แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 831 แอบดูกลางดึก
ตอนที่ 831 แอบดูกลางดึก
เห็นได้ชัดว่าเธอกินผลไม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเข้านอน หลินม่ายก็รู้สึกหิวอีกครั้ง
เธอลุกจากเตียงและออกไปข้างนอก
ฟางจั๋วหรานเรียกเธอไว้ “ดึกมากแล้ว คุณจะไปไหน?”
หลินม่ายชี้ไปยังประตู “น้าถูยังไม่เอาของว่างมาให้เลย ฉันขอไปดูในครัวก่อน”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ไม่ต้องไปดูหรอก ผมเป็นคนสั่งให้น้าถูหยุดอาหารมื้อดึกของคุณตั้งแต่คืนนี้เองแหละ”
หลินม่ายกำหมัดแน่นด้วยโกรธ “ทำไมคุณใจร้ายจัง? คุณตัดของว่างตอนเที่ยงคืนออกทั้งหมดได้ยังไง ฉันท้องอยู่นะ”
ฟางจั๋วหรานไม่ประนีประนอม “ถึงตอนนี้คุณจะบอกว่าผมโหดร้าย แต่คุณจะขอบคุณผมเมื่อคุณคลอดลูก”
หลินม่ายหันหลังเดินไปยังตู้กับข้าวที่เพื่อหาของว่าง
แต่เมื่อเปิดตู้กับข้าวก็พบว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้นนอกจากนมผง
เธอกระดกนมสามแก้วด้วยความโกรธ และไม่รู้สึกหิวอีกเลย
หลินม่ายเม้มปากด้วยความหงุดหงิด จากนั้นจึงจับแขนของฟางจั๋วหรานและทำตัวเหมือนเด็ก โดยอ้อนวอนว่าเธอยังอยากกินผลไม้อยู่
การกินผลไม้ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น ฟางจั๋วหรานอาจเห็นด้วย
แต่ฟางจั๋วหรานบอกว่าวันนี้เธอได้กินผลไม้ไปมากแล้ว และไม่สามารถกินได้อีกเพราะอาจส่งผลไม่ดีต่อทารกในครรภ์
หลินม่ายรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้กินผลไม้และนอนลงอย่างเป็นทุกข์
ฟางจั๋วหรานหยุดอ่านหนังสือ ปิดไฟ และผล็อยหลับไปพร้อมกับภรรยาสุดที่รักในอ้อมแขนของเขา
ในที่สุดหลินม่ายก็หลับไป แต่หลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ความตะกละในท้องของเธอจะปลุกให้ตื่นขึ้น
เธอพยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานกำลังหลับสนิท เธอก็ค่อย ๆ ลอดออกจากอ้อมแขนของเขาและเขย่งเท้าลงจากเตียง
เธอถือรองเท้าแตะเดินออกจากห้องไปอย่างแผ่วเบา
จากนั้นก็สวมรองเท้าแตะแล้ววิ่งไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว
คอกของอาหวงอยู่ติดกับห้องครัว
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว มันก็วิ่งออกจากกรงและมาอยู่ข้างๆ หลินม่าย
ในขณะที่มันวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ หลินม่ายก็แสดงท่าทางพลางกล่าวด้วยเสียงเข้ม “อย่าส่งเสียงดัง! ถ้าแกกล้าส่งเสียงดัง ฉันจะฆ่าแกเอาไปทำเนื้อตุ๋นแน่”
อาหวงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเงียบตามคำสั่ง
หลินม่ายเข้าไปในครัว เปิดไฟ และเห็นซุปกระดูกกำลังเดือดปุด ๆ บนเตา
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็ชอบดื่มซุปกระดูก และพวกเขาจะเคี่ยวเองทุกครั้ง
การเคี่ยวกระดูกวัวไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาทั้งคืนในการต้มไขกระดูก
ดังนั้นทุกครั้งที่ทำซุปกระดูกเนื้อ น้าถูมักจะเคี่ยวก่อนเข้านอนเสมอ และเช้าวันต่อมาก็จะส่งต่อหน้าที่นี้ให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
หลินม่ายตื่นเต้นจนแทบระเบิดเสียงหัวเราะ
เธอไม่คิดว่าซุปอาจร้อนเกินไป จึงปิดประตูครัวและปิดไฟ
ด้วยความช่วยเหลือของแสงจันทร์นอกหน้าต่าง เธอหยิบกระดูกติดเนื้อชิ้นใหญ่ออกมาใส่ชาม กระดูกนั้นร้อนจนทำให้เธอรู้สึกราวกับถูกน้ำร้อนลวก
เธอนั่งบนม้านั่งเล็ก ๆ ในครัวและเริ่มกินซุป
อาหวงนั่งข้างเธอ มองดูเธอแทะกระดูก
