาก แต่นี่มันก็เป็นบ้านของเธอเหมือนกัน”
ไป๋ซวงสังเกตเห็นเล่ห์เหลี่ยมของเขาได้ทันที
เธอกลอกตาและจงใจกล่าวคำด้วยความลังเล “ฉันไม่ได้ไม่มีความสุขที่หล่อนกลับมายังตระกูลไป๋ แต่เพราะว่า… เพราะ…”
“เพราะอะไร?” ลวี่กั๋วต้งถามขึ้นด้วยความสงสัย
ไป๋ซงถามกลับด้วยความลังเล “นายจำช่วงสองถึงสามเดือนก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม ที่ฉันขอให้นายจัดการกับคนเลว”
“จำได้สิ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ” ลวี่กั๋วต้งพยักหน้ารับ “เธอบอกฉันว่าจะพาคนเลวคนนั้นไปที่โรงแรมเพื่อมอมเหล้า ให้ฉันพาพี่น้องสักสองถึงสามคนลากไอ้เลวนั่นไปนอกเมืองเพื่อสั่งสอนให้หนัก เพื่อที่มันจะได้ไม่กล้ามายุ่งเกี่ยวกับเธออีกในอนาคต แต่เธอกลับออกไปก่อนโดยไม่ได้กินข้าวกับไอ้เลวคนนั้นจนเสร็จ ต่อมาพอฉันถามเธอ เธอบอกว่าถูกไอ้เลวคนนั้นลักพาตัวไป และเธอหนีออกมาได้ระหว่างทาง”
ไป๋ซวงเริ่มบีบน้ำตาออกมา “ฉันไม่ได้หนี ฉันโกหกนาย เพราะเกรงว่านายจะเป็นกังวล~”
ลวี่กั๋วต้งรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน “แล้วเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับคนเลวนั่น?”
ไป๋ซวงยิ่งร้องไห้หนักขึ้น “ฉันถูกแอบถ่ายภาพอนาจาร และคนเลวนั่นก็คือหลินม่าย ตอนนี้นายเข้าใจแล้วหรือยังว่าทำไมฉันถึงได้เกลียดชังหล่อนนัก”
ลวี่กั๋วต้งกัดฟันกรอด “ไม่คาดคิดเลยว่าหลินม่ายที่ดูสวยงามภายนอก แต่กลับมีจิตใจเลวทรามถึงขนาดนี้!”
ไป๋ซวงลอบกัดฟันด้วยความโกรธเมื่อได้ยินลวี่กั๋วต้งชมว่าอีกฝ่ายสวย
หล่อนกล่าวออกมาด้วยท่าทางน่าเวทนา “กั๋วต้ง นายต้องช่วยฉันแก้แค้นนะ”
ลวี่กั๋วต้งพยักหน้ารับคำ “อย่าห่วงเลย ฉันจะช่วยเธอเอง!”
ในพริบตาก็เป็นวันหยุดสุดท้ายของวันชาติ วันนี้ฟางเว่ยกั๋วและคนอื่นๆ เดินทางออกจากเมืองหลวงเพื่อกลับไปยังเมืองเจียงเฉิน
หลังจากรับประทานอาหารเช้า ฟางจั๋วหรานและภรรยาออกมาส่งฟางเว่ยกั๋วและคนอื่นๆ กลับเมืองเจียงเฉิงที่สนามบิน
จู่ๆ ฟางจั๋วหรานก็กระซิบกับฟางเว่ยกั๋วว่า “ขอบคุณนะครับพ่อ”
ฟางเว่ยกั๋วรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ขอบคุณพ่อเรื่องอะไร?”
