แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 706 คดีฆาตกรรมเก่า
ตอนที่ 706 คดีฆาตกรรมเก่า
การสัมภาษณ์ที่จุดลงทะเบียนการการประดวกนางแบบของห้องเสื้อจิ่นซิ่วได้ออกอากาศในรายการทางทีวีในคืนนั้น
บทสัมภาษณ์สิบห้านาทีของหลินม่ายถูกแก้ไขเหลือสามนาที แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ตอนนั้นเองที่นักเรียนหลายคนรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอคือเจ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่วที่มีชื่อเสียง
เพื่อนร่วมห้องของเสิ่นอวิ้น ‘บังคับ’ หลินม่ายให้ขอโทษ เพราะเธอโกหกทุกคนมาโดยตลอด
เธอเป็นเจ้าของห้องเสื้อขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่เธอกลับไม่เคยบอก อีกทั้งยังโกหกว่าเป็นเจ้าของโรงงานเสื้อผ้าขนาดเล็กเท่านั้น
หลินม่ายยิ้มและเชิญพวกเขาไปที่ร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่
เพื่อนร่วมห้องไม่ได้ต้องการเปิดโปงเธอ พวกเขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อปกปิดเรื่องนี้ไว้
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาล้วนเป็นคนวัยเยาว์และกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง พวกเขาภูมิใจในตัวเอง บุคลิกของพวกเขาก็มีชีวิตชีวาและร่าเริงมาก
กัวเซี่ยงหงแสร้งทำเป็นดูถูกเหยียดหยามและโบกมือ “ใครจะสนใจเรื่องอาหารมื้อใหญ่? อาหารมื้อใหญ่ก็ไม่อร่อยเท่าร้านริมถนนหรอก แค่ชวนเราไปกินซาลาเปาของเธอแล้วปล่อยให้เรากินจนหนำใจก็พอแล้ว”
แน่นอนว่าต่อให้คนเหล่านี้กินซาลาเปาหนึ่งรถบรรทุกก็ไม่สามารถทำให้เงินในกระเป๋าของหลินม่ายสั่นคลอนได้
หลินม่ายตกลงอย่างง่ายดาย “ไม่มีปัญหา”
เมื่อเทียบกับอาหารมื้อใหญ่ในร้านอาหารแล้ว ซาลาเปาของเธอมีข้อดีตรงที่ราคาถูกกว่า
แต่ข้อเสียคือมีคนซื้อมากเกินไป และจะต้องต่อแถวซื้อราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง
โชคดีที่ในฐานะเจ้าของ หลินม่ายไม่ต้องรอคิว เธอเปิดประตูหลังและหยิบซาลาเปาจำนวนมากให้เพื่อนร่วมห้องกินอย่างจุใจ
เพื่อนร่วมห้องต่างก็ไม่พอใจนัก พวกเขาแนะนำหลินม่ายว่าคงจะดีหากร้านซาลาเปานึ่งของเธอขายซุปเนื้อแกะหรือซุปเครื่องในด้วย
การรับประทานซาลาเปาไส้นึ่งในฤดูหนาวพร้อมซุปเนื้อแกะหรือซุปเครื่องในสักชาม เพียงคิดก็จะมีความสุขแล้ว!
