แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 721 ผู้กำกับตามหา
ตอนที่ 721 ผู้กำกับตามหา
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นขึ้นอย่างสดชื่นและดูไม่ป่วยเลย
แต่เธอยังคงกินยาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะไปยังที่ห้องเรียนใหญ่เพื่อเรียนภาตค่ำโดยนั่งกับรูมเมททางด้านหลัง
การสอบคณิตศาสตร์ระดับสูงในวันพรุ่งนี้ก็เป็นวิชาที่ยากมากเช่นกัน จนถึงกับมีคำคมประโยคหนึ่งในมหาวิทยาลัยว่า ‘ยิ่งต้นไม้สูงมากเท่าไรก็ยิ่งมีคนแขวนคอตายมากเท่านั้น’
เป็นคำอุปมาที่เปรียบได้กับความยากของการเรียน
ในห้องเรียนขนาดใหญ่ ทุกคนกำลังเรียนอย่างหนัก ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงคนท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
หลินม่ายเรียนติดต่อกันเป็นเวลาสองชั่วโมง และเสียงระฆังบอกเวลาจบคาบเรียนที่สองก็ดังขึ้น
เธอจึงเดินออกจากห้องเรียนและยืดเส้นยืดสายใต้ต้นเหมยเพื่อผ่อนคลาย
บิดเอว บิดคอ
นักเรียนชายคนหนึ่งในชั้นเรียนเดียวกันมาหาเธอพร้อมกับชายวัยกลางคนที่ดูสุภาพและแต่งตัวดี พวกเขาพูดกับเธอ “ผู้ชายคนนี้มาจากเป่าเต่า*น่ะ เขามีบางอย่างอยากถามเธอ”
(*宝岛 ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของเกาะไต้หวัน)
หลังจากพูดจบ นักเรียนชายก็เข้าไปในห้องเรียนเพื่อทบทวน
ขณะกำลังเดินจากไป เขาหันศีรษะมามองหลินม่ายและชายจากเป่าเต่าบ่อยครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลินม่ายมองชายตรงหน้าเธออย่างสงสัย เธอไม่รู้จักเขาเลย
“คุณมาหาฉันเหรอคะ? ไม่ได้มาหาคนผิดใช่ไหมคะ?”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางยื่นมือไปหาเธอ และแนะนำตัวเอง “สวัสดีครับคุณหลิน ผมเป็นทายาทตระกูลโหยว เป็นผู้อำนวยการจากเป่าเต่าครับ คุณเคยดู ‘The Year of Iris หรือเปล่าครับ? ผมเป็นคนกำกับภาพยนตร์เรื่องนั้นเอง”
หลินม่ายไม่มีสนใจภาพยนตร์หรือสื่อบันเทิงอะไรเลย
หนึ่งในสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือ วงการบันเทิง
ในความคิดของเธอ วงการบันเทิงคือความทะเยอทะยานที่นำไปสู่หายนะ
หากคนหนุ่มสาวในประเทศไม่ตระหนักว่าความบันเทิงนำไปสู่ความตาย ประเทศชาติก็จะยิ่งตกต่ำลง
เธอไม่สนใจเรื่องวงการบันเทิง ดังนั้นเธอจึงไม่เคยได้ยินชื่อผู้กำกับภาพยนตร์ที่เขาพูดถึง
หลินม่ายส่ายศีรษะพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่เคยดูค่ะ”
ผู้กำกับปากกระตุกทันที
ภาพยนตร์ของเขาไม่เพียงเกือบจะชนะรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์ไต้หวันเท่านั้น แต่ยังโด่งดังในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย แต่หลินม่ายกลับบอกว่าเธอไม่เคยดูผลงานของเขา
แม้จะโกรธ แต่เขาก็ต้องฝืนยิ้มเข้าไว้
ชายคนนั้นยิ้มอย่างใจดี “ไม่เคยดูก็ไม่เป็นไรครับ ผมมาตามหาถูกคนแล้วครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาตามหาคุณ ผมมาตามหาคุณเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่คุณยังเรียนมัธยมปลายในเจียงเฉิง”
หลินม่ายถามด้วยความสับสน “แล้วทำไมฉันไม่เคยพบคุณเลยล่ะคะ?”
