แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 703 มอบเสื้อผ้ากันหนาวให้เถียนเถียน
ตอนที่ 703 มอบเสื้อผ้ากันหนาวให้เถียนเถียน
เมื่อกลับไปยังมหาวิทยาลัยในวันจันทร์ หลินม่ายก็ขอให้ฟางจั๋วหรานขับรถไปที่ประตูร้านขายเซาปิ่งของหยางจิ้น เพื่อที่เธอจะได้มอบเสื้อผ้ากันหนาวที่ซื้อให้เถียนเถียนกับหยางจิ้น
หยางจิ้นก็เหมือนกับเมื่อวาน เขาแบกเถียนเถียนไว้บนหลังและทำงานไปด้วย
แม้วันนี้จะเป็นวันที่นักศึกษาเดินทางกลับมายังมหาวิทยาลัย แต่ธุรกิจของหยางจิ้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อวานมากนัก
เหตุผลหลักคือราคาของเซาปิ่งเนื้อมีราคาแพงกว่าอาหารเช้าอื่น ๆ
นักศึดษาหลายคนไม่สามารถจ่ายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่มองดูอย่างหมดหนทาง กลืนน้ำลายและเดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ
กำลังหลักในการซื้อเซาปิ่งยังคงเป็นชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัจจุบัน หลินม่ายประมาณการว่าหยางจิ้นจะสามารถสร้างรายได้สองสามร้อยหยวนในหนึ่งเดือน ซึ่งดีกว่าการทำงานในโรงงานมาก
ฟางจั๋วหรานหยุดรถที่หน้าร้านขายเซาปิ่งของหยางจิ้น หลินม่ายลงจากรถพร้อมกับเสื้อผ้าที่เธอซื้อให้เถียนเถียน เรียกหยางจิ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่เขย”
หยางจิ้นทำเซาปิ่งเนื้อด้วยตัวเองและขายด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงยุ่งมาก
เขาไม่ได้สังเกตว่าหลินม่ายกำลังเข้ามาในร้าน เพียงเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเธอและพูดอย่างยินดีว่า “ม่ายจื่อมาแล้วเหรอ?!”
เขาหยิบเซาปิ่งเนื้อขึ้นมา “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม? มาเอาเซาปิ่งเนื้อไปกินสิ”
หลินม่ายโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อวานฉันไปซื้อของกับปู่ ย่า และพ่อ เลยซื้อเสื้อโค้ทผ้าฝ้ายสองตัวกับกางเกงมาให้เถียนเถียนด้วย”
หยางจิ้นกล่าวด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณนะที่เอ็นดูหลาน”
เขาเช็ดมือด้วยผ้าขี้ริ้ว หยิบถุงผ้าฝ้ายและกางเกงขายาวจากหลินม่ายใส่ไว้ในตู้แล้วล็อก
จากนั้นเขาเอียงคอหันไปพูดคุยกับเทียนเทียนซึ่งอยู่ด้านหลัง “เถียนเถียน น้าของลูกเอาเสื้อผ้าใหม่มาให้ ลูกมีความสุขไหม?”
แม้เถียนเถียนจะยังพูดไม่ได้ แต่หล่อนก็เข้าใจสิ่งที่พ่อของตนพูดได้
เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก หลินม่ายจับมือของหลานสาวแล้วโบกด้วยความเอ็นดู
หยางจิ้นยื่นเซาปิ่งเนื้อให้หลินม่ายอีกครั้ง “กินเถอะ เธอรังเกียจฉันเหรอถึงจะไม่กิน??”
เป็นเรื่องยากสำหรับหลินม่ายที่จะปฏิเสธ แต่เซาปิ่งเนื้อนั้นแพงเกินไป เธอเกรงว่าหยางจิ้นและพี่สาวคนโตจะขาดทุนจึงลังเลที่จะรับไว้
เมื่อเห็นว่ามีเนื้อหัวหมูตุ๋น หลินม่ายก็รู้สึกอยากชิม จึงกล่าว “ฉันขอเป็นเซาปิ่งหัวหมูตุ๋นแทนก็แล้วกัน”
หยางจิ้นวางเซาปิ่งเนื้อในมือของเขาลง และรีบทำเซาปิ่งหัวหมูตุ๋นให้เธออย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าอยู่คนเดียวยุ่งเกินไป หลินม่ายจึงแนะนำให้เขาหาผู้ช่วย
หยางจิ้นใส่หัวหมูตุ๋นสับลงในเซาปิ่ง “ไว้ขอลองดูก่อน หากธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยดี ฉันก็อาจจะหาผู้ช่วย เพราะหากรีบหาผู้ช่วยในตอนนี้แล้วกิจการดำเนินไปไม่ดี สุดท้ายก็ต้องไล่ออก การทำแบบนั้นคงน่าละอายไม่น้อย!”