หลินม่ายเห็นด้วยกับข้อเสนอ
แต่เธอไม่สามารถดูแลหรือจัดการร้านซาลาเปาได้ในตอนนี้ เพราะวันพรุ่งนี้คือวันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่รายการประกวดนางแบบของห้องเสื้อจิ่นซิ่วออกกาศเป็นครั้งแรกทางช่อง CCTV
หากเรทติ้งของผู้ชมตอนแรกดี การดึงดูดการลงทุนในโฆษณาครั้งต่อไปจะง่ายขึ้นมาก และราคาประมูลก็จะสูงขึ้นด้วย
ดังนั้นหลินม่ายจึงรู้สึกตื่นเต้นกับการออกอากาศครั้งนี้มาก
เนื่องจากหลินม่ายต้องการดูรายการออกอากาศวันแรก เธอจึงขอลาที่ปรึกษาและไม่ได้ไปเรียนภาคค่ำ
อันที่จริงหากขึ้นปีสองแล้ว เธอจะเรียนหรือไม่ก็ได้
แต่น้องใหม่ต้องไปเรียนภาคค่ำตามข้อกำหนด เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยเกรงว่าน้องใหม่บางคนจะปล่อยตัวเองหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
ดังนั้นการเรียนภาคค่ำจึงเป็นวิชาบังคับ เพื่อให้นักศึกษาใหม่เข้าใจว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถเพิกเฉยต่อการเรียนเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้
หลินม่ายเรียนอย่างตั้งใจและทำงานหนักโดยตลอด เมื่อเธอมาขอลาเรียนภาคค่ำด้วยตัวเอง ที่ปรึกษาจึงอนุมัติเป็นธรรมดา
ทันทีที่เลิกเรียนในช่วงบ่าย หลินม่ายก็กลับบ้านพร้อมกระเป๋านักเรียนทันที
โต้วโต้วมีความสุขมากที่เห็นหลินม่ายกลับมาบ้าน หล่อนรีบออกไปต้อนรับพร้อมกับอาหวง
หลังอาหารเย็น ทุกคนในครอบครัวนั่งดูข่าวด้วยกัน
หลังข่าวจบ รายการประกวดนางแบบของห้องเสื้อจิ่นซิ่วก็จะออกอากาศ
ขณะกำลังนั่งดูข่าว พวกเขาก็ได้เห็นข่าวท้องถิ่นที่เกี่ยวกับเมืองเจียงเฉิง ซึ่งดึงดูดความสนใจของหลินม่ายอย่างมาก
เนื้อหาของข่าวคือ พบศพหญิงที่ถูกโบกด้วยปูนบริเวณสนามเด็กเล่น ณ สนามกีฬาแห่งหนึ่งในเจียงเฉิง ตำรวจท้องที่กำลังค้นหาเบาะแสและพยายามไขคดี
หลินม่ายระลึกถึงความทรงจำบางอย่างจากชาติก่อนของเธอ
ข่าวนี้ออกอากาศทางสถานี CCTV เมื่อชีวิตที่แล้ว ซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนในเจียงเฉิง
นี่คือคดีฆาตกรรมคดีแรกในเจียงเฉิงในสมัยนั้นที่ฆ่าคนแล้วฝังศพในซีเมนต์
นอกจากนี้ ตามการระบุทางนิติวิทยาศาสตร์ เหยื่อถูกฆ่าตายเมื่อประมาณสิบเก้าปีที่แล้ว
ไม่นานข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว บ้างก็ว่า ผู้ตายเป็นคนจีนโพ้นทะเลที่เอาทรัพย์สมบัติของตนไปเปิดเผยแล้วถูกฆ่าตาย
บ้างก็ว่ามีความขัดแย้งภายในระหว่างสายลับจึงเกิดการสังหารกันเอง และฝังร่างไว้ในปูนซีเมนต์สนามกีฬาซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนั้น
ไม่นานจากนั้น คดีฆาตกรรมก็เป็นที่กล่าวขานอย่างมากในเจียงเฉิง
หากเด็กคนใดไม่เชื่อฟังและเอาแต่ร้องไห้ พวกผู้ใหญ่ก็มักใช้คดีฆาตกรรมนี้ข่มขู่เพื่อทำให้เด็ก ๆ กลัว เมื่อความกลัวปรากฏ เด็กเหล่านั้นก็หยุดร้องไห้ทันที
เหล่าหญิงทั้งวัยเยาว์และวัยชราต่างไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนคนเดียวในตอนกลางคืน
แม้แต่คนขายอาหารอย่างหลินม่ายก็ไม่กล้าที่จะทำธุรกิจหลังสามทุ่ม เพราะกลัวจะเจอฆาตกรโรคจิตเมื่อสิบเก้าปีก่อน
จนถึงทุกวันนี้หลินม่ายยังคงมีความกลัวฝังใจในคดีนั้น
ในตอนนั้น ตำรวจเจียงเฉิงยังค้นหาเบาะแสจากทั้งสังคมเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้
หลินม่ายกำลังคิดแต่เรื่องการหาเงินในเวลานั้น จึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน และไม่รู้ว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตามหาเบาะแสใด
