แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 713 งานเลี้ยงฉลองวันปีใหม่
ตอนที่ 713 งานเลี้ยงฉลองวันปีใหม่
อีกเพียงสองวันจะเป็นวันสุดท้ายของเดือนธันวาคม และเป็นวันที่นักศึกษาใหม่จัดงานสังสรรค์วันปีใหม่
หลังเลิกเรียนตอนบ่าย นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่กินข้าวเย็นและยุ่งวุ่นวายอยู่ในหอพัก
เพื่อค้นหาเสื้อผ้าพร้อมแต่งหน้าให้ดูสวยงามมากที่สุด
เนื่องจากหลินม่ายอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและต้องกลับบ้านทุกสัปดาห์ เธอจึงไม่มีเสื้อผ้าในหอพักมากนัก
แต่เธอไม่ได้วางแผนที่จะแต่งตัวแบบจัดเต็ม จึงทำเพียงสวมแจ็กเกตขนเป็ดและกางเกงยีนเท่านั้น
เธอแค่มาพบปะผู้คนและดูการเต้นรำ ไม่ต้องการเต้นรำกับใคร มันจึงไม่สำคัญนักว่าจะสวมใส่ชุดอะไร
ขณะที่เพื่อนร่วมห้องกำลังยุ่งอยู่กับการแต่งตัวสวย เธอกำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงอาหาร
เนื่องจากใกล้วันปีใหม่ อาหารที่ขายจึงค่อนข้างดี หลินม่ายเลือกซื้อปลาเปรี้ยวหวาน
เป็นเวลานานแล้วที่เธอไม่ได้กินปลาทะเล มันมีรสชาติยอดเยี่ยมเหลือเกินเมื่อได้ลิ้มลองมันอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าเธอไม่ชินกับรสหวานอมเปรี้ยวของอาหาร
ขณะที่กำลังประเมินปลาเปรี้ยวหวานอยู่ จานไก่เผ็ดและหมูสามชั้นปรุงรสก็ถูกยกมาวางตรงหน้า
หลินม่ายเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นฟางจั๋วหรานจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”
ฟางจั๋วหรานนั่งลงตรงข้ามกับเธอและตักน่องไก่ใส่จานของหญิงสาว “เพราะคุณโทรหาผมเพื่อบอกว่าทางโรงเรียนจัดงานเลี้ยงปีใหม่คืนนี้ ทำให้คุณกลับบ้านไม่ได้ไม่ใช่หรือ?ดังนั้นผมจึงนำชุดไปงานเลี้ยงมาให้คุณ”
หลินม่ายกล่าวยิ้ม “คุณเอาใจใส่เกินไปแล้ว ฉันแค่ไปร่วมงานตามมารยาทเองค่ะ”
ฟางจั๋วหรานตักอาหารเข้าปาก ก่อนกล่าวว่า “สนุกไปกับชีวิตนักศึกษาของคุณเถอะ หลังจากจบการศึกษา มันจะไม่มีงานเลี้ยงแบบนี้อีกแล้ว”
หลินม่ายเอียงศีรษะถาม “ฉันกำลังจะเต้นรำกับชายอื่น คุณไม่หึงหวงเลยหรือ?”
