แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 77 แม่ต้าเป่าแจ้งความ
ตอนที่ 77 แม่ต้าเป่าแจ้งความ
หลินม่ายตักเกี๊ยวใส่กล่องอาหารกลางวันของฟางจั๋วหราน โดยไม่ลืมที่จะพูดว่า “ขอบคุณนะคะ”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน คุณเอาแต่พูดขอบคุณผมแปดในสิบครั้งเลยนะ”
หลินม่ายได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบกลับอะไร
ฟางจั๋วหรานอาศัยช่วงที่หลินม่ายกำลังวุ่นวายอยู่กับการขายเกี๊ยว แอบถามเด็กหญิงตัวน้อยว่า “วันนี้ลมแรงมาก ทำไมหนูถึงไม่ใส่ผ้าพันคอที่ลุงซื้อให้ล่ะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “แม่บอกว่าแม่จะคืนผ้าพันคอทั้งสองผืนให้คุณอาค่ะ เพราะแบบนี้แม่ถึงไม่ยอมใส่ให้หนู”
ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ขณะที่เขากินเกี๊ยวจนหมด หลินม่ายเองก็เพิ่งว่างเว้นจากคลื่นลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อเห็นว่าเขาวางกล่องอาหารกลางวันลง เธอรีบหยิบผ้าพันคอทั้งสองผืนออกมาจากถุงผ้าใบหนึ่งบนรถเข็นแล้วส่งคืนให้เขา “ฉันคืนให้คุณค่ะ ฉันคงรับเอาไว้ไม่ได้”
ฟางจั๋วหรานถามกลับ “ทำไมถึงรับเอาไว้ไม่ได้? คุณไม่ชอบเหรอ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “เปล่าค่ะ… ฉันแค่คิดว่า… ไม่มีผลงานไม่ควรได้รับรางวัล”
ฟางจั๋วหรานยังคงคลี่ยิ้ม “ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่รางวัลสำหรับตอบแทนผลงานอะไรทั้งนั้น ทำไมคุณถึงคิดไปในเชิงนั้นเสียได้? ผมแค่กลัวว่าโต้วโต้วที่ออกมาช่วยคุณขายของแต่เช้าจะโดนลมหนาวโกรกจนจับไข้ไปซะก่อน”
“…ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อให้เธอแค่คนเดียวสิคะ ไม่เห็นต้องซื้อเผื่อฉันเลย?”
“เพราะว่าคุณยังเด็ก ผมถึงได้ปฏิบัติต่อคุณอย่างเท่าเทียมกันกับเธอ” ฟางจั๋วหรานพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป
หลินม่ายยืนนิ่งปล่อยให้สายลมพัดเส้นผมปลิวไสว เธอเป็นแม่คนแล้วแท้ ๆ แต่ในสายตาของเขากลับยังมองว่าเธอเป็นเด็ก…
ในเมื่อคืนผ้าพันคอให้เขาไม่สำเร็จ จึงได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย
เธอหยิบผ้าพันคอของโต้วโต้วขึ้นมาพันรอบคอให้กับอีกฝ่าย
โต้วโต้วมีความสุขมาก หล่อนเสนอให้หลินม่ายสวมใส่ผ้าพันคอเช่นเดียวกัน
หลินม่ายยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง จึงปฏิเสธข้อเสนอของเด็กหญิงตัวน้อย อ้างว่าตัวเองยืนอยู่หน้าเตาร้อน ๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผ้าพันคอเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
แต่โต้วโต้วไม่ยอมท่าเดียว คะยั้นคะยอให้เธอใส่ให้ได้ ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องสวมตามคำเรียกร้องของลูกสาว
ด้วยความที่เป็นผ้าพันคอกึ่งผ้าคลุมไหล่ ทำให้ปิดคลุมช่วงลำคอได้อย่างมิดชิด
หลังจากปิดแผงขายของและกลับบ้าน หลินม่ายกำลังจะถอดผ้าพันคอออกแต่ก็เกิดความลังเล จึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อส่องกระจก
ฟางจั๋วหรานเลือกซื้อผ้าพันคอสีขาวออกนวลให้กับเธอ ซึ่งผ้าพันคอสีนี้สามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส แถมยังเข้ากันกับทุกชุด
