แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 800 ตื่นขึ้นมาในชั่วข้ามคืน
ตอนที่ 800 ตื่นขึ้นมาในชั่วข้ามคืน
หลังอาหารกลางวัน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพาหลินเพ่ยออกไปเช่าบ้านด้วยเงินห้าสิบหยวนที่ป้าฝูให้เขา
ในเมืองหลวงมีผู้คนอาศัยอยู่คับคั่ง และน้อยนักที่จะมีบ้านว่างให้เช่า
โดยเฉพาะในส่วนของเขตที่อยู่อาศัยของหน่วยงานต่างๆ ที่ไม่สามารถหาบ้านเช่าได้เลย
ถึงจะเช่าได้ก็มีราคาแพงหูฉี่
เขาตั้งใจจะเช่าห้องเดี่ยวด้วยเงินห้าสิบหยวนที่ป้าฝูให้มา และแบ่งเก็บเงินให้มากพอถึงขนาดกินหมั่นโถวประทังชีพทุกวันได้จนถึงสิ้นเดือน
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมอดอยากหากได้อยู่กับคนรัก ดีกว่านั่งอยู่บนหิ้งและกินอิ่มพร้อมนอนหลับสบาย
หลังจากค้นหาตลอดทั้งบ่าย ในที่สุดอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เช่าห้องเดี่ยวสำหรับหลินเพ่ยได้ เป็นหมู่บ้านในเมืองที่ไม่มีการแบ่งห้องครัวและห้องน้ำอย่างชัดเจน
เขากล่าวขอโทษหลินเพ่ย “เพ่ยเพ่ย ผมขอโทษนะ แต่คุณต้องอยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน เมื่อไหร่ผมได้เงินเดือน ผมจะเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้คุณแน่นอน”
ทุกครั้งที่เขามองไปยังเสื้อผ้าของหลินเพ่ย เขาก็รู้สึกไม่สบายใจในทุกทาง
เสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายของหล่อนเป็นเสื้อผ้าที่เฉาต้าซื้อมาให้
เขาไม่อาจปล่อยให้ที่รักของเขาสวมเสื้อผ้าที่ผู้ชายคนอื่นซื้อให้ได้
เขาต้องการให้หลินเพ่ยสวมใส่เสื้อผ้าที่เขาซื้อให้
เมื่อเห็นว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนจินตนาการว่าเฉาต้าเป็นคู่แข่งในความรัก หลินเพ่ยก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หล่อนชอบให้ผู้ชายหึงตนมากที่สุด ซึ่งจะทำให้หล่อนดูมีเสน่ห์มาก
นอกจากนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยังถือว่าเฉาต้าเป็นคู่แข่งในความรัก ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งแก่หล่อนเพื่อเอาชนะ
หลินเพ่ยตบแขนของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนด้วยความรักใคร่ และขยิบตาให้เขาอย่างออดอ้อน “คุณหึงเฉาต้าเหรอคะ?”
หล่อนดีใจที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยังคงทนเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของตนได้
แต่ทันทีที่หลินเพ่ยแสดงอารมณ์ทางสีหน้า ใบหน้าที่เสียโฉมนั้นก็ยิ่งดูน่าขยะแขยงมากขึ้น ทำให้เขาอยากจะอาเจียน แต่เขาก็ยังต้องทนกับมัน
ความจริงแล้วเขาหึงหวงเฉาต้าและไม่สามารถยอมรับได้
ทว่าเขาแสร้งเป็นคนใจกว้างต่อหน้าหลินเพ่ยเสมอ
ในช่วงวันหยุด หลินเพ่ยให้ของขวัญกับเพื่อนผู้ชายทุกคน แต่ไม่ได้ให้เขา เขาทำได้เพียงอดทน หลังจากนั้น เขาก็ภักดีต่อหลินเพ่ยอย่างไม่ลืมหูลืมตา
หากเขายอมรับว่าหึงหวงเฉาต้า เขาก็จะไม่ดูงี่เง่าเกินไปสำหรับหล่อนหรือ
เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่!”