“หึงสิ” ฟางจั๋วหรานยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะจำกัดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของคุณ”
หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็ขอตัวกลับไป
แต่ก่อนที่จะไป เขาก็บอกหลินม่ายว่าจะมารับหลังงานเลี้ยงเลิกตอนกลางคืน
หลินม่ายกลับไปอยู่บ้านเพียงสองคืนต่อสัปดาห์ เธอต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองที่มหาวิยาลัย ฟางจั๋วหรานจึงยอมไม่ได้ที่จะสูญเสียผลประโยชน์ไปหนึ่งคืน
ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม เขาจะต้องพาหลินม่ายกลับบ้านไปด้วยกัน
การเข้านอนพร้อมกับภรรยาในอ้อมแขนเท่านั้นที่จะทำให้เขานอนหลับสนิท
หลินม่ายกลับไปยังหอพักพร้อมกับกระโปรงแคชเมียร์ฤดูหนาวยาวคุมเข่าและเสื้อคลุมตัวยาวที่ฟางจั๋วหรานนำมาให้
หลังจากนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงกันหนาวแสนสวยและเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวยาวในห้องพัก
แม้ว่าเธอจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานอุณหภูมิติดลบหลายองศาในเมืองหลวงได้ เวลานี้ฟันของเธอกระทบกันกึกๆ จากความหนาวเย็น
ทันใดนั้นเธอเปลี่ยนใจถอดชุดนี้ออก ก่อนกลับไปสวมแจ็กเกตขนเป็ดและกางเกงยีน จากนั้นเอนตัวนอนเพื่อพักผ่อน
ฉีเยว่ชิงถามด้วยความงงงวย “เธอใส่มันแล้วทำไมถึงถอดออกล่ะ? มันดูดีมากเลยนะ”
หลินม่ายโบกมือ “มันหนาวเกินไปที่จะใส่ชุดนั้น”
ทันทีที่พูดจบเธอก็จามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้วยสายตาเฉียบแหลมและมือที่ฉับไว เสิ่นอวิ้นคว้าชุดจากมือหลินม่าย “ฉันไม่กลัวหนาวและอยากใส่มัน ขอฉันใส่ได้ไหมหลินม่าย”
“ได้สิ” หลินม่ายตอบรับอย่างใจดี
เพื่อนร่วมห้องคนอื่นไม่ได้รบเร้าเพื่อแย่งชิง เพราะมีเพียงเสิ่นอวิ้นเท่านั้นที่มีส่วนสูงเทียบเท่ากับหลินม่าย ส่วนคนที่เหลือล้วนสูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไป
เวลาผันผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ทุกคนแต่งตัวและเตรียมออกไปงานเลี้ยงปีใหม่ด้วยกัน
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในหอประชุม
หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์บนเพดานถูกประดับประดาด้วยริบบิ้นและลูกโป่งหลากสีสัน ส่วนกลางของโถงจัดทำเป็นฟลอร์เต้นรำที่ล้มรอบด้วยโต๊ะและเก้าอี้
ลูกอม เมล็ดแตงโม และถั่วลิสงถูกจัดเตรียมไว้แต่ละโต๊ะ
แม้ว่าสถานที่จะจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งความกระตือรือร้นของเหล่านักศึกษาได้
เวลาหนึ่งทุ่ม งานเลี้ยงเต้นรำเริ่มขึ้นตรงเวลา
เหล่าหญิงสาวนั่งเรียงรายบนเก้าอี้ที่สงวนไว้ ขณะเด็กหนุ่มมากมายเชื้อเชิญหญิงสาวที่ชอบไปเต้นรำด้วยหน้าแดงก่ำ
แม้ว่าหลินม่ายจะเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว แต่ก็มีผู้ชายแวะเวียนเข้ามาชวนเธอเต้นรำด้วย
เด็กหนุ่มเหล่านี้ไม่ได้ต้องการไล่ตามเธอฉันชู้สาว พวกเขาแค่รู้สึกชื่นชมและต้องการเต้นรำกับเธอเท่านั้น
หลินม่ายขอโทษพวกเขาและบอกว่าเธอเต้นรำไม่เป็น
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเสนอที่จะสอนให้ แต่เธอก็ปฏิเสธเขาไปเช่นกัน
ทุกคนเริ่มรับรู้ได้ว่าหลินม่ายไม่ได้มางานเลี้ยงเพื่อเต้นรำ แต่เพื่อมากินเมล็ดแตงโมและลูกอม ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้ามาขอเธอเต้นรำด้วยอีก
หลินม่ายนั่งเงียบ เฝ้าดูชายหญิงเต้นรำอยู่บนฟลอร์กลางโถง
นักศึกษาส่วนใหญ่ผ่านการเรียนรู้หลักสูตรเร่งรัด พวกเขาจึงเต้นได้ไม่ดีนัก บางครั้งพวกเขาเหยียบเท้าคู่เต้นรำของตัวเอง ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะด้วยความขบขัน
ในที่สุดก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม และงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง
นักศึกษาพากันเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ
หลินม่ายเดินออกจากหอประชุมพร้อมกับฝูงชน ก่อนจะเป็นความโกลาหลด้านหน้า
เสียงของฟางจั๋วหรานดังผ่านเข้ามาในหู “ทำไมคุณถึงสวมเสื้อผ้าของม่ายจื่อภรรยาผม?”
เธอกรีดร้องขึ้นในใจ “แย่แล้ว!”
