แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 722 สวีชิงหยาถูกทุบตี
ตอนที่ 722 สวีชิงหยาถูกทุบตี
หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อนร่วมห้องก็กลับมาจากห้องสอบทีละคน
เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถามทุกคนทันทีที่เดินเข้าประตู “พวกเธอรู้เรื่องสวีชิงหยากับรูมเมทของหล่อนไหม?”
บางคนบอกว่ารู้ และบางคนก็บอกว่าไม่รู้
กลุ่มคนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ก็ต่างถามกลุ่มคนที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีชิงหยาและเพื่อนร่วมห้องของหล่อน
เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งกล่าวขึ้น “สวีชิงหยาถูกรูมเมทของหล่อนทุบตี”
หลินม่ายได้ยินดังนั้นก็ซุบซิบถามด้วยความสนใจ “ทำไมรูมเมทถึงทุบตีหล่อนล่ะ?”
สวีชิงหยาเป็นคนอ่อนไหวมากทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก
ไม่มีใครสามารถเกลี้ยกล่อมหล่อนในเรื่องนี้ได้ เพราะหล่อนช่างถือตัว ยึดเอาความเปราะบางของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยคิดว่ามีคนลอบทำร้ายตลอดเวลา หล่อนร่ำไห้ในหอพักแทบทุกวัน จนทำให้ทุกคนไม่อาจอ่านหนังสือหรือนอนหลับได้
กลุ่มคนที่รุมทุบตีหล่อนคือหลูเชวี่ยและคนอื่น ๆ โดยไม่กลัวที่จะถูกใครตำหนิหรือต่อว่า ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเช่นนี้จะให้ทนได้อย่างไร?
เถียนเฟินบอกหลินม่ายและทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้น
สวีชิงหยามักจะกล่าวหารูมเมทหล่อนเสมอว่าพวกเขาต่อต้าน ล้อเลียน ดูถูก และรังเกียจหล่อน…
แต่นั่นไม่ใช่ความจริงแม้เพียงนิด
ในตอนแรกเพื่อนร่วมห้องยอมเอาใจหล่อนเพราะเห็นแก่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
แต่เมื่อนานวันเข้า ใครจะทนพฤติกรรมแบบนี้ของหล่อนได้?
ดังนั้นจึงไม่มีใครเกรงใจหล่อนอีกต่อไป
เมื่อสวีชิงหยาสร้างปัญหาที่ไร้เหตุผลอีกครั้ง ทุกคนก็ทะเลาะกับหล่อนและตัดขาดอย่างจริงจัง
สวีชิงหยาเคยถูกตามใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป
เหล่ารูมเมทไม่ตามใจหล่อนอีกต่อไป ทุกคนโต้เถียงและทะเลาะกับหล่อนอย่างรุนแรง แน่นอนว่าหล่อนทนไม่ได้
ดังนั้นหล่อนจึงรายงานไปยังที่ปรึกษาและผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัย
หล่อนต้องการใช้มือของที่ปรึกษาและผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัยเพื่อสั่งสอนรูมเมท
หลังจากการสอบสวนอย่างรอบคอบโดยที่ปรึกษาและผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัยแล้ว พวกเขาก็ระบุว่าสวีชิงหยาสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล
หล่อนไม่เพียงสั่งสอนรูมเมทได้ไม่สำเร็จ แต่ยังเป็นฝ่ายที่ถูกตำหนิอย่างรุนแรงด้วย
สวีชิงหยาไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด
หล่อนเก็บงำความขุ่นเคืองกับรูมเมทไว้ และเริ่มกระจายข่าวลือเกี่ยวกับพวกหล่อนอย่างลับ ๆ
ทุกคนพูดคุยกันอย่างเมามัน จนเถียนเฟินยกมือขึ้นดูนาฬิกาที่ชำรุดของหล่อน “อา! ได้เวลากินข้าวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ!”
ทุกคนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็หยุดเมื่อได้ยินประเด็นสำคัญ
การกินนับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกหล่อน
ในฤดูหนาว อาหารจะเย็นเร็ว ดังนั้นหากไปช้ากว่านี้ อาหารอาจจะเย็นจนไม่อร่อย
สาว ๆ หยิบข้าวกล่องแล้วออกไปด้วยกัน ฝ่าลมหนาวมาจนถึงโรงอาหาร
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็นั่งที่โต๊ะเดียวกันและฟังการซุบซิบของเถียนเฟิน
“สวีชิงหยาชั่วร้ายมาก หล่อนปล่อยข่าวลือเพื่อทำลายชื่อเสียงคนอื่นหน้าตาเฉย ก่อนหน้านี้ที่หล่อนจะทะเลาะกับหยวนเฉียนเฉียน หล่อนก็กระจายข่าวลือว่าอีกฝ่ายไม่เคารพหรือให้เกียรติหล่อน”
ทุกคนต่างคิดเห็นเช่นเดียวกันว่า สวีชิงหยาทำเกินไป
เฉินอวิ้นถามด้วยความสงสัย “คราวนี้หล่อนสร้างข่าวลืออะไรอีก?”
เทียนเฟินกินอาหารของเธอและพูดต่อ “หลูเชวี่ยเข้ารับการผ่าตัดและนอนโรงพยาบาลเนื่องจากมีถุงน้ำในช่องท้อง หล่อนเลยขอลาหยุดครึ่งเดือน แต่สวีชิงหยาบอกว่าหล่อนไปทำแท้ง!”
หลินม่ายประหลาดใจ “หล่อนกล้าสร้างข่าวลือแบบนั้นได้ยังไง?!”
การสร้างข่าวลือเช่นนี้ในยุคปัจจุบันสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้
หลินม่ายพูดพลางคีบซี่โครงหมูตุ๋นสองชิ้นให้เถียนเฟิน
ครอบครัวของเถียนเฟินมีฐานะไม่ค่อยดีนัก หล่อนต้องควักเงินค่าครองชีพของตนทุกเดือนเพื่อส่งกลับไปสนับสนุนการศึกษาของน้องชายทั้งสองคน ดังนั้นความเป็นอยู่ของหล่อนจึงไม่ดีนัก
เรียกได้ว่าหล่อนกินเจอย่างน้อยวันละสองมื้อ และมักจะซื้อผักราคาถูกมากิน
แม้เถียนเฟินจะยากจน แต่หล่อนก็มีบุคลิกที่ร่าเริงและใจกว้าง
หล่อนกล่าวขอบคุณหลินม่ายและแทะซี่โครงที่หลินม่ายคีบให้
ฉีเยว่ชิงกล่าว “ทำไมจะไม่กล้าล่ะ! นักเรียนหลายคนในสาขาต่างรู้เรื่องนี้ และพวกเขาก็บอกกับที่ปรึกษาแล้ว ที่ปรึกษาเสียสละวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อมาจัดการกับปัญหานี้ เธอมัวแต่อ่านหนังสือและกลับบ้านทุกวันหยุดก็เลยไม่รู้เรื่องไง”
หลินม่ายถาม “แล้ววันนี้เพื่อนร่วมห้องของสวีชิงหยาทุบตีหล่อนเพราะความแค้นเก่าเหล่านี้เหรอ?”
เถียนเฟินส่ายหัว “ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะสวีชิงหยาเป็นคนแรกที่ออกจากหอพักระหว่างการสอบในตอนเช้า และจงใจล็อกประตูขังคนอื่น ๆ ไว้
หล่อนขังรูมเมทไว้ข้างในเพื่อพยายามทำให้พวกหล่อนพลาดการสอบ หลูเชวี่ยและคนอื่น ๆ ทนไม่ได้จึงรุมทุบตีหล่อน”
“ทำแบบนี้มันมากเกินไป” หลินม่ายหยิบมันฝรั่งอุ่น ๆ ขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเป่าก่อนจะยัดใส่ปาก “แล้วหลูเชวี่ยกับคนอื่น ๆ เข้าสอบทันหรือเปล่า?”