“ที่ช่วยรับน้ำโค้กแทนผมในวันแต่งงาน”
หากกู้ม่านซือสาดน้ำกรดแทนน้ำโค้กในวันนั้น ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะ
จนถึงทุกวันนี้ ฟางจั๋วหรานยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวคราวนั้น
ไม่ใช่ว่าเขากลัวที่น้ำโค้กกระเด็นใส่หลังของฟางเว่ยกั๋ว แต่ถ้ามันเป็นน้ำกรดขึ้นมาจริงๆ ฟางเว่ยกั๋วจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฟางเว่ยกั๋วเผยยิ้มและตบไหล่ฟางจั๋วหราน “พ่อเป็นพ่อของลูก เพราะงั้นไม่ต้องขอบคุณสิ่งที่พ่อทำให้ลูกหรอก”
จากนั้น เขาเดินเข้าไปยังช่องรักษาความปลอดภัยของสนามบินพร้อมกับฟางเว่ยหมินและคนอื่นๆ
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานรอกระทั่งพวกฟางเว่ยกั๋วและคนอื่นๆ เดินห่างออกไปจนลับสายตา
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ปู่ฟาง ย่าฟาง และโต้วโต้วก็ร่วมร้องเพลงวันเกิดให้หลินม่าย “สุขสันต์วันเกิดแด่คุณ สุขสันต์วันเกิดแด่คุณ…”
หลินม่ายรู้สึกสับสนเล็กน้อย “วันเกิดของฉันยังอีกสองวัน ทำไมถึงรีบฉลองวันเกิดตั้งแต่วันนี้ล่ะ?”
คุณย่าฟางพูดด้วยรอยยิ้ม “วันเกิดของเธอไม่ตรงกับวันหยุด และเธอจะต้องไปเรียน เราจึงฉลองวันเกิดให้เธอวันนั้นไม่ได้ ย่าและปู่จึงตัดสินใจว่าจะฉลองวันเกิดล่วงหน้าให้เธอล่วงหน้า นี่เป็นวันเกิดปีแรกตั้งแต่เธอแต่งงานเข้ามาอยู่ในครอบครัวฟางของเรา”
หลินม่ายรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเมื่อได้รับฟัง
ทุกคนกินเค้กวันเกิดด้วยกันอย่างมีความสุข และจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัว
หลินม่ายกินจนอิ่มและรู้สึกหนังตาที่หนักอึ้ง
ในช่วงสองถึงสามคืนที่ผ่านมา เธอใช้พลังงานมากเกินไป
เธอจึงเดินกลับไปนอนที่ห้อง แต่หลังจากนอนได้ไม่นาน ฟางจั๋วหรานก็เข้ามาหาและปลุกเธอให้ตื่น
หลินม่ายยังคงหลับตาและยกมือปัดป้องเขาออกไป “จั๋วหราน อย่ากวนได้ไหม ให้ฉันได้นอนหลับเถอะ”
ฟางจั๋วหรานมองท่าทางแสนขี้เกียจของภรรยา เธอช่างมีเสน่ห์อย่างมาก ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูน่ารักน่าทะนุถนอม
เขาก้มลงจูบหน้าผากของเธอ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะมากวน แต่ผมมีของขวัญวันเกิดมาให้คุณ”
หลินม่ายลืมตาขึ้นทันที “ของขวัญวันเกิดอะไรหรือ?”
ใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ
มันเป็นใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง
หลินม่ายรับใบรับรองอสังหาริมทรัพย์มาด้วยความสนใจและนั่งอ่านรายละเอียด
หลังจากนั้นเธอก็ต้องสะดุ้งตกใจ
ใบรับรองอสังหาริมทรัพย์นี้เป็นระดับกลางของฮ่องกง เป็นใบรับรองวิลล่าขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากกว่า 600 ตารางเมตร
หน่วยที่คนฮ่องกงใช้ในการคำนวณพื้นที่ของบ้านคือตารางเมตรของฮ่องกง หลินม่ายต้องทำการแปลงหน่วยในใจ ซึ่งคำนวณผลลัพธ์ได้มากกว่า 600 ตารางเมตรจีน
ในฐานะคนในพื้นที่ เธอจึงไม่คุ้นเคยกับหน่วยการคำนวณของฮ่องกง
นี่คือบ้านในละแวกคนรวย และมีทัศนียภาพที่งดงามอย่างไร้ขีดจำกัด
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “คุณซื้อวิลล่าหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลย?”