“ไม่ยอมรับสินะ!” หลินเพ่ยเม้มปากแล้วยิ้ม “ตอนอยู่มัธยมต้น ใครทะเลาะกับเฉาต้าเพราะฉันกัน? ตอนนั้นเฉาต้าชอบเรียกฉันว่าเพ่ยเอ๋อร์ แต่คุณยืนกรานที่จะเรียกฉันว่าเพ่ยเพ่ย คุณทะเลาะกับเขาบ่อยมากเพราะชื่อฉัน!”
เมื่อพูดอย่างนั้น หลินเพ่ยก็หัวเราะคิกคัก
ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเปลี่ยนเป็นสีแดง
ในเวลานั้นเขายังเด็กและไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เพราะความหึงหวงที่มีเฉาต้า จึงทะเลาะกับเขา
หล่อนตบแขนเขาอีกครั้งด้วยสายตาที่จริงใจและน้ำเสียงที่เย้ายวน “เสี่ยวอู๋ อย่ารู้สึกผิดเลย คุณปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนที่อยู่หรอก ฉันจะอาศัยอยู่ที่นี่เพียงสามเดือน ดังนั้นฉันจึงจัดการทุกอย่างเอง ส่วนเรื่องซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ฉันนั้นคุณไม่ต้องรีบร้อนนะ อย่ากดดันตัวเองมากไป เดี๋ยวจะรู้สึกแย่”
เมื่อฟังคำพูดนุ่มนวลอบอุ่นของหล่อน หัวใจของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็แทบจะละลาย
เขาเปรียบเทียบหลินม่ายกับหลินเพ่ยอยู่ในใจ
เมื่อเขาออกมาจากคุก คนแรกที่เขาพบคือหลินม่าย แต่นังแพศยาตัวนั้นกลับพ่นวาจาดูหมิ่นเขา
ขณะที่หลินเพ่ยอ่อนโยนต่อเขาในทุกวิถีทาง
หลินเพ่ยช่างอ่อนโยนและน่ารื่นรมย์ หากเขาไม่ดีกับหล่อนแล้วควรจะดีกับผู้หญิงเลวคนนั้นหรือ?
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้สึกโกรธมากอยู่ในใจและคิดว่าหลินเพ่ยเป็นผู้ที่สมควรได้รับสิ่งที่เคยมอบให้หลินม่ายในอดีตทั้งหมด
คนที่คิดเอาแต่ได้อย่างเธอก็ไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ?
เธอก็ไม่ต่างอะไรจากโสเภณีที่หารายได้จากการค้าประเวณี
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ยกำลังพลอดรักอยู่ในห้อง เหมาฉงที่ได้รับมอบหมายจากเซิ่งหนิงเฉียวให้เฝ้าดูหลินเพ่ยก็กำลังแอบฟังการสนทนาของพวกเขาในห้องข้าง ๆ
เขารู้ดีว่าเสื้อผ้าใหม่ของหลินเพ่ยมาจากไหน
เพราะเขาเห็นด้วยตาของเขาเองว่าหลินเพ่ยซื้อมันเอง
เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นหญิงโสเภณีเจ้าเล่ห์คนนี้เต็มไปด้วยการโกหกและหลอกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนผู้โง่เขลา
เขาอยากจะเข้าไปบอกความจริงกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ จึงทำได้เพียงอดทน
หลังวางใจจากหลินเพ่ยแล้ว อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็กลับไปที่บ้านของป้าฝู
เขามีเวลาแค่สามเดือน ดังนั้นเขาจึงต้องลงมือทำในวันนี้เพื่อให้ป้าฝูตายใจ
ในยุค 1984 นี้มีรายการทีวีในช่วงกลางวันฉาย
ป้าฝูกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับมาพร้อมกระดูกหมูชิ้นโตจึงเอ่ยถาม “จัดการเรื่องลูกพี่ลูกน้องเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพยักหน้า จากนั้นจึงยกกระดูกหมูในมือขึ้น “คืนนี้ผมจะปรุงกระดูกหมักซอสให้ป้ากินนะครับ”
เขาจงใจพูดประโยคนี้เพื่อบอกเป็นนัยว่าจะให้ป้าฝูคืนเงินที่ซื้อกระดูกหมูชิ้นโตไป
เขาปรนนิบัติและดูแลนางได้ แต่ไม่ต้องการจ่ายเงินเพื่อนาง
เงินทุกหยวนทุกเหมาของเขามีไว้เพื่อหลินเพ่ยยอดรักของเขาเท่านั้น ไม่มีใครสมควรได้รับนอกจากหล่อน กระทั่งพ่อแม่เขาเองก็เช่นเดียวกัน