แม้ว่าเธอจะไม่ชอบหลูเชวี่ย แต่ถ้าสวีชิงหยาเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายพลาดการสอบจริง เธอก็รู้สึกเห็นใจ
เถียนเฟินตักข้าวใส่ปากพลางกล่าว “ทันสิ ทันพอดีเลย ขณะที่ถูกขังอยู่ในห้องพัก พวกหล่อนก็เคาะประตูและยืนตะโกนที่หน้าต่างเพื่อขอความช่วยเหลือจากนักเรียนที่อยู่ด้านล่าง มีคนได้ยินเสียงตะโกนจึงไปเรียกป้าแม่บ้านให้เปิดประตูให้ ตอนนี้สวีชิงหยาและหลูเชวี่ยถูกที่ปรึกษาพาตัวไป ไม่รู้ว่าที่ปรึกษาจะจัดการกับพวกหล่อนอย่างไร”
กัวเซี่ยงหงนั่งหันหน้าไปทางประตูโรงอาหาร
หล่อนลดเสียงลงและพูดกับเถียนเฟิน “หยุดพูดก่อน สวีชิงหยาอยู่ที่นี่!”
ทุกคนเปลี่ยนเรื่องทันทีและกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินม่ายชำเลืองมองสวีชิงหยา หล่อนถูกเพื่อนร่วมห้องทุบตีจนหลินม่ายเกือบจำไม่ได้
ในตอนบ่าย เถียนเฟินสอบถามเกี่ยวกับข้อสรุประหว่างสวีชิงหยากับเพื่อนร่วมห้องของหล่อน
เมื่อกลับมา หล่อนก็บอกเล่าทุกอย่างให้รูมเมทได้ฟังว่า สวีชิงหยาปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะยอมรับว่าหล่อนล็อกประตูจากภายนอกด้วยความประสงค์ร้าย
หล่อนบอกว่ามันเป็นนิสัยของหล่อนที่มักจะล็อคประตูเสมอทันทีที่ออกจากหอพัก
เหมียวเหมียวถาม “แล้วที่ปรึกษาเชื่อไหม?”
“ที่ปรึกษาไม่ได้ปัญญาอ่อน จะเชื่อได้ยังไง! นอกจากนี้หลูเชวี่ยและคนอื่น ๆ ยังให้การว่าสวีชิงหยาไม่เคยมีนิสัยนี้ ดังนั้นที่ปรึกษาจึงไม่เชื่อ ทั้งสองฝ่ายถูกทำทัณฑ์บน หากพวกเธอก่อเรื่องอีกจะได้รับโทษที่รุนแรงขึ้น”
ทุกคนถอนหายใจให้กับเรื่องราวของสวีชิงหยา จากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการทบทวนบทเรียน
ในวันเสาร์ เมื่อหลินม่ายกลับมาบ้าน คุณย่าฟางบอกเธอว่าเมื่อวานนี้พ่อเจี๋ยและแม่เจี๋ยมาที่บ้านของเธอเพื่อมาขอโทษ แต่คุณย่าฟางไม่ให้พวกเขาเข้าไป
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเขาถึงมาขอโทษล่ะคะ?”
“พวกเขามาขอโทษในเรื่องที่ซูอวี้เจี๋ยว่าจ้างคนไปราดน้ำเย็นใส่หลาน!”
คุณย่าฟางกล่าวต่อด้วยความไม่พอใจ “หลานถูกกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้ทำไมไม่บอกปู่กับย่า?”
