แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 833 ครอบครัวที่ยากจน
ตอนที่ 833 ครอบครัวที่ยากจน
หลินม่ายไม่กล้าทิ้งโทรศัพท์ไปไกล เธอกินผลไม้ที่น้าถูนำมาให้ขณะรอให้เหรินเป่าจูโทรกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
มีคนตายทั้งคน หากเหรินเป่าจูออกไปจัดการจนเสร็จ มันเป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะไม่รายงานกลับมา
หลินม่ายคาดเดาสาเหตุของการตายอย่างกะทันของคนงานหญิงที่ชื่อไช่ฉางชุน หรืออาจเป็นอาการบาดเจ็บจากการทำงาน?
หากเป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน เธอจะต้องตำหนิเหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้เกี่ยวกับเรื่องนี้
เธอเน้นย้ำเสมอถึงความจำเป็นในการผลิตที่ต้องปลอดภัย แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานแบบนี้ มันจะต้องเป็นเพราะพวกเขาไม่ใส่ใจถึงความปลอดภัย
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้ ในที่สุดเหรินเป่าจูก็โทรกลับมา
หลินม่ายถามทันทีว่า “คนงานหญิงที่ชื่อไช่ฉางชุนเสียชีวิตได้อย่างไร? หากเป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน คุณต้องจ่ายเงินชดเชยให้มากที่สุดที่ครอบครัวของหล่อนต้องการ อย่าลังเลที่จะจ่าย”
เหรินเป่าจูพูดด้วยความโกรธ “มันไม่ใช่การบาดเจ็บจากการทำงาน แต่ถูกสามีทุบตีจนตายต่างหากค่ะ แค่ว่าหล่อนไม่ได้ตายที่บ้าน หลังจากมาทำงานที่โรงงานสักพัก จู่ๆ ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด ทันทีที่ผู้อำนวยการโรงงานต่อสายหาเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ประจำในโรงงาน หล่อนก็ตาเหลือกและหมดลมหายใจ หลังจากที่สามีและแม่สามีหล่อนได้รับการแจ้งข่าว พวกเขาก็มาหาเรื่องเรา โดยบอกว่าไช่ฉางชุนเสียชีวิตที่โรงงานเพราะอาการบาดเจ็บจากการทำงานและขอค่าชดเชย 100,000 หยวน ฉันได้รายงานเรื่องนี้กับตำรวจแล้ว และพวกเขากำลังจัดการ”
หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อย “ฉันจะตรวจสอบดูว่าจะจองตั๋วเครื่องบินไปเมืองเจียงเฉิงได้หรือเปล่า”
เหรินเป่าจูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุณกำลังท้องอยู่ ไม่ควรเดินทางไกล ให้ฉันจัดการเรื่องนี้เองเถอะค่ะ”
หลินม่ายตอบ “ถึงคุณจะจัดการได้ ฉันก็จะไปที่นั่นอยู่ดี ไม่ว่าไช่ฉางชุนจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด แต่มันก็เป็นชีวิตหนึ่ง และหล่อนเป็นพนักงานของโรงงาน ฉันต้องไปจัดการเพื่อให้แน่ใจว่าหล่อนจะจากไปได้อย่างสบายใจ
นอกจากนี้ ฉันยังอยากขอให้ผู้นำเทศมณฑลพิจารณาระบบราคาคู่ขนานใหม่อีกครั้ง มันผิดหลักเหตุผลเกินไปที่จะทำเช่นนั้น เพราะมันผลกระทบต่อองค์กรเอกชนและองค์กรทุนจากต่างประเทศยิ่งใหญ่เกินไป! ไม่เพียงขัดขวางการพัฒนาของวิสาหกิจเอกชน แต่ยังกีดกันวิสาหกิจที่ได้รับทุนจากต่างประเทศจากการลงทุน ซึ่งไม่เอื้อต่อการปฏิรูปและการเปิดประเทศ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด เหรินเป่าจูจึงไม่กล้าห้ามเธอ และเพียงย้ำเตือนให้นำผู้ดูแลติดตามมาด้วย
หลินม่ายบอกคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเกี่ยวกับการไปเมืองเจียงเฉิง และคู่รักชราทั้งสองก็เต็มใจที่จะเป็นผู้ติดตาม
ในที่สุดทั้งครอบครัวก็ขึ้นเครื่องบินช่วงบ่ายไปยังเมืองเจียงเฉิง