น่าเสียดายที่ผิวของเธอคล้ำเกินไป อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็มีราคาถูกแสนถูก ยิ่งมองยิ่งดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านหลินม่ายเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกยอมสวมผ้าพันคอที่เขามอบให้แต่โดยดี จึงยิ้มออกเพราะความพึงพอใจ
วันนี้เขาว่างตลอดทั้งวัน แต่วันพรุ่งนี้และวันมะรืนจะต้องออกไปทำงานนอกสถานที่อีกครั้ง ทำให้ช่วงสองวันดังกล่าวอาจไม่ได้มากินเกี๊ยวที่ร้านของพวกเธอ
ก่อนออกเดินทาง เขาแวะมาบอกกล่าวกับหญิงสาวและเด็กหญิงเสียก่อน เพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่ต้องรอคอย
อาการของแม่ต้าเป่าไม่รุนแรงมากนัก หลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสองวันเต็มก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่บ้านของหลินม่ายเพื่อแสดงละครแขวนคอแต่อย่างใด
เมื่อวานนี้สามีของหล่อนไม่เพียงล้มเหลวเพราะเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายมาขอโทษไม่สำเร็จ แต่ยังถ่ายทอดคำพูดของหลินม่ายและฟางจั๋วหรานให้หล่อนรับรู้อีกด้วย
แม่ต้าเป่ารู้ดีว่าต่อให้ตัวเองไปร้องโวยวายอยู่หน้าประตูบ้านของหลินม่าย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะได้เปรียบ ดังนั้นจึงเลือกที่จะยอมแพ้
หลังจากปิดแผง โต้วโต้วเดินกลับบ้านพร้อมกับหลินม่าย ขณะที่เดินอยู่นั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อย “วันพรุ่งนี้คุณอาจะแวะมากินเกี๊ยวที่ร้านเราก่อนออกเดินทาง เยี่ยมไปเลยค่ะ!”
พอเห็นว่าหลินม่ายไม่ตอบสนอง เด็กหญิงตัวน้อยก็กระตุกชายเสื้อด้านหน้าของผู้เป็นแม่ “แม่ยังอยากให้คุณอามากินเกี๊ยวที่ร้านอยู่หรือเปล่าคะ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”
ถึงจะเป็นประโยคคำตอบสั้น ๆ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่นัก
ทันทีที่สองแม่ลูกกลับถึงบ้าน เจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านได้มาเรียกหลินม่ายให้ไปติดต่อที่ที่ทำการเพื่อเซ็นรับธนาณัติ
หลินม่ายรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที คาดเดาว่าธนาณัติใบนี้ก็คงเป็นเงินได้จากการส่งบทความลงหนังสือพิมพ์ครั้งล่าสุด เกี่ยวกับการแก้ไขความเข้าใจผิดที่มีต่อห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง
เธอจำได้ว่าเขียนเนื้อหาในบทความฉบับนี้มากกว่าหนึ่งพันคำ คาดเดาว่าคงได้รับค่าต้นฉบับมากกว่าสิบหยวน
แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงที่ทำการหมู่บ้าน หลินม่ายเห็นว่าด้านหน้าของที่ทำการเต็มไปด้วยชาวบ้านจำนวนมาก
ท่ามกลางฝูงชนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย กำลังสอบถามชาวบ้านคนนั้นทีคนนั้นที เครื่องแบบสีกากีของพวกเขาสร้างความประหม่าให้กับผู้คนพอสมควร
หลินม่ายสอบถามจากใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอก “คุณลุงคะ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนอะไรอยู่หรือ?”
ชายชราหันกลับไปหาเธอพร้อมตอบคำถาม “แม่ต้าเป่าวิ่งโร่ขึ้นโรงพัก แจ้งความลูกชายกับลูกสาวของป้ากู่น่ะสิ บอกว่าตัวเองโดนพวกเขารุมทำร้าย ขอให้ตำรวจจัดการลงโทษพวกเขาขั้นเด็ดขาด ตำรวจถึงได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง”
หลินม่ายอดประหลาดใจไม่ได้
ตัวเองเป็นคนร้าย แต่กลับฟ้องผิดคนอื่นก่อนเนี่ยนะ?