รอให้เธอกินเสร็จแล้วโยนให้มัน
หลินม่ายแทะกระดูกวัวอย่างรวดเร็ว ใช้ช้อนเล็ก ๆ ขูดไขกระดูกออกจากกระดูกวัวแล้วกินจนหมด
จากนั้นเธอก็โยนกระดูกเนื้อลงบนพื้นให้อาหวงกิน และเดินไปที่หม้อเพื่อหยิบอันที่สอง
อาหวงดีใจจนกระดิกหางแทบหัก แต่เมื่อมันแทะกระดูกวัวก็พบว่าถูกหลอก
กระดูกวัวถูกหลินม่ายแทะจนสะอาดยิ่งกว่าสุนัขแทะ ไม่มีแม้เศษเนื้อเหลืออยู่เลย
อาหวงเสียใจมากแต่ไม่กล้าส่งเสียงเพราะถูกหลินม่ายสั่งห้ามไว้
มันเลียกระดูกเนื้อไร้เนื้ออย่างโศกเศร้าและอ้างว้าง
แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะนอนหลับสนิท แต่เขาจะสัมผัสคนงามในอ้อมแขนของเขาเป็นระยะ
เมื่อเขาสัมผัสคนงามในอ้อมแขนของเขาอีกครั้งก็พบว่าไม่มีอะไรอยู่ในอ้อมแขนของเขา จึงก็ตื่นขึ้นทันที
เขาคิดว่าหลินม่ายไปเข้าห้องน้ำกลางดึก แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำ
เขาคิดอย่างสงสัยและตรงไปที่ห้องรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่น แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่น
เขาหันไปมองห้องครัวที่มืดสนิท
เมื่อเขาผลักประตูห้องครัวครึ่งหนึ่งออก สิ่งที่เขาเห็นก็คือหลินม่ายกำลังแทะกระดูกวัวอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่อาหวงกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ โดยเงยหน้าขึ้นและจ้องมองที่เธอรับประทานอาหาร
เขาเปิดไฟทันที ทั้งคนและสุนัขต่างมองมาที่เขาด้วยสัญชาตญาณในเวลาเดียวกัน
อาหวงเอนกายหมอบลงบนพื้น เก็บลิ้นที่ห้อยยาวเหยียดของมันทันที
หลินม่ายลุกลี้ลุกลนและพูดติดอ่าง “ฉัน… ฉันเพิ่งแทะไขกระดูกไป และไม่มีเนื้อติดมาด้วย…”
ฟางจั๋วหรานชี้ไปที่กระดูกวัวสามชิ้นบนพื้น “คุณหรืออาหวงที่แทะจนหมดเกลี้ยงขนาดนี้?”
อาหวงไม่สามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้ จึงมองไปยังฟางจั๋วหรานอย่างขุ่นเคือง
หลินม่ายพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “อาหวงแทะ ทุกครั้งที่ฉันหยิบกระดูกที่มีเนื้อออกมา อาหวงก็ขอตลอดเลย”
อาหวงทนไม่ได้อีกต่อไป มันรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ฟางจั๋วหรานบ่นอย่างเงียบงันในใจ ยังดีที่เธอไม่ฉกเนื้อและกระดูกจากปากของอาหวง
แต่จะเป็นไปได้ยังไงที่อาหวงจะฉกเนื้อและกระดูกไปจากมือเธอ
แต่เขาไม่อาจพูดสิ่งใดได้เพราะภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงไม่อาจห้ามปรามหรือต่อว่าเธอได้ เพื่อให้เป็นผลดีต่อการคลอดบุตร
เขายกเก้าอี้และโต๊ะออกมายังลานบ้าน “ในครัวร้อนเกินไป ออกมากินที่นี่ดีกว่า อย่าให้ลูกของเราร้อนเกินไปเลยครับ”
หลินม่ายกลัวว่าน้ำมันที่มือจะโดนชุดนอนสวย ๆ ของเธอ จึงใช้หลังมือลูบท้อง “ลูกบอกว่าไม่กลัวร้อน แต่อยากกินอาหารอร่อย”
ฟางจั๋วหรานยืนอยู่เคียงข้างเธอด้วยสีหน้าไร้หนทางที่ มองดูเธอแทะทำความสะอาดกระดูกวัวในมือของเธอแล้วโยนลงบนพื้น
เนื่องจากกระดูกวัวถูกแทะจนสะอาดเกินไป อาหวงจึงได้แต่ดมกลิ่น แต่ไม่แม้แต่จะเลีย
ฟางจั๋วหรานอุ้มหลินม่ายขึ้นมา “เอาล่ะ ได้เวลากลับห้องไปนอนแล้ว”
หลินม่ายทำตัวเหมือนทารกในอ้อมแขน “ฉันยังอยากกินกระดูกอันสุดท้าย”
ฟางจั๋วหรานเกลี้ยกล่อม “พอแล้ว ปล่อยให้อาหวงกินบ้าง”
เธอแทะเนื้อและกระดูกอย่างหมดจดจนอาหวงไม่มีความหวังเลย
หลินม่ายเอาหัวเล็ก ๆ ของเธอซบหน้าอกของเขาแล้วพูดอย่างหงุดหงิด “ฉันหิวมาก”
ฟางจั๋วหรานถอนหายใจอย่างเงียบงัน เป็นไปได้ยังไง?