ป้าฝูมีลูกสาวคนเดียว ฐานะครอบครัวของนางก็ไม่ได้แย่ แน่นอนว่านางไม่ต้องการเงินจากใคร
เงินบำนาญของนางก็สูงกว่าพนักงานเกษียณอายุทั่วไปมาก เพราะนางเป็นพนักงานเกษียณอายุของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน
อัตรเงินเกษียณของนางสูงกว่าหน่วยอื่น ๆ ที่ดำเนินการโดยรัฐ
ดังนั้นเงินบำนาญหลังเกษียณของป้าฝูจึงเพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองให้กินดีอยู่ดี แต่งตัวดี แน่นอนว่านางมีเงินมากพอที่จะซื้อกระดูกชิ้นโตเหล่านี้ได้
นางอุทานเสียงหลงทันที “นี่! เสี่ยวอู๋ เธอไม่มีงานทำแล้วเอาเงินที่ไหนไปซื้อกระดูกหมู? เดี๋ยวฉันจะจ่ายเงินคืนให้ บอกมาสิว่าซื้อกระดูกหมูไปเท่าไหร่?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยืนกราน “ไม่เป็นไรครับ กระดูกหมูเหล่านี้ราคาเพียงสองหยวนเท่านั้น ผมจ่ายได้ครับ”
หากเขาไม่ต้องการให้ฝูโช่วกุ้ยจ่ายจริง ๆ เขาก็ไม่ควรรายงานค่าใช้จ่ายในการซื้อกระดูกหมูให้นางได้ทราบ แต่ในเมื่อเขาเอ่ยถึงราคาของมัน ก็แสดงว่าเขาต้องการเงินจากนาง
ป้าฝูอายุมากแล้ว นางจะไม่เข้าใจเจตนาของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้อย่างไร?
นางคืนเงินค่ากระดูกหมูให้กับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทันที
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมอาหารเย็น เหมาฉงก็ไปยังมหาวิทยาลัยชิงหวาเพื่อตามหาหลินม่ายและรายงานเรื่องนี้
หลินม่ายเพิ่งเลิกเรียน เธอยืนอยู่ใต้ต้นแมกโนเลียและสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ หลังจากได้ยินรายงานของเหมาฉง เธอก็เพียงส่งเสียงออกมาเบา ๆ และไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด
หลินเพ่ยโกหกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทุกอย่างเพื่อหลอกล่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยน เธอได้เห็นและรับรู้หลายสิ่งอย่างเมื่อชีวิตที่แล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจ
ในชีวิตนี้เธอมีฟางจั๋วหรานแล้ว และเธอกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เลิกกันไปนานแล้ว พวกเขาจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ใครจะรักใคร ใครจะล่อลวงใคร ใครจะโกงเงินใคนก็ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่แยแสของหลินม่าย เหมาฉงก็เอ่ยถาม “คุณไม่อยากเปิดโปงนังคนเจ้าเล่ห์นั่นเหรอครับ?”
หลินม่ายส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก”
เธอต้องทำงานและเรียนไปพร้อมกัน เวลามีค่ามาก ดังนั้นเธอไม่อยากเสียมันไปให้กับคนไร้สาระ
เหมาฉงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “แต่ผมต้องการเปิดโปงนังเจ้าเล่ห์นั่นครับ”
เขาไม่เข้าใจเจตนาของหลินเพ่ย และต้องการให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้ความจริง จากนั้นก็คอยดูว่าถ้าเขาตีตัวออกห่างแล้วหล่อนจะพึ่งพาใครได้
หลินม่ายคาดเดาเจตนาของเขาได้ “ฉันขอเตือนเลยนะ ต่อให้คุณเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของหลินเพ่ย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็จะไม่ทิ้งหล่อน เขารักและบูชาหลินเพ่ยถึงขั้นถวายชีวิต”
“ผมไม่เชื่อ!”