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา “ถ้าผมบอกก่อน แล้วจะทำให้คุณประหลาดใจได้ยังไงล่ะ คราวก่อนที่ไปฮ่องกงเพื่อซื้ออุปกรณ์จัดงานแต่งงาน ผมแอบซื้อมันไว้ตอนที่คุณไปประมูลบริษัทรับเหมาก่อสร้าง คุณชอบมันไหม?”
หลินม่ายกอดใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่หน้าอกและพยักหน้าอย่างแรง “ชอบสิ ชอบมากเลย!”
ฟางจั๋วหรานโน้มตัวกระซิบข้างหูหญิงสาว “แล้วคืนนี้คุณจะตอบแทนผมอย่างไรดี?”
หลินม่ายยัดใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ไว้ในอ้อมแขนของชายหนุ่มและพูดว่า “ฉันไม่ต้องการบ้านหลังนี้” จากนั้นเธอล้มตัวนอนอีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานถามด้วยความขบขัน “คุณไม่ต้องการวิลล่าราคาแพงหลังนี้แล้วจริงหรือ?”
หลินม่ายคลุมโปงด้วยผ้านวมและตอบไปว่า “ฉันไม่ต้องการบ้านหลังใหญ่ราคาแพง การนอนคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ฟางจั๋วหรานยัดใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ไว้ใต้ผ้านวม “บ้านนี้เป็นของคุณ ไม่ว่าคุณจะตอบแทนผมหรือไม่ มันก็ยังเป็นของคุณ”
หลินม่ายหลับตาพริ้ม กอดใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ไว้ในอ้อมอกและผล็อยหลับไป
วันแรกหลังจากวันหยุด ฟางจั๋วหรานขับรถมาส่งหลินม่ายไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง
พอผ่านร้านซาลาเปาหน้ามหาวิทยาลัย หลินม่ายก็เข้าไปข้างในและพบว่ามันเปิดไฟสว่างไปทั้งร้าน
ลูกจ้างทั้งสองคนทำงานอย่างขะมักเขม้น
หลินม่ายขอให้ฟางจั๋วหรานหยุดรถ เธอต้องการเข้าร้านไปเตรียมหมูสับ หลังเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เธอก็เดินกลับมาที่รถ
ฟางจั๋วหรานขับรถต่อไป “คุณลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเป็นเถ้าแก่ของร้าน? แม้จะเปิดร้านขนาดเล็ก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกน้องของคุณรับผิดชอบงานของร้านทั้งหมดเถอะ ส่วนคุณตั้งใจเล่าเรียนก็พอ”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันแค่เป็นห่วงเล็กน้อย จึงรอจนกว่าพี่ฉายอวิ๋นจัดการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนำไปใส่ให้เครื่องบรรจุ แล้วจึงปล่อยให้พวกเขาจัดการส่วนที่เหลือ”
ฟางจั๋วหรานไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลินม่ายลงจากรถที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยและต้องการยกจักรยานออกจากท้ายรถ
ฟางจั๋วหรานดึงเธอไปด้านข้างพร้อมพูดว่า “ผมทำให้เอง”
จากนั้นเขายกจักรยานออกมาวางลงบนพื้น
หลินม่ายคร่อมจักรยานและกำลังจะปั่นเข้าไปในมหาวิทยาลัย
ฟางจั๋วหรานหยุดเธอไว้ก่อนและชี้นิ้วไปยังแก้มของตัวเอง
หลินม่ายเข้าใจความหมายได้ทันที
หลังมองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครอื่น จากนั้นจึงหอมแก้มฟางจั๋วหรานอย่างรวดเร็วและรีบขี่จักรยานออกไป
ฟางจั๋วหรานมองร่างบางที่ขี่จักรยานต้านสายลมและคิดว่าช่างงดงามยิ่งนัก เขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มอย่างอารมณ์ดี
หลินม่ายมาถึงมหาวิทยาลัยราวหกนาฬิกาสามสิบนาที มันยังเช้าเกินไป เธอจึงตรงไปที่หอพักก่อน
ในเวลานี้นักเรียนหลายคนในหอพักตื่นแล้ว และบางคนกำลังเดินอยู่ตามทางเดิน
เมื่อทุกคนเห็นหลินม่าย ก็โบกมือทักทายอย่างอารมณ์ดี “เจ้าสาวมาแล้ว เจ้าสาวมาแล้ว!”