เขาส่งเซาปิ่งหัวหมูตุ๋นและเซาปิ่งเนื้อที่เตรียมไว้ให้กับหลินม่าย
ก่อนมองไปที่รถเบนซ์ของหลินม่าย “เซาปิ่งหัวหมูตุ๋นเป็นของเธอ ส่วนเซาปิ่งเนื้อเป็นของสามีเธอนะ”
เมื่อเห็นหยางจิ้นมองมาที่เขา ฟางจั๋วหรานก็รีบลดกระจกรถลงและพยักหน้าเป็นการทักทาย
ในขณะที่หลินม่ายกำลังจะพูด หญิงชราคนหนึ่งก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ม่ายจื่อ ว่าที่พี่เขยของเธอจะเริ่มต้นธุรกิจได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอร่ำรวยมาก แต่กลับยังมาที่ร้านเซาปิ่งของลูกชายฉันเพื่อขอกินฟรีจากเขา เธอไม่มีจิตใต้สำนึกเลยหรือยังไง?”
หลินม่ายหันไปมองแม่หยางและพูดกับหยางจิ้น “ขอบคุณนะคะพี่เขย”
เดิมทีเธอวางแผนที่จะรับเซาปิ่งเนื้อหมูตุ๋นเพียงหนึ่งชิ้น แต่ตอนนี้เธอจงใจรับเซาปิ่งทั้งสองชิ้น
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของแม่หยาง เธอก็รู้สึกสดชื่น
เมื่อขึ้นรถ เธอได้ยินหยางจิ้นพูดกับแม่ของเขา “แม่ ม่ายจื่อซื้อเสื้อกันหนาวบุนวมผ้าฝ้ายสองชุดให้เถียนเถียน การที่ผมให้เซาปิ่งเธอแทนคำขอบคุณก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ?”
แม่หยางรู้ตัวว่าผิด แต่ยืนกรานที่จะแก้ตัว “เธอร่ำรวยมากและเป็นน้าของเถียนเถียน การที่เธอซื้อเสื้อผ้ากันหนาวให้กับหลานก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเห็นว่าแม่ของเขาไม่มีเหตุผล หยางจิ้นก็ทำอะไรไม่ถูก
โชคดีที่หลินม่ายและสามีของเธอขับรถออกไปแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่มีหน้ามาเจอหน้าทั้งสองหากพวกเขาได้ยินคำพูดที่รุนแรงของแม่เขา
แม่หยางกล่าว “ฉันขอเซาปิ่งเนื้อแปดชิ้น”
หยางจิ้นให้เซาปิ่งหัวหมูตุ๋นสี่ชิ้นแก่แม่ของเขา
แม่หยางโกรธเป็นอย่างมาก “แม่เลี้ยงแกมา แต่แกกลับไม่แม้แต่จะให้เซาปิ่งเนื้อกับแม่งั้นเหรอ?”
หยางจิ้นรู้ว่าแม่ของเขากำลังทำตัววุ่นวาย ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการใส่ใจเรื่องนี้และมุ่งความสนใจไปที่ธุรกิจเท่านั้น
ยิ่งเห็นดังนั้น แม่หยางก็ยิ่งโกรธ “หากแกไม่ให้เซาปิ่งเนื้อแปดชิ้นกับฉัน ฉันจะทำลายร้านของแก!”
หยางจิ้นยกเปลือกตาขึ้นและมองไปที่แม่หยางด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “อยากทำก็ทำเลยครับ ให้ทุกคนเห็นว่าแม่กำลังจะทุบทำลายร้ายขายอาหารของลูกชายคนโต เพราะลูกชายคนโตไปยอมให้เซาปิ่งเนื้อที่แม่จะนำกลับไปให้ลูกชายคนเล็กและภรรยาของเขา!”