เห็น ๆ กันอยู่ว่าผู้ที่เป็นฝ่ายผิดคือแม่ต้าเป่า แต่หล่อนกลับแจ้งความลูก ๆ ของป้ากู่เสียอย่างนั้น
ชาวบ้านหลายคนเริ่มหันไปพูดคุยกระซิบกระซาบกัน ว่าถ้าตำรวจควบคุมตัวลูกชายกับลูกสาวของป้ากู่ไปลงโทษจริง ๆ ละก็ หน่วยงานนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้กระทำความผิดยิ่งได้ใจมากขึ้น
โชคดีที่สถานการณ์ที่ชาวบ้านต่างเป็นกังวลไม่ได้เกิดขึ้น
หลังจากเสร็จสิ้นการสืบสวนสอบสวนในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายระบุตรงกันว่า ต่อให้ลูกชายและลูกสาวของป้ากู่ลงมือทำร้ายคนจริง ๆ แต่ความผิดของพวกเขาอยู่ในฐานที่สามารถผ่อนผันได้
เนื่องจากชาวบ้านเข้าไปยับยั้งสถานการณ์ได้ทันเวลา ทำให้ไม่เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้เสียหาย
ดังนั้นลูก ๆ ของป้ากู่จึงต้องทำการขอโทษผู้เสียหาย และต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนสามหยวนเท่านั้น
ตรงกันข้าม พ่อและแม่ของต้าเป่าซึ่งมีฐานะเป็นผู้ปกครองของต้าเป่า จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับครอบครัวของป้ากู่ทั้งหมด รวมถึงค่าเสียประโยชน์จากการทำงาน อันเป็นผลมาจากความซุกซนของต้าเป่าที่ทำให้หล่อนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งยอดรายจ่ายปัจจุบันรวมทั้งสิ้นสามร้อยหยวน ไม่นับรวมค่ารักษาพยาบาลหลังจากวันนี้
…หลายคนได้ยินมาจากปากลูก ๆ ของป้ากู่ว่าอาการบาดเจ็บของหล่อนดีขึ้นมากแล้ว แต่พวกเขาหมดค่ารักษาพยาบาลไปอย่างต่ำห้าร้อยหยวนทีเดียว
ผลการตัดสินคดีเป็นที่น่าพึงพอใจ
ครอบครัวของต้าเป่าต้องควักเงินหลายร้อยเหรียญเพื่อจ่ายให้กับพวกเขาในคราวเดียว ส่งผลให้เงินเก็บร่อยหรอ ความมั่งคั่งที่เคยมีหมดไป พ่อต้าเป่าโกรธมากจนอยากทุบตีต้าเป่าเพื่อลงโทษให้เขารู้ความผิดเสียบ้าง
แต่แม่ต้าเป่ากลับปกป้องลูกชายอย่างสุดชีวิต พ่อต้าเป่าจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นฝ่ายยอมแพ้ ส่วนต้าเป่าไม่ได้รับบทเรียนใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากครอบครัวของหล่อนต้องสูญเงินจำนวนมากให้กับครอบครัวของป้ากู่ แม่ต้าเป่าจึงจำเป็นต้องออกมาตั้งแผงหารายได้ทั้ง ๆ ที่อาการป่วยของตัวเองยังไม่หายดี
วันแรกหลังจากแม่ต้าเป่ากลับมาเปิดร้านอีกครั้ง แผงลอยสองร้านที่เคยคั่นกลางระหว่างร้านของหลินม่ายกับร้านของแม่ต้าเป่ากลับว่างเปล่า
ป้ากู่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ไม่สามารถตั้งแผงขายของได้แน่นอนอยู่แล้ว ส่วนเจ้าของแผงลอยอีกเจ้าหนึ่งไข้ขึ้นสูงในช่วงกลางดึกของคืนที่ผ่านมา ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะออกมาตั้งร้านเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ แผงลอยของหลินม่ายกับแผงลอยของแม่ต้าเป่าจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่ติดกัน
หลินม่ายไม่อยากทะเลาะวิวาทกับคนไร้เหตุผลให้เสียแรงเปล่า ถึงแม้ร้านของทั้งคู่จะตั้งอยู่ติดกัน แต่เธอก็พยายามอย่างยิ่งเพื่อที่จะรักษาระยะห่างต่อกันไว้ให้มากที่สุด
ช่วงหลัง ๆ มานี้ แผงขายเกี๊ยวประจำท่าเรือของหลินม่ายค่อนข้างมีชื่อเสียงเลื่องลือ ดังนั้นธุรกิจของเธอจึงทำมาค้าคล่องเป็นพิเศษ