หลินม่ายไม่ได้สนใจว่าจะรู้จักคนเหล่านี้หรือไม่ แต่ด้วยลูกอมเต็มกำมือ ในที่สุดเธอก็ฝ่าวงล้อมของทุกคนจนมาถึงห้องพักตัวเอง
แม้ว่าเพื่อนร่วมห้องทั้งหกคนที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวในงานแต่งงานจะได้รับซองแดงซองหนาและขนมงานแต่งจำนวนมากหลังจากงานแต่งงานสิ้นสุดลงในวันนั้น แต่หลินม่ายยังคงนำขนมมาแจกจ่ายให้พวกเธอเพิ่มเติมอีก
เมื่อให้ขนมงานแต่งงานกับสวีชิงหยา ไม่เพียงอีกฝ่ายจะปฏิเสธน้ำใจ แต่ยังถามทั้งน้ำตาว่า “หลินม่าย เธอไม่พอใจอะไรในตัวฉันหรือเปล่า?”
มาแนวนี้อีกแล้ว!
ใบหน้าของหลินม่ายบูดบึ้งทันใด “ฉันมีตารางเรียนที่หนักหนาและยังต้องคอยดูแลสามี ฉันไม่มีเวลามาจับผิดหรือหาเรื่องเธอหรอก แต่เธอเอาแต่หาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้ตลอด!”
“เธอดูมีปัญหากับฉันจริงๆ ในห้องมีรูมเมทเจ็ดคน เธอเชิญทุกคนไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว แต่ยกเว้นฉันคนเดียว”
หลินม่ายไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป “ก็ได้ ฉันมีปัญหากับเธอ งั้นก็อย่ามาคุยกับฉันอีก ฉันเหนื่อย”
และเธอก็ไม่คิดให้ขนมงานแต่งงานกับสวีชิงหยาด้วยเช่นกัน
เธอโยนขนมที่เหลือเข้าไปในตู้และปิดล็อก จากนั้นเดินออกจากห้องพร้อมกับรูมเมทคนอื่นเพื่อเตรียมตัวไปยังห้องเรียนคาบเช้า แต่ก่อนหน้านั้นพวกเธอจะไปที่โรงอาหารเพื่อกินอาหารเช้าก่อน
สวีชิงหยาถามขึ้นด้วยความไม่พอใจจากด้านหลัง “ทำไมต้องล็อกประตูตู้ด้วย เธอกลัวว่าฉันจะขโมยของของเธองั้นเหรอ?”
หลินม่ายแทบระเบิดโทสะทันที
เธอหันกลับไปพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เธออยากคิดยังไงก็เชิญ แต่อย่ามาพูดกับฉันอีก ฉันรังเกียจที่จะได้ยินเสียงของเธอ”
สวีชิงหยาโกรธเคืองมากจนกลั้นน้ำตาไม่ได้ รีบวิ่งออกจากห้องนอนทันที
เถียนเฟินมองตามหลังหญิงสาวพลางโคลงศีรษะ “หล่อนต้องไปหาคุณป้าเพื่อฟ้องว่าถูกเธอกลั่นแกล้งแน่ๆ”
หลินม่ายไม่สนใจ “อยากฟ้องก็ฟ้องสิ! ฉันสงสัยมาตลอดว่าทำไมคนอื่นถึงปฏิบัติกับหล่อนไม่ดีนัก ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้ว”
กัวเซี่ยงหงหันมองเธอด้วยดวงตาสดใส “ดูเธอสิ เจ้าเล่ห์ชะมัด เธอมีบ้านอยู่ในเมืองหลวง เลยหนีกลับบ้านในวันหยุดได้ เราทุกคนล้วนมาจากต่างจังหวัด เดินทางกลับบ้านไม่ได้ช่วงวันหยุด ดังนั้นจึงจำใจต้องอยู่ในหอพัก ทนทุกข์ทรมานกับความประสาทเสียของสวีชิงหยา ไม่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเราไม่ใส่ใจหล่อนหรือไม่ให้ความสำคัญกับหล่อนเป็นอันดับแรก หล่อนจะร้องห่มร้องไห้เหมือนเราไปข่มเหง ทำให้พวกเราปวดประสาทแทบเป็นบ้า!”