แม่หยางไม่ได้ตั้งใจจะทุบร้านขายเซาปิ่งของลูกชายคนโตจริง ๆ
หล่อนเพียงพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะครอบครัวของเขาให้กำเนิดลูกสาว จึงต้องการยกมรดกทั้งหมดของครอบครัวนี้ให้กับครอบครัวของลูกชายคนเล็ก
หล่อนมักพยายามหาผลประโยชน์จากครอบครัวลูกชายคนโตมาเสริมลูกชายคนเล็กอยู่เสมอ
เมื่อเห็นว่าลูกชายคนโตไม่สนใจเรื่องนี้ แม่หยางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบเซาปิ่งหัวหมูตุ๋นสี่ชิ้นด้วยความรำคาญ และจากไปอย่างโกรธแค้น
……
ณ ประตูมหาวิทยาลัยชิงหวา ฟางจั๋วหรานหยุดรถ หลินม่ายผลักประตูและลงจากรถ
แต่ฟางจั๋วหรานรั้งเธอไว้และจูบเธอเป็นเวลานานก่อนที่จะปล่อยไป
หลินม่ายจะเขินอายทุกครั้งที่ฟางจั๋วหรานจูบเธอ แต่หลังจากนั้นเธอก็อารมณ์ดี แม้ว่าลมหนาวจะพัดมาปะทะใบหน้า เธอก็ไม่รู้สึกหนาว
เนื่องจากเธอเสียเวลาไปมากที่ร้านขายเซาปิ่งของหยางจิ้น จึงทำให้เธอเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยสายเล็กน้อย
หลินม่ายไม่ได้ไปยังหอพัก แต่ตรงไปยังห้องเรียนทันที
ระหว่างทางก็เห็นสวีชิงหยากำลังโต้เถียงกับหญิงสาวชื่อหยวนเฉียนเฉียนหน้าห้องเรียนของเธอ
ผู้หญิงหลายคนในห้องเดียวกันช่วยแก้ต่างให้หยวนเฉียนเฉียน ทำให้สวีชิงหยาน้ำตาไหล โดยบอกว่าทุกคนรุมรังแกหล่อน
เพื่อนร่วมชั้นของเสิ่นอวิ้นกำลังเฝ้าดูด้วยความสนใจอย่างมาก
หลินม่ายเดินมาหาพวกเขาและถามอย่างซุบซิบ “หยวนเฉียนเฉียนและฉวีชิงหยากำลังโต้เถียงกันเรื่องอะไร? ฉันได้ยินพวกเธอพูดถึงบุคคลที่สามด้วย เป็นใครกันเหรอ?
เถียนเฟินโบกมือ “หึ! ใครที่ได้เป็นเพื่อนร่วมห้องกับสวีชิงหยาถือว่าโชคร้ายกันทั้งนั้นแหละ”
หยวนเฉียนเฉียนกำลังมีปัญหา
เป็นเพราะก่อนหน้านี้ปากกาหายไป หล่อนจึงถามเพื่อนร่วมห้องว่ามีใครเห็นปากกาของหล่อนบ้างไหม
เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงตอบทุกอย่างตามความจริงโดยไม่ได้คิดอะไร
แต่เมื่อเธอถามคำถามนี้กับสวีชิงหยา อีกฝ่ายกลับรู้สึกว่าหยวนเฉียนเฉียนสงสัยว่าหล่อนเป็นหัวขโมย
ดังนั้นหล่อนจึงเก็บความขุ่นเคืองไว้และกระจายข่าวลือไปทุกที่ โดยบอกว่าหยวนเฉียนเฉียนกำลังคบชู้นอกมหาวิทยาลัย
หยวนเฉียนเฉียนโกรธมาก เมื่อทำการสืบหาต้นตอของเรื่องราวนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ หล่อนก็พบว่าสวีชิงหยาเป็นคนปล่อยข่าวลือ ทั้งสองจึงทะเลาะกัน
หลินม่ายส่ายศีรษะ “สวีชิงหยากังวลและอ่อนไหวมากเกินไป ตอนนี้หล่อนเริ่มจะกลายเป็นคนไม่ดีแล้วสิ”
“ถูกต้อง” เพื่อนร่วมห้องหลายคนพยักหน้า “โชคดีที่เรากำจัดหล่อนไปได้ ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน”
หลังจากคุยกันไม่กี่คำ ทุกคนก็เข้าห้องเรียน