ฟางจั๋วหรานต้องเห็นเสิ่นอวิ้นสวมชุดที่เขานำมาให้จนเกิดความเข้าใจผิด
เธอเร่งฝีเท้าไปด้านหน้าให้เร็วขึ้น กระนั้นก็ดูไม่มีประโยชน์นัก
เธอสะดุดเท้าของใครบางคนจนเซถลาตกบันได
แม้ว่าบันไดของหอประชุมจะมีเพียงราวหกขั้น แต่พลั้งเผลอตกลงมาก็ทำให้เจ็บตัวไม่น้อย
ทันใดนั้น ฉือเหล่ยที่เดินอยู่ด้านข้างรีบคว้าตัวเธอไว้
ในเวลาเดียวกันเสียงอันเข้มงวดของตู้เจวียนก็ดังขึ้น “ฉือเหล่ย นี่กำลังทำอะไร? คำพูดที่คุณสัญญากับฉันตอนนั้นเป็นเพียงแค่ลมปากหรือยังไง?”
นักศึกษาที่ยังคงทยอยออกจากงานเลี้ยงต่างพากันหันมองทางฉือเหล่ยเป็นตาเดียว ก่อนเห็นว่าหลินม่ายแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
เปลวไฟแห่งการติฉินนินทาลุกโชติช่วงในดวงตาของนักศึกษาหลายคน
หลินม่ายรีบผละออกจากอ้อมแขนฉือเหล่ยพร้อมกล่าวคำอธิบาย “เมื่อครู่ฉันเกือบตกบันได แต่ฉือเหล่ยคว้าตัวฉันไว้ได้ทันเวลา ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามพวกเขาได้”
เธอชี้ไปยังผู้คนที่อยู่รอบตัว
ทุกคนรอบตัวล้วนมองเห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
พวกเขาจึงผงกศีรษะ
ฟางจั๋วหรานเดินมาคว้าข้อมือหลินม่ายและเดินจากไป
“ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ ตราบใดที่ผมเชื่อในตัวคุณ ใครอื่นจะคิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญ คนที่มีอคติอยู่ในใจ ย่อมมองทุกสิ่งอย่างด้วยอคติ”
ตู้เจวียนหน้าแดงก่ำกับคำพูดตำหนิทิ้งท้ายของฟางจั๋วหราน
ฉือเหล่ยถูกตู้เจวียนเหยียดหยามในที่สาธารณะ เขาจึงเดินผ่านหญิงสาวไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ตู้เจวียนตระหนักได้ว่าตนเข้าใจผิด จึงรีบเดินตามฉือเหล่ยพลางกล่าวคำ “ฉันผิดไปแล้ว ยกโทษให้ฉันเถอะนะ ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่เชื่อใจคุณมากพอ”
ทั้งสองเดินออกมาไกลกระทั่งไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ ฉือเหล่ยจึงหยุดฝีเท้าลง
เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่หันกลับมามอง พูดขึ้นอย่างเหนื่อยล้าว่า “เราเลิกกันเถอะ”
ตู้เจวียนคิดว่าตนเองฟังผิดไป จึงถามอีกครั้ง “คุณเพิ่งพูดว่าอะไรนะ?”
ฉือเหล่ยพูดแต่ละคำอย่างแช่มช้าและชัดเจน “ผมพูดว่า เราเลิกกันเถอะ”
ตู้เจวียนรีบพุ่งออกไปข้างหน้า ยกมือขึ้นชกและเตะเขา “ฉันแค่เข้าใจสถานการณ์ผิด จึงทำผิดต่อคุณแบบนั้น ฉันขอโทษคุณไปแล้ว แต่คุณกลับไม่ยอมปล่อยวาง แล้วยังไม่รักษาสัญญาว่าจะไม่สนใจหลินม่ายอีก!”
ฉือเหล่ยผลักหล่อนออกด้วยความเหลือทน “งั้นก็แล้วแต่คุณแล้วกัน แต่ผมขอย้ำอีกครั้ง ผมแค่ชื่นชมในตัวหลินม่ายเท่านั้น”
สิ้นเสียงกล่าว เขาเดินจากไปทันที
ตู้เจวียนตะลึงงันชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งตามฉือเหล่ยและถามว่า “เรื่องราวระหว่างเราตลอดสามปีสิ้นสุดลงแบบนี้ คุณไม่รู้สึกปวดใจบ้างเลยหรือยังไง!”
“ปวดใจสิ จะไม่ให้ปวดใจได้ยังไง!” ฉือเหล่ยกล่าวคำเสียงเรียบ “แต่ความเสียใจนี้ยังพอทนได้เมื่อเทียบกับความระแวงอันไร้เหตุผลของคุณ”
ได้ฟังดังนั้น ตู้เจวียนพลันรู้สึกว่างเปล่า แต่หล่อนก็ยังคงต้องการรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้ไว้
หล่อนร่ำไห้ร้องขอเขาอย่างน่าเวทนา “ฉันจะไม่ระแวงคุณอีก คุณยกโทษให้ฉันได้ไหม?”