เช้าวันต่อมา ทันทีที่หลินม่ายลืมตาขึ้น ฟางจั๋วหรานก็ตบก้นเธอและบอกว่าจะพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจครรภ์หลังอาหารเช้า
หลินม่ายแปลกใจมาก “ฉันเพิ่งตรวจครรภ์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำไมต้องตรวจอีก? ก่อนอายุครรภ์ยี่สิบแปดสัปดาห์ ตรวจครรภ์เดือนละครั้งก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? แต่อายุครรภ์ของฉันแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดสัปดาห์เอง”
“วันนี้ผมจะพาคุณไปพบแพทย์แผนจีนเพื่อดูว่ายาจีนสามารถรักษาความตะกละระหว่างตั้งครรภ์ของคุณได้หรือไม่ การกินและดื่มมากมายทุกวันไม่ใช่เรื่องดีนัก”
หลินม่ายเปล่งเสียง “โอ้”ความเจ้าเล่ห์ฉายชัดในดวงตา
เธอถามฟางจั๋วหราน “คิดว่าอาหารเช้าทำให้ฉันอิ่มได้ไหม? ถ้ามันทำให้ฉันอิ่ม ฉันจะไปหาหมอแผนจีนกับคุณ”
ฟางจั๋วหรานบ่นพร่ำบ่นในใจ ภรรยาของเขาช่างดื้อรั้นเสียนี่กระไร
“คุณกินยังไงก็ไม่อิ่มหรอก ขนาดกินเกี๊ยวสิบห้าชิ้นกับไข่ต้มห้าฟองคุณยังไม่อิ่มเลย หากไม่ไปพบแพทย์แผนจีน ผมจะให้คุณดื่มแค่นมถั่วเหลืองหนึ่งกล่องและซาลาเปาหนึ่งลูก”
หลินม่ายต่อรองและชูสามนิ้ว “เกี๊ยวสามสิบชิ้น หากไม่ได้กินเกี๊ยวสามสิบชิ้น ฉันจะไม่ไปพบแพทย์แผนจีนกับคุณ”
“ยี่สิบห้าชิ้นก็พอ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ก่อนที่หลินม่ายจะตั้งครรภ์ เธอกินเกี๊ยวเพียงไม่กี่ชิ้นต่อมื้อ แต่ตอนนี้ความอยากอาหารของเธอเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบตกลง
ฟางจั๋วหรานรอเธออาบน้ำ และทั้งสองก็มาถึงห้องรับประทานอาหาร
น้าถูส่งซาลาเปาให้หลินม่ายด้วยรอยยิ้ม หล่อนไปยังร้านเปาห่าวชือในตอนเช้าและนำขนมจีบที่ปรุงสดใหม่กลับมาด้วย
น้าถูกระพริบตาให้หลินม่าย “ขนมจีบไส้หมูและเห็ดของโปรดของคุณหลิน”
หลินม่ายยิ้มให้เธอ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบขนมจีบนั้น
ขนมจีบเหล่านี้ เธอสามารถกินจนหมดได้โดยไม่รู้สึกอิ่มนับตั้งแต่ยังไม่ท้อง
เธอรีบกินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแกะไข่ต้มทั้งห้าฟองยัดใส่ปาก
เธอเม้มริมฝีปากโดยไม่ได้ตั้งใจพลางถามโต้วโต้ว “ลูกกินหมดไหม ถ้ากินไม่หมดก็เอามาให้แม่”
โต้วโต้วพยักหน้า “กินหมดค่ะ แต่ถ้าแม่อยากกินฉันจะให้แม่”
เด็กน้อยกล่าวผลักจานขนมจีบให้กับแม่ของเธออย่างจริงใจ
ฟางจั๋วหรานลูบหน้าผากของภรรยา น่าละอายเหลือเกินที่เธอต้องขออาหารลูกกิน
หลินม่ายกำลังจะกินขนมจีบด้วยความละอายใจ ทว่าฟางจั๋วหรานกลับส่งคืนให้โต้วโต้ว
ฟางจั๋วหรานแบ่งขนมจีบของเขาให้กับหลินม่ายอย่างไม่เต็มใจ “หลังจากกินขนมจีบพวกนี้แล้ว คุณไม่ได้รับอนุญาตให้กินอีกแล้วนะ”
หลินม่ายหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบนมจีบใส่ปาก และขอให้ฟางจั๋วหรานไปที่ห้องครัวเพื่อเติมอีก เธอกลัวว่าเขาจะไม่อิ่ม
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ไม่สำคัญว่าผมจะอิ่มหรือไม่อิ่ม ขอแค่คุณอิ่มก็พอ”
ก่อนถึงเวลาไปทำงาน ทั้งคู่ก็มาถึงโรงพยาบาลโหย่วเหอ
ฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายผ่านประตูหลังเพื่อไปพบแพทย์ด้านการแพทย์แผนจีน
บังเอิญอย่างยิ่งที่อาจารย์แพทย์แผนจีนเหรินมาทำงานแต่เช้าตรู่ในวันนี้ และฟางจั๋วหรานก็พาหลินม่ายไปหาอาจารย์แพทย์แผนจีนเหรินทันที