การบรรยายในชั้นเรียนจบลงอย่างรวดเร็ว หลินม่ายและเพื่อนร่วมชั้นก็เก็บหนังสือเรียนเตรียมจะออกไป ทว่าที่ปรึกษาของพวกเธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงที่ดูเหมือนนักข่าวและผู้ชายที่ถือกล้อง
ทันทีที่ที่ปรึกษาเข้ามา เขาก็โบกมือให้หลินม่าย “นักเรียนหลินม่าย นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ต้องการสัมภาษณ์เธอ โปรดให้ความร่วมมือ”
เมื่อนักเรียนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาทั้งหมดมองไปยังหลินม่าย
ทุกคนไม่รีบร้อนไปที่โรงอาหารและรอดูหลินม่ายให้สัมภาษณ์
ทุกวันนี้การให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ถือเป็นเรื่องใหญ่และน่าตื่นเต้น
หลินม่ายถามนักข่าวและช่างภาพที่มาหาเธอด้วยสีหน้างุนงง “ต้องการสัมภาษณ์ฉันเรื่องอะไรคะ?”
นักข่าวยิ้มอย่างเป็นมิตร “ฉันแค่ต้องการสัมภาษณ์เธอเกี่ยวกับแนวคิดที่เธอตัดสินใจเข้าครอบครองและพัฒนาตลาดสดของรัฐที่กำลังจะล้มละลาย และยังเริ่มต้นพัฒนาได้ดีอีกด้วย”
หลินม่ายไม่คาดคิดมาก่อนว่าตลาดสดขนาดเล็กของเธอจะได้รับความสนใจจากสถานีโทรทัศน์เช่นนี้
แต่เธอก็ไม่พลาดโอกาสที่จะทำการโฆษณาตลาดสดฝูตัวตัว
ในการให้สัมภาษณ์ หลินม่ายบอกเล่าถึงสาเหตุที่เธอเลือกเข้าซื้อกิจการตลาดสดของรัฐที่กำลังจะล้มละลาย นั่นเป็นเพราะเธอสงสารคนในท้องถิ่นที่ต้องหาซื้อผักและเนื้อสดในที่ห่างไกลขึ้น และคนงานที่ถูกเลิกจ้าง
หากตลาดสดแห่งนั้นปิดทำการ ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงจะต้องเดินทางแวะซื้อผักเพิ่มหลายจุด ซึ่งจะไม่สะดวก
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าคนงานที่ทำงานอย่างสัตย์ซื่อและขยันขันแข็งกลับถูกเลิกจ้าง ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะหางานใหม่ได้
เธอจึงมอบโอกาสให้กับคนงานที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นได้ด้วยการเข้าครอบครองฟาร์มตลาดสดของรัฐ และนั่นก็เป็นเรื่องเดียวที่เธอสามารถทำเพื่อสังคมได้
หลินม่ายพูดทุกสิ่งที่นักข่าวต้องการจะได้ยิน และแน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะยกย่องผลประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิรูปและการเปิดองค์กรเอกชนและประชาชนทั่วไป
นักข่าวหญิงพอใจกับการสัมภาษณ์มาก หล่อนจับมือกับหลินม่ายอย่างจริงจังก่อนออกเดินทาง
หลินม่ายขอนามบัตรนักข่าวหญิงคนนี้ และได้รู้ชื่อเต็มของหล่อน นั่นคือคือแอนนา เผิง ซึ่งเป็นชื่อที่ฟังดูฝรั่งจ๋าที่สุดในยุค 80
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ป้าควรอยู่เฉยๆ นะคะ อยากยกมรดกให้ลูกคนเล็กก็ยกเงินป้าให้เอง ไม่ต้องมาขูดรีดลูกคนโตหรอก
สวีชิงหยาไม่ปกติแล้ว พาไปหาจิตแพทย์เถอะ
ไหหม่า(海馬)