หลินม่ายหัวเราะแผ่วเบา “เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่จำเป็นต้องรบกวนปู่กับย่าน่ะค่ะ ไว้เกิดเรื่องใหญ่ในอนาคต ฉันจะบอกปู่กับย่านะคะ ตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องรบกวนปู่กับย่า เพราะฟางจั๋วหรานช่วยจัดการให้ทุกอย่าง”
คุณย่าฟางกล่าวด้วยความโมโห “หลานยังไม่มีอำนาจในเรื่องนี้ อย่าลงมือเองเลย จั๋วหรานบอกว่าหลานมีไข้ ไข้ลดลงแล้วหรือยัง? อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินม่ายโบกมือ “ไข้ลดลงนานแล้วค่ะ ฉันจำได้ว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ครอบครัวของซูอวี้เจี๋ยมาที่บ้านของเราเพื่อขอโทษ หากจะให้ปู่กับย่าปฏิเสธทุกครั้งก็คงไม่ดี คุณปู่และคุณปู่ซูเคยเป็นเพื่อนร่วมรบ หากคนอื่นเห็นว่าเราทำแบบนี้ก็อาจคิดว่าเราถอยห่างจากตระกูลซูเพราะคุณปู่ซูเสียชีวิตไปแล้ว”
คุณย่าฟางอุ้มโต้วโต้วซึ่งกำลังเล่นในห้องนั่งเล่นออกมาเล่นกับอาหวง จากนั้นจึงลดเสียงลงและพูดกับหลินม่าย
“หลานคิดว่าปู่กับย่าไม่ให้พ่อของอวี้เจี๋ยเข้ามาในบ้านของเราเพราะอวี้เจี๋ยทำให้หลานขุ่นเคืองใจเหรอ?”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นคือคุณปู่ซูเสียชีวิตอย่างผิดปกติ มีการซุบซิบในแวดวงในว่าปู่ซูเสียชีวิตเพราะพ่อของอวี้อิ๋ง และฉวยโอกาสจากตำแหน่งของเขาเพื่อยักยอกพร้อมรับสินบนจำนวนไม่น้อย คุณปู่ซูต้องการลงโทษญาติของเขาอย่างชอบธรรมและรายงานต่อเบื้องบน แต่เขาทำไม่ได้ เขาโกรธตัวเอง และตายไปพร้อมกับความโกรธ ดังนั้นเราจึงควรถอยให้ห่างจากตระกูลซู หากมีบางอย่างเกี่ยวกับพ่อของอวี้อิ๋งถูกเปิดเผย เราจะมีส่วนเกี่ยวข้องได้”
ทันใดนั้นหลินม่ายก็ตระหนักได้และพยักหน้า
ในตอนเย็นเมื่อฟางจั๋วหรานกลับจากเลิกงาน หลินม่ายบอกเล่าถึงเรื่องที่ผู้กำกับมาขอให้เธอไปแสดงหนังระหว่างอาหารเย็น
ทุกคนต่างตกตะลึงและประหลาดใจ ยกเว้นโต้วโต้วที่ยังเด็กและไม่เข้าใจอะไรเลย
หลังจากได้รู้เช่นนั้น ทั้งคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็คัดค้านการร่วมแสดงภาพยนตร์ของหลินม่าย
“เธอเป็นคนฉลาดและเรียนเก่ง ทำไมถึงไม่ทำงานด้านวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จะมาแสดงภาพยนตร์แบบนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน การทำธุรกิจที่ดีและการสร้างงานให้กับสังคมก็ถือเป็นการช่วยชาติเช่นกัน ประเทศยังล้าหลังและยากจนมาก การทำงานในวงการบันเทิงไม่ใช่สิ่งสำคัญ การทำงานหนักเพื่อให้ประเทศแข็งแกร่งต่างหากเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
คุณปู่ฟางเกลี้ยกล่อมหลินม่ายให้ยอมแพ้อย่างจริงจัง
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้คิดจะร่วมแสดงภาพยนตร์ค่ะ แต่ที่เอาเรื่องนี้มาบอกทุกคนเพราะฉันต้องการลงทุนในภาพยนตร์เรื่องนี้และโฆษณาของฉัน”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เราไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจ หากเป็นแบบนั่นหลานก็ตัดสินใจเองเถอะ”
ขณะที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องยามค่ำคืน ฟางจั๋วหรานอ่านบทภาพยนตร์ที่หลินม่ายมอบให้และรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะลงทุน
โชคดีที่หลินม่ายไม่ต้องการเล่นเป็นนางเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะในภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากจูบมากมาย ซึ่งฟางจั๋วหรานไม่อาจยอมรับได้เลย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชิงหยานี่อาการหนักแล้วนะ ควรถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแล้วพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวชแทน
พี่หมอหวงล่ะสิ ทนไม่ได้สินะที่เห็นภรรยาต้องไปจูบกับคนอื่นถ้าเกิดม่ายจื่อตกลงเป็นนางเอกขึ้นมา
ไหหม่า(海馬)