แม้แพทย์แผนจีนวัยหกสิบผู้นี้จะดูแก่ชรา แต่ความจำของเขายังคงดีมาก
ทันทีที่เห็นหลินม่าย เขาก็จำเธอได้และถามด้วยรอยยิ้ม “ท้องได้สี่เดือนกว่าแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง? คุณง่วงนอนเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ภรรยาของผมไม่ค่อยง่วงครับ แต่หล่อนกินเยอะมาก อาจารย์เหรินพอจะสั่งจ่ายยาที่ข่วยระงับความหิวของภรรยาผมได้ไหมครับ หล่อนจะได้ไม่ต้องกินเยอะ ผมกลัวว่าหากหล่อนกินมากเกินไป ลูกจะโตเกินเกณฑ์จนทำให้หล่อนทรมานระหว่างการคลอด”
อาจารย์แพทย์แผนจีนเหรินไม่เร่งรีบที่จะตอบคำถามของเขา แต่จับชีพจรหลินม่าย
เขาจับชีพจรของหลินม่ายก่อนจะหันมองฟางจั๋วหราน “ชีพจรภรรยาของคุณดีมาก ไม่จำเป็นต้องสั่งจ่ายยาใด ๆ ให้กับหล่อนหรอก ภรรยาของคุณเป็นคนโลภในระหว่างตั้งครรภ์และสามารถควบคุมได้โดยการควบคุมจิตใจเท่านั้น ไม่มีวิธีการทางการแพทย์แผนจีนใดจะควบคุมได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟางจั๋วหรานก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาหลินม่ายออกไป
เมื่อผ่านแผนกสูติ-นรีเวชวิทยา เขาพบแพทย์หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุหลายคนที่มาทำงานตลอดทางเดิน
แพทย์หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุคนหนึ่งทักทายฟางจั๋วหราน “พาภรรยามหาหมอเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับอย่างแผ่วเบา
แพทย์หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุเหล่านั้นถามด้วยความเป็นห่วง “หล่อนไม่สบายเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “หล่อนสบายดีครับ แต่ผมแค่ไม่สบายใจ หล่อนตะกละตะกลามเป็นพิเศษในระหว่างตั้งครรภ์”
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น “ คุณหมอครับ เราจะควบคุมความตะกละในระหว่างตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”
แพทย์หญิงเหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์ และพวกหล่อนอาจมีประสบการณ์ที่ดีที่จะส่งต่อไปยังหลินม่าย
แพทย์หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุเหล่านั้นส่ายศีรษะและบอกว่าพวกหล่อนไม่สามารถควบคุมมันได้ เว้นแต่อาการนี้จะหายไปเอง
ฟางจั๋วหรานถามอีกครั้ง “ใช้เวลานานแค่ไหนครับกว่าที่อาการนี้จะหายไป?”
แพทย์หญิงเหล่านั้นกล่าวว่าเป็นการยากที่จะพูด
บางคนสามารถหายได้ภายในหนึ่งถึงสองเดือน แต่บางคนยังคงกินเยอะอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งคลอดลูก
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเป็นกังวล “หรือผมควรปล่อยให้หล่อนกินตามที่ต้องการ?”
แพทย์หญิงชี้ไปยังคนท้องร่างท้วมสองสามคนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันกำลังต่อคิวตรวจครรภ์พลางกล่าว “แน่ใจนะ คนท้องเหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฟางจั๋วหรานฉวยโอกาสนี้พูดกับหลินม่าย “ที่รัก คุณอยากดูเหมือนผู้หญิงท้องพวกนั้นไหม?”
แน่นอนว่าหลินม่ายไม่ต้องการ เธอตกอยู่ในห้วงความคิด
หลังกลับจากโรงพยาบาล หลินม่ายก็โทรหาเหมาฉงและถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาเรื่องกินเยอะแล้วจะอ้วนหุ่นไม่สวยมาขู่สิ น่าจะได้ผลอยู่นะ
ไหหม่า(海馬)