เสิ่นอวิ้นถาม “พวกเธอว่าสวีชิงหยามีอาการป่วยทางจิตหรือเปล่า?”
หลินม่ายพูดด้วยความเหยียดหยามอยู่ในใจ “หล่อนเป็นคนโรคจิตของแท้เลยแหละ ชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางให้คนอื่นคอยวนเวียนอยู่รอบๆ”
แต่เธอไม่ได้พูดคำนั้นออกไป
เธอเป็นเหมือนป้าแก่ๆ ที่สามารถมองทะลุผ่านหัวใจของผู้คนได้ แต่เด็กสาวเหล่านี้แตกต่างจากเธอ
หากเธอพูดสิ่งที่อยู่ในใจ เพื่อนร่วมห้องเหล่านี้ไม่เพียงไม่เห็นด้วย แต่อาจคิดว่าตัวเธอนั้นเลือดเย็นที่กล้าพูดคำพวกนั้นออกมา
เมื่อกลุ่มพวกเธอเดินลงไปชั้นล่าง เห็นป้าแม่บ้านดุด่าสวีชิงหยาที่มีท่าทีกระวนกระวาย
“นักเรียนที่รับเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ล้วนเป็นเยาวชนที่ยอดเยี่ยม แต่คงจะยกเว้นเธอสินะ? ไม่ยอมตั้งใจเรียน แล้วมัวแต่มาฟ้องได้ทุกวี่ทุกวัน เธอมาฟ้องเรื่องรูมเมทคนนั้นในวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็คงมาฟ้องเรื่องรูมเมทอีกคน ทุกครั้งที่ฉันไปตรวจสอบ ฉันพบว่าเธอสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลตลอด ครั้งนี้เธอมาฟ้องว่าเพื่อนร่วมห้องปฏิบัติกับเธอเหมือนขโมยและจงใจล็อกประตูตู้ เด็กคนนั้นไม่มีสิทธิ์ล็อกประตูหรือยังไง? ถ้าเธอสงสัยว่าเด็กคนนั้นเป็นขโมย เธอจะไม่ล็อกประตูเหรอ? แล้วเพื่อนร่วมห้องของเธอยังมีอีกตั้งหกคน ทำไมพวกเขาถึงไม่คิดแบบเดียวกันนี้ล่ะ?”
สวีชิงหยาสะอื้นไห้ “สภาพครอบครัวของพวกหล่อนทั้งหกคนไม่ได้เลวร้าย มีเพียงครอบครัวหนูเท่านั้นที่ยากจน และหลินม่ายจงใจล็อกประตูตู้เพราะคิดว่าหนูเป็นขโมย”
ใบหน้าของป้าผู้ดูแลหอพักบิดเบี้ยวน่าเกลียด “ถ้าใจเธอสกปรก ก็อย่าเหมารวมว่าคนอื่นจะมีจิตใจสกปรกไปด้วย เข้าใจไหม?”
เมื่อหลินม่ายและคนอื่นๆ เดินออกจากหอพัก ทุกคนต่างก็โล่งใจและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ป้าแม่บ้านพูดได้ดีมาก!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไอ้หนุ่ม อย่าไปหลงเชื่อนังงูพิษนี่ ทิ้งแล้วหาคนใหม่เถอะ ขอเตือนด้วยความหวังดี
ชิงหยานี่ควรพบจิตแพทย์ด่วนๆ ค่ะ แค่อ่านบทนางก็ปวดประสาทแล้ว
ไหหม่า(海馬)