หลินม่ายมีความทรงจำที่แม่นยำมาก หากเธอเคยพบปะใครแล้วครั้งหนึ่ง เธอก็จะจดจำได้เป็นอย่างดี
ชายคนนั้นกล่าว “เมื่อปีที่ผ่านมาผมก็ไปตามหาคุณ แต่ไม่พบคุณ พบเพียงเพื่อนร่วมชั้นของคุณที่ชื่อว่านฮุ่ย หล่อนบอกว่าคุณตกลงกับสามีจะกลับไปเลี้ยงลูกในชนบท ผมเลยอยากให้คุณแสดงหนังเรื่อง ‘The Year of Iris’ ของผม เพราะนางเอกเป็นเด็กมัธยมปลาย แม้ตอนนั้นคุณจะยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย แต่ก็แต่งงานและมีลูกแล้ว จึงไม่เหมาะกับบทบาทนี้ ผมเลยยุติการตามหาคุณตั้งแต่ตอนนั้น”
หลินม่ายไม่คาดคิดว่าปีนั้นว่านฮุ่ยจะวางแผนทำลายชื่อเสียงของเธอลับหลัง
ด้วยเหตุนี้ หลินม่ายจึงยืมมือรองอธิบดีกู้ทำลายว่านฮุ่ย เพราะนั่นคือผลกรรมที่หล่อนสมควรจะได้รับ
ในเวลานั้น เรื่องที่ว่านฮุ่ยแอบอ้างเป็นเธอภายใต้แผนของรองอธิบดีกู้ ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อสาธารณชนทั่วประเทศ
เนื่องจากพลังของความคิดเห็นสาธารณะเหล่านี้ ว่านฮุ่ยจะต้องได้รับโทษสูงสุดคือการจำคุกสามปี แต่ผู้พิพากษากลับตัดสินให้หล่อนจำคุกห้าปี เพราะการกระทำของหล่อนส่งผลต่อสังคมอย่างมาก และการตัดสินจะมีผลทันที
ช่วงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตในคุกของหล่อนก็กำลังจะถึงในอีกไม่ช้า
เมื่อหลินม่ายรู้ว่าว่านฮุ่ยกำลังจะถูกจำคุกเป็นเวลาห้าปี เธอก็ดีใจมาก
แต่ดูเหมือนว่าการจำคุกหล่อนห้าปีก็ยังน้อยเกินไป เพราะผู้หญิงคนนี้เลวร้ายมากกว่าที่ใครคิด!
หลินม่ายกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่านฮุ่ยไม่ใช่เพื่อนของฉัน ฉันไม่ได้แต่งงานตอนมัธยมอย่างที่หล่อนพูด นับประสาอะไรกับการมีลูก ฉันมีแต่ลูกสาวบุญธรรมคนเดียว ฉันเพิ่งแต่งงานเมื่อเดือนตุลาคมปีนี้เอง”
“หา!” ชายผู้กำกับทั้งประหลาดใจและโกรธ “ผมถูกหญิงที่ชื่อว่ายฮุ่ยหลอกลวงทุกอย่างเลยสินะ ผมจะต้องคิดบัญชีกับหล่อนให้ได้!”
เขารู้สึกเสมอว่าหากหลินม่ายได้รับเชิญให้เล่นเป็นนางเอกของภาพยนตร์เรื่องนั้น รางวัลม้าทองคำปีที่แล้วจะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน!
หลินม่ายกล่าว “ว่านฮุ่ยได้ไปใช้ชีวิตในคุกแล้ว ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องสะสางบัญชีกับหล่อน ตอนนี้คุณช่วยบอกฉันได้ไหมคะว่าตามหาฉันทำไม? จะขอให้ฉันไปเล่นภาพยนตร์ให้อีกเหรอคะ?”
ผู้กำกับยิ้ม “คุณเดาถูกแล้วล่ะครับ ผมมาเพื่อขอร้องให้คุณไปแสดงภาพยนตร์กับผม ผมเห็นว่าภาพยนตร์ประกอบวิดีโอเพลง ‘ชีวิตที่เบ่งบาน’ ที่คุณเล่นเป็นนางเอกนั้นยอดเยี่ยมและสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมาก หนังของผมเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ ภาพลักษณ์ของคุณก็เหมาะมาก สนใจไหมครับ?”
หลังจากนั้นผู้กำกับก็มองไปยังหลินม่ายอย่างมีความหวัง
หลินม่ายยิ้ม “ไว้หลังจากอ่านหนังสือและสอบเสร็จสิ้นทุกวิชาแล้วฉันจะตัดสินใจอีกทีว่าจะตกลงหรือไม่นะคะ”
“ผมเอาบทมาให้ลองอ่านดูด้วยนะครับ” ผู้กำกับนำบทออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้หลินม่าย
หลินม่ายรับบทพลางหล่าว “พอดีว่าช่วงนี้ฉันกำลังยุ่งวุ่นวายกับการสอบ ฉันจะให้คำตอบคุณในสัปดาห์หน้านะคะ”
ผู้กำกับตอบกลับอย่างสุภาพ “ได้ครับ ไม่เป็นไรเลยครับ”
หลินม่ายพยักหน้าและกลับไปที่ห้องเรียน เสียงระฆังสำหรับคาบเรียนที่สามดังขึ้นเป็นเวลานาน
ไม่นานก็ถึงเวลาพักเที่ยง
ก่อนที่หลินม่ายจะเก็บข้าวของ เพื่อนร่วมห้องหลายคนก็รุมล้อมเธอ
เหมียวเหมียวถามหลินม่ายด้วยดวงตาที่สดใส “มีผู้กำกับมาตามหาเธอเพื่อขอให้เธอไปแสดงหนังจริงไหม”
เมื่อหลินม่ายพูดคุยกับผู้กำกับก่อนหน้านี้ เหมียเหมียวก็วนเวียนอยู่รอบตัวทั้งสอง
ดังนั้นหล่อนจึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาและรู้ว่าชายคนนั้นต้องการให้หลินม่ายไปเล่นสร้างภาพยนตร์ของเขา และนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวต่อเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ทันที
เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ จ้องมองหลินม่ายพลางซุบซิบ
หลินม่ายเก็บข้าวของและพายกระเป๋านักเรียนบนหลัง “เดินไปคุยไปดีกว่า รีบไปที่โรงอาหารก่อน เรื่องกินเรื่องใหญ่”
เพื่อนร่วมห้องหัวเราะและเดินออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหารด้วยกัน
ระหว่างทาง หลินม่ายบอกกับเพื่อนร่วมห้องว่าเป็นความจริง
เพื่อนร่วมห้องทุกคนตื่นเต้น
การได้รับเชิญจากผู้กำกับให้ไปแสดงหนังเป็นตัวเอกช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง!