ลูกค้าประจำที่ต้องการอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธอมักจะพกกล่องอาหารกลางวันติดมาเอง ที่แตกต่างคือวันนี้โต้วโต้วไม่ได้ตามเธอมาช่วยตะโกนเรียกลูกค้าเหมือนเคย
เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จโต้วโต้วก็เริ่มเป็นหวัด วันนี้หลินม่ายเลยไม่ได้พาหล่อนออกมาตั้งแผงขายของด้วย ปล่อยให้หล่อนนอนพักอยู่ที่บ้าน ตราบใดที่ไม่ถูกความเย็นจากลมหนาวเล่นงาน อาการป่วยของหล่อนคงดีขึ้น
มีอาหวงอยู่เป็นเพื่อนโต้วโต้วทั้งที หลินม่ายถึงได้ปล่อยให้หล่อนอยู่บ้านตามลำพังโดยไม่เป็นกังวล
ปกติเกี๊ยวของร้านแม่ต้าเป่าก็ด้อยกว่าเกี๊ยวของร้านหลินม่ายทั้งในด้านรสชาติและความคุ้มค่าอยู่แล้ว ยิ่งหล่อนหายหน้าหายตาจากการตั้งร้านไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งหลายวัน ทำให้เสียลูกค้าไปเยอะทีเดียว การค้าขายฝืดเคืองถึงขั้นกู่ไม่กลับ
แต่หล่อนกลับหาสาเหตุที่เกี๊ยวของตัวเองขายไม่ออกไม่ได้ เอาแต่สาปแช่งและโทษหลินม่ายว่าเธอฉวยโอกาสแย่งลูกค้าไปจากหล่อน
หลินม่ายสาละวนอยู่กับงานตรงหน้าจนไม่มีเวลาสนใจหล่อน
นานเข้าแม่ต้าเป่าก็ยิ่งสบถถ้อยคำรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต้าเป่าเห็นแบบนั้นก็อยากช่วยแก้แค้นแทนแม่ หวังวิ่งเข้าไปเตะเตาของหลินม่ายให้ล้มระเนระนาด
หลินม่ายมีไหวพริบฉับไวกว่า ยังไม่ทันที่เด็กชายร่างอ้วนจะสร้างความวุ่นวายดั่งใจนึก เธอเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วโยนเขาออกไปทันที
เด็กเหลือขอได้ทีก็แหกปากร้องไห้เหมือนหมูถูกเชือด
แม่ต้าเป่าอยากหาจังหวะสั่งสอนบทเรียนให้กับหลินม่ายอยู่นาน แต่นึกวิธีไม่ออกเสียที
พอเห็นว่าลูกชายของตัวเองโดนหลินม่ายเหวี่ยงลงพื้น หล่อนก็รีบปรี่เข้าไปหาเรื่องอย่างรวดเร็วเหมือนกระสุนปืนใหญ่ “แกกล้าตีลูกฉันเหรอ? ฉันจะสั่งสอนแก!”
หลินม่ายคว้าไม้ยาว ๆ ขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะหวดลงไปที่แม่ต้าเป่าเต็มแรง ความเจ็บปวดเล่นงานจนหล่อนถึงกับลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เอาแต่กรีดร้องราวกับถูกเชือด
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้ค้ารายย่อยหรือลูกค้า ต่างก็ไม่มีใครนึกสงสารเห็นใจหล่อนทั้งนั้น หนำซ้ำยังตำหนิหล่อนที่โหวกเหวกโวยวายเสียงดังหนวกหู
หลินม่ายชี้ปลายไม้ไปทางหล่อนพลางพูดว่า “เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบทำตัวเป็นหมาบ้าไล่กัดคนอื่น ฉันไปตีลูกชายคุณตอนไหนกัน? แค่หิ้วเขาโยนออกไปให้พ้นทางก็เท่านั้น ทำไมฉันถึงต้องโยนเขาออกไปน่ะเหรอ? คุณไม่สำเหนียกในใจเลยหรือยังไง? ลูกชายคุณจ้องจะเตะเตาที่ใช้ตั้งหม้อน้ำซุปของฉัน ถ้าเตาล้มจนน้ำซุปร้อน ๆ หกราดตัวลูกค้าขึ้นมาจริงละก็ คุณมีปัญญาจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นไหม?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เขาเสียสามหยวน แต่ตัวเองเสียให้เขาสามร้อยหยวน หนึ่งต่อร้อยเลยอะ กร้ากกกกก
เออ สมควรโดนทุบกลับแล้ว ไม่โดนทุบก็ไม่รู้สึก เพราะหนังหนาเกิน
ไหหม่า(海馬)