“งั้นก็ไปเปิดโปงหลินเพ่ย แต่อย่าเปิดเผยตัวเอง อย่าทำลายแผนการของฉัน”
เหมาฉงพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ” หลังจากนั้นเขาก็จากไป
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนปรุงกระดูกหมักซอสแสนอร่อยจานใหญ่สำหรับมื้อค่ำ
ป้าฝูชอบกินกระดูกหมูหมักซอส ขอเพียงมีกระดูกหมูหมักซอส นางก็ดื่มเอ้อร์กัวโถวได้สองถ้วย
นางหยิบขวดเอ้อร์กัวโถวทันทีและดื่มแกล้มกระดูกหมูหมักซอสปรุงสุดไปหลายถ้วย
หลังจากดื่มเอ้อร์กัวโถวไปสองสามถ้วย ป้าฝูก็รู้สึกว่าร่างกายของนางร้อนผ่าวราวถูกไฟไหม้ และสติของนางก็เลอะเลือน
เช้าวันต่อมา นางตื่นขึ้นด้วยอาการปวดหัว และตกใจมากเมื่อพบว่าตนนอนอยู่บนเตียงเดียวกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
ป้าฝูหดหู่ใจอย่างมาก
ลูกสาวของตนกำลังตั้งครรภ์และกำลังจะให้กำเนิดหลานชาย โดยที่สายไปแล้วสำหรับคนวัยอย่างนาง
แต่หญิงชราอย่างนางกลับหลับนอนกับชายหนุ่ม
หากคนนอกรู้เรื่องนี้ นางจะเอาหน้าไปไว้ไหน!
ป้าฝูใช้เวลานานกว่าจะกลับมามีสติสัมปชัญญะ
นางฉวยโอกาสยกผ้านวมขึ้นและแอบดูข้างใน
หากนางและอู๋เสี่ยวยังคงสวมใส่เสื้อผ้าก็แสดงว่าไม่ได้มีเรื่องเกินเลย
ทั้งคู่อาจเพียงเมามายและหลับใหลไปบนเตียง ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดอะไร
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ป้าฝูตื่นตระหนก เพราะทั้งคู่ต่างเปลือยกายล่อนจ้อน
แม้จะไม่มีบุคคลที่สามในห้องแห่งนี้ แต่นางก็ยังอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ก่อนที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะตื่นขึ้น นางวางแผนที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ
วิธีนี้จะทำให้เรื่องอื้อฉาวนี้เงียบไปโดยไม่มีใครรับรู้
แต่เมื่อนางกอดเสื้อผ้าและย่องไปที่ประตู หูก็ได้ยินเสียงของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนจากข้างหลัง “คุณป้า จะปล่อยผมไว้แบบนี้เหรอ?”
ป้าฝูตัวแข็งทื่อทันที
ทันทีที่ประตูเปิดออก นางทำเพียงย่องออกไป และวิกฤตก็จะคลี่คลาย
ทว่าในช่วงเวลาวิกฤตนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับตื่นขึ้น!
เขาเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของนางแล้ว
หากได้สวมใส่เสื้อผ้าสักตัว นางก็คงไม่อับอายถึงขนาดนี้
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่สนใจความรู้สึกในใจของป้าฝูเลย
เขามองไปที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าของป้าฝู ผิวหนังเหี่ยวย่นของนางทำให้เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
เขาแค่นเสียงเย็นชาในใจ ‘คิดจะหนีเหรอ? ไม่มีทาง!’
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นผู้ชายที่ร้ายกาจมาก และยังตาบอดมากอีกด้วย
เดาว่าเป็นการจัดฉาก ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ หรอก
ไหหม่า(海馬)