เพื่อนร่วมห้องต่างก็อิจฉาเธอ แต่พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถอิจฉาเธอได้
ไม่มีใครสวยเท่าหลินม่าย และรูปร่างของคนอื่น ๆ ก็ไม่ดีเท่าเธอ
กัวเซี่ยงหงตบแขนหลินม่าย “ถ้าเธอเล่นหนัง เธอจะต้องดังมากแน่เลย อย่าลืมถ่ายรูปเก็บไว้ให้ฉันด้วยนะ ฉันจะเอาไปขายทำเงิน”
เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “เป็นความคิดที่ดี ฉันจะขอรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นต์ของหลินม่ายไว้เพื่อเอาไปขาย”
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าว “ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะตกลงเล่นหนังกับผู้กำกับไหม แต่พวกเธอกลับคิดหาช่องทางรวยได้แล้ว”
เมื่อไปถึงโรงอาหาร เพื่อนร่วมห้องก็กินอาหารของตนพลางอ่านบทที่ผู้กำกับส่งให้หลินม่าย
บทนี้สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก คล้ายกับเรื่อง ‘Never Gives Up’
บอกเล่าเรื่องราวของนางเอกที่เติบโตจากชนบทสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกโดยไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม
แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเรียบง่าย แต่ก็เป็นโครงเรื่องที่วัยรุ่นชอบ
หลินม่ายคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะโด่งดังได้
แต่เธอไม่อยากทำตัวเกินงาม เพราะไม่อยากคลุกคลีในวงการบันเทิง
เธอเพียงต้องการเป็นนักศึกษาหมายเลขหนึ่งและเป็นผู้บริหารของว่านถงกรุ๊ปเงียบๆ
แต่เพื่อนร่วมห้องต่างก็สนับสนุนให้หลินม่ายตกลงแสดงหนังกับผู้กำกับ ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ปล่อยไปไม่ได้
เช้าวันศุกร์ การสอบคณิตศาสตร์ระดับสูงนั้นยากมาก หลังสอบเสร็จ ห้องสอบก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่ร่วมไว้อาลัยให้กับคะแนนของตัวเอง
นักเรียนหลายคนให้หลินม่ายตรวจคำตอบ ยิ่งได้รู้ก็ยิ่งหงุดหงิด เพราะคำตอบของพวกเธอแตกต่างจากหลินม่าย
นักเรียนหลายคนพูดอย่างสลดใจ “ปีหน้าพวกเราคงต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่แล้วล่ะ การสอบครั้งแรกในมหาวิทยาลัยชิงหวาช่างน่าอายเสียจริง!”
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าว “คำตอบของฉันอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องก็ได้นะ บางทีคำตอบของฉันอาจจะผิดและคำตอบของเธออาจจะถูกก็ได้”
เพื่อนร่วมชั้นกลอกตา
หลินม่ายกลับมายังหอพักด้วยรอยยิ้ม
ขณะนี้เป็นเวลาสิบนาฬิกา ยังเช้าเกินไปสำหรับการรับประทานอาหารมื้อเที่ยง
เมื่อเดินออกมาจากหอพัก เธอเห็นผู้คนมากมายรายล้อมกันตรงหน้า
เธอมองเข้าไปในวงล้อมนั้นด้วยความอย่างอยากรู้อยากเห็น
ปรากฎว่าหลูเชวี่ยและรูมเมทคนอื่น ๆ ของสวีชิงหยากำลังทุบตีสวีชิงหยา
ฝูงชนให้มุงดูต่างเกลี้ยกล่อมให้พวกเธอหยุด แต่หญิงสาวเหล่านั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและยังคงทุบตีสวีชิงหยาต่อไป
สวีชิงหยากรีดร้องหลังจากถูกทุบตี
หลินม่ายไม่ได้อ่านหนังสือตลอดทั้งวัน ดังนั้นเธอจึงกลับมายังหอพักเพื่ออ่านหนังสือ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อุ๊ย มีผกก.เชิญให้ไปแสดงหนังด้วย อ่านสัญญาให้ดีๆ ก่อนเซ็นรับรองนะ
ยัยชิงหยาไปก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย บอกแล้วว่าให้จับตัวส่งแผนกจิตเวชได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)