แต่เธอจำได้ว่าในที่สุดตำรวจเจียงเฉิงดูเหมือนจะยืนยันตัวตนของผู้เสียชีวิตไม่ได้ และไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม จนคดีนี้กลายเป็นคดีที่ไขไม่ได้
และไม่รู้ว่าจะสามารถไขได้หรือไม่
……
ผู้ต้องขังที่กลับเนื้อกลับตัวจะต้องดูข่าววันละครึ่งชั่วโมงเพื่อเข้าใจเหตุการณ์ปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางหนึ่งในการให้ความรู้แก่ผู้ต้องขังที่กลับเนื้อกลับตัวอีกด้วย
ในเวลานี้หลินเพ่ยก็เป็นเช่นเดียวกับนักโทษแรงงานคนอื่น ๆ หล่อนนั่งบนม้านั่งเล็กๆ ๆ และดูข่าวที่ออกอากาศอย่างเบื่อหน่าย
หลินเพ่ยไม่มีความสนใจในสถานการณ์ปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศ หล่อนต้องการกินดื่มและเพลิดเพลินเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นข่าวศพผู้หญิงที่ถูกโบกด้วยปูนในเจียงเฉิง ดวงตาของหล่อนที่กลอกไปมาเพราะความเบื่อหน่ายก็พลันจับจ้องไปยังหน้าจอทีวีสีขาวดำขนาดเล็กเป็นเวลานาน
สีหน้าของหล่อนดูคาดเดาไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่
รายการข่าวจบลงอย่างรวดเร็วภายในครึ่งชั่วโมง
ผู้คุมเรือนจำให้เวลาว่างแก่ผู้ต้องขังที่ผ่านกระบวนการปฏิรูปทั้งหมดสิบนาที ผู้ที่ต้องการดื่มน้ำก็ให้ดื่มน้ำอย่างรวดเร็วและผู้ที่ต้องการเข้าห้องน้ำก็ไปเข้าห้องน้ำก่อนที่ชั้นเรียนจะเริ่มต้นขึ้น
นักโทษแรงงานปฏิรูปเริ่มลุกจากที่นั่งทีละคน
แม้ว่าผู้ต้องขังที่ผ่านกระบวนการปฏิรูปบางคนจะไม่ได้ดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำ แต่ก็ยังต้องการลุกขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสาย
ชั้นเรียนการศึกษาเชิงอุดมการณ์ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หากพวกเขาไม่ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายในตอนนี้ก็อาจรู้สึกเมื่อยได้ในภายหลัง
มีเพียงหลินเพ่ยเท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กโดยไม่เคลื่อนไหว
ผู้คุมคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหล่อนและถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่คิดจะลุกไปไหนเหรอ?”
จากนั้นหลินเพ่ยก็กลับมามีสติสัมปชัญญะ
หล่อนมองไปรอบ ๆ นอกจากผู้คุมเรือนจำแล้วก็มีนักโทษที่กลับเนื้อกลับตัวเพียงไม่กี่คนที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน
หล่อนเอ่ยถามทันที “ผู้คุมคะ ข่าวการฆาตกรรมที่ออกเมื่อบอกว่าจะมีรางวัลตอบแทนให้สำหรับคนที่แจ้งเบาะแสแก่ตำรวจ หากผู้ต้องขังแจ้งเบาะแสจะได้รับการลดโทษไหมคะ?”
“ได้สิ” ผู้คุมเรือนจำตอบ
หลินเพ่ยถามอย่างระแวดระวัง “ลดโทษให้เยอะไหมคะ?”
ผู้คุมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วขึงกล่าว “ยากที่จะพูด ขึ้นอยู่กับมูลค่าของเบาะแสที่ให้มา”
ผู้คุมเลิกคิ้วถาม “ทำไม? เธอมีเบาะแสอะไรบ้าง?”
หลินเพ่ยยิ้มแห้งและพูดติดอ่าง “ไม่… ไม่มีค่ะ”
ผู้คุมมองหล่อนแปลก ๆ แล้วเดินจากไป
หลินเพ่ยปิดปากของตนแน่น ลดศีรษะลงและจ้องมองที่พื้นพลางครุ่นคิด
หล่อนยังคงนิ่งเฉยจนจบชั้นเรียนการศึกษาเชิงอุดมการณ์ และไม่ลุกไปไหนจนเพื่อนร่วมชั้นเรียนเรียกให้หล่อนออกไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นไปได้ไหมนะว่าคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับพ่อแม่บ้านหลิน สองคนนี้มีคดีฆ่าคนตายติดตัวอยู่นี่
ไหหม่า(海馬)