แต่ไม่ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใด ฉือเหล่ยก็ยังยืนยันที่จะจบความสัมพันธ์
ตู้เจวียนกลับมายังหอพักด้วยความรู้สึกว่างเปล่า กงเสวี่ยฉินถามด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็นอะไรไป? ทำไมถึงดูโทรมขนาดนั้น?”
ตู้เจวียนหลั่งน้ำตาออกมาทันใด หล่อนโผเข้ากอดกงเสวี่ยฉินและพูดว่า “ฉือเหล่ยขอเลิกกับฉัน”
รอยยิ้มแห่งชัยชนะพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของกงเสวี่ยฉิน
มือลูบแผ่นหลังของตู้เจวียนเพื่อปลอบโยน ก่อนถามขึ้นด้วยความงุนงง “เอาล่ะ ทำไมฉือเหล่ยถึงบอกเลิกเธอได้ล่ะ?”
จากนั้นพลันทำสีหน้าคล้ายกับนึกบางอย่างขึ้นได้ “เป็นเพราะหลินม่ายใช่ไหม?”
ตู้เจวียนไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้ารับ
กงเสวี่ยฉินถอนหายใจยาว “แม้ว่าหลินม่ายจะมีบุคลิกที่ดี แต่ความสวยที่มากเกินไปก็ไม่ดีนัก เหมือนกับสำนวนที่ว่านารีเป็นเหตุ หากไม่มีหล่อน ฉือเหล่ยจะเลิกกับเธอได้ยังไง!”
ตู้เจวียนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้หลังได้รับฟัง
หลินม่ายถูกฟางจั๋วหรานพาเข้าไปในรถหลังจากเกิดเรื่อง
ทันทีที่ประตูปิดลง เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ก่อนหน้านี้คุณกำลังคุยกับใครอยู่? เสิ่นอวิ้นเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานมักมารับหลินม่ายกลับบ้านเกือบทุกครั้งที่เขามีเวลาว่างในวันเสาร์ ดังนั้นเขาจึงรู้จักเพื่อนร่วมห้องเกือบทุกคนของหลินม่าย
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าและถามด้วยความไม่สบายใจ “ทำไมคุณถึงให้หล่อนยืมเสื้อผ้าพวกนั้นล่ะ?”
“เพราะฉันไม่อยากใส่ มันหนาวเกินไป” หลินม่ายขยิบตาให้ฟางจั๋วหรานอย่างซุกซน “สารภาพมาเถอะ คุณเห็นเสิ่นอวิ้นเป็นฉันใช่ไหม คุณคงไม่ได้เผลอทำตัวไม่เหมาะสมกับหล่อนไปหรอกใช่ไหม?”
“เห็นผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ?” ฟางจั๋วหรานถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ความจริงแล้ว คราวที่เขาเห็นเสิ่นอวิ้นภายใต้แสงสลัว เขาเข้าใจผิดว่าหล่อนคือหลินม่าย จึงเอื้อมมือออกไปคว้ามือของหล่อน
ทันทีที่เขากำลังลากตัวหล่อนออกไป ทันใดนั้นเขาได้กลิ่นหอมฟุ้งของแป้งจากร่างกายหญิงสาว
เขาตระหนักรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่หลินม่าย
หลินม่ายใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยี่ห้อที่เขาคุ้นเคย กลิ่นหอมของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่เหมือนกับกลิ่นหอมจากร่างกายของเสิ่นอวิ้น
เป็นเพราะกลิ่นหอมนี้ที่ช่วยชีวิตเขาก่อนตกหน้าผา มิฉะนั้นมันอาจกลายเป็นภาพฉากน่าอับอายที่กลายเป็นที่โจษจันของสังคม
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อเธอสร้างเรื่องมากนะ ทำพี่หมอเข้าใจผิดหนึ่ง แล้วก็เป็นตัวเร่งให้คู่รักเลิกกันอีกหนึ่ง
เลิกกันไปก็ดีแล้วล่ะ แสดงว่าชะตาไม่สมพงษ์กัน เพราะดูฝ่ายหญิงไม่เชื่อใจฝ่ายชายเลย แล้วทำให้เขาเสียหน้าต่อธารกำนัลอีก ผู้ชายนี่เสียอะไรก็เสียได้แต่เสียเกียรตินี่ยอมกันไม่ได้
ไหหม่า(海馬)