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับจากโรงพยาบาลในช่วงบ่าย เขาก็พบเพียงน้าถูและอาหวงอยู่ที่บ้าน
ภรรยาจากเขาไปอีกแล้วหลังจากที่เธอกลับมาเพียงไม่กี่วัน ฟางจั๋วหรานทั้งรู้สึกว่างเปล่าและอึดอัด
มันเป็นเวลาหนึ่งทุ่มเมื่อเครื่องบินลงจอดที่เมืองเจียงเฉิง
ถึงจะกังวลเรื่องโรงงาน แต่ลูกในท้องนั้นสำคัญยิ่งกว่า
หลินม่ายไม่กล้าตรงไปที่โรงงานทันทีหลังจากลงเครื่อง แต่เดินทางกลับไปวิลล่าพร้อมกับปู่ฟางและคนอื่นๆ
เนื่องจากได้บอกกล่าวฟางจั๋วเยวี่ยก่อนเดินทางแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยจึงมารออยู่ที่บ้าน
ทันทีที่หลินม่ายและคนอื่นๆ มาถึง ฟางจั๋วเยวี่ยก็โทรหาโรงแรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียง
ให้พวกเขาอุ่นอาหารที่สั่งไว้ล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขามาส่งที่บ้าน
ฟางจั๋วหรานเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าขอเป็นน้ำแกงหมูสามชั้นใส่พุทราจีนและถั่วลิสงที่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์ และต้องใช้หมูสามชั้นที่สดใหม่เท่านั้น
และต้องใช้ความพิถีพิถันในการทำอาหารอย่างดีที่สุด
คุณย่าฟางกลัวว่าหลินม่ายจะเหนื่อยเกินไป จึงบอกให้เธอไปนอนพักบนห้องก่อน แล้วค่อยลงมากินข้าวข้างล่างหลังจากที่โรงแรมนำอาหารมาส่ง
โต้วโต้วช่วยพยุงหลินม่ายขึ้นไปยังห้องพักชั้นบน
หลังจากโต้วโต้วออกไป หลินม่ายก็ใช้โทรศัพท์โทรหาเหรินเป่าจูเพื่อถามเกี่ยวกับความคืบหน้าคดีความของไช่ฉางชุน
เหรินเป่าจูอารมณ์เสียเล็กน้อย และบอกหลินม่ายว่า สามีและแม่สามีของไช่ฉางชุนเป็นคนพาล
การชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นโดยตำรวจพบว่าร่างกายของไช่ฉางชุนเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่หล่อนจะเสียชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว
แต่สามีและแม่สามีไม่ยอมรับความผิด พวกเขาโต้เถียงกันอยู่ที่ประตูโรงงานตลอดทั้งบ่าย ทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีนัก
เหรินเป่าจูถอนหายใจ “ไช่ฉางชุนถูกสามีทุบตีจนตาย ฉันไม่คิดว่าลูกสาวของหล่อนจะมีอายุยืนเลยค่ะ”
หลินม่ายถามด้วยความงุนงง “ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
“วันนี้พ่อและน้องสาวของไช่ฉางชุนพาลูกสาวมาหาแม่เป็นครั้งสุดท้าย ฉันสังเกตเห็นว่าที่แขนและต้นขาของเด็กคนนั้นมีบาดแผลเต็มไปหมด เมื่อฉันแอบถามหล่อนตามลำพัง เด็กน้อยน่าสงสารคนนั้นก็บอกฉันว่าพ่อเป็นคนทุบตีหล่อน”
หลินม่ายกล่าว “อย่ากังวลเลย ตราบใดที่ผลชันสูตรพิสูจน์ว่าไช่ฉางชุนถูกทุบตีจนตาย สามีของหล่อนจะถูกจับกุม แล้วลูกสาวของหล่อนก็จะปลอดภัย”
เหรินเป่าจูกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “แม้ร่างกายจะปลอดภัย แต่การกินอยู่ของหล่อนจะเป็นปัญหา ย่าของหล่อนอยากได้หลานชายมากกว่า เป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะให้เด็กน้อยได้อยู่ดีกินดี”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง “ค่อย ๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาเรื่องการกินอยู่ของเด็กน้อย”
เธอรู้สึกงุนงง เพราะไช่ฉางชุนไม่ใช่เด็กกำพร้า และหล่อนก็มีครอบครัวทางแม่อยู่
หล่อนถูกครอบครัวของสามีทำร้าย แล้วเหตุใดครอบครัวทางแม่ของหล่อนถึงไม่คิดปกป้องหล่อนเลย?
หลังอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น หลินม่ายก็ไปยังโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
ขณะที่นั่งแท็กซี่ไปถึงหน้าประตูโรงงาน เธอเห็นว่าด้านหน้าเต็มไปด้วยผู้คน
หลินม่ายจ่ายค่าโดยสารและลงจากรถ ก่อนเดินไปหาฝูงชน
เธอเห็นหญิงชราที่ดูซื่อตรงและเรียบง่ายนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นท่ามกลางวงล้อม
บอกว่าลูกสะใภ้ของนางเสียชีวิตด้วยความเหนื่อยล้าในโรงงาน นางและลูกชายมาที่โรงงานเมื่อวานนี้เพื่อขอคำอธิบาย แต่พวกเขาไม่ได้รับคำตอบใด ขณะที่ลูกชายถูกตำรวจพาตัวไปเมื่อเช้านี้
หญิงชราตบต้นขาของตนและร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง เอาแต่คร่ำครวญว่าไม่มีความยุติธรรมในโลกนี้ เป็นเพราะห้องเสื้อจิ่นซิ่วร่ำรวยและมีอำนาจ แม้แต่ตำรวจก็ยังทำตัวเป็นลูกน้องของเธอ
หญิงชราแสดงท่าทางประกอบอย่างถึงอารมณ์พร้อมพ่นคำพูดยั่วยุ
หลายคนในที่เกิดเหตุฟังคำพูดของหญิงชราแล้วพากันถ่มน้ำลายรดประตูโรงงานด้วยความขุ่นเคือง พลางกล่าวว่าพวกเขาจะคว่ำบาตรร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
หลินม่ายไม่ได้เกรงกลัวการต่อต้านจากฝูงชน
เพราะหลังจากนี้อีกหนึ่งถึงสองวัน ตำรวจจะประกาศผลการชันสูตร ทำให้ผู้คนทราบถึงสาเหตุการตายของหล่อน แล้วพวกเขาจะไม่คิดต่อต้านร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วอีกต่อไป ส่งผลให้วิกฤตก็ผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัย
แต่เธอทนไม่ได้ที่แม่สามีของไช่ฉางชุนพยายามใส่ร้ายโรงงาน ดังนั้นเธอจึงต้องการสั่งสอนบทเรียนให้กับอีกฝ่ายเสียบ้าง
เมื่อเห็นโฮ่วซินอี้นำเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเข้ามา หลินม่ายก็ต้องการลากหญิงชราออกไป
เธอรีบโทรหาเขาเพื่อแอบสั่งการบางอย่าง
โฮ่วซินอี้เพิกเฉยต่อแม่สามีของไช่ฉางชุนและปล่อยให้นางร้องห่มร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูโรงงาน ขณะเดียวกันหันไปอธิบายบางอย่างกับเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นขี่จักรยานจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคนก็กลับมาพร้อมกับพ่อ น้องสาว และลูกสาวของไช่ฉางชุน
เมื่อเห็นพ่อของไช่ฉางชุนใช้ไม้ค้ำในการช่วยยืน ส่วนน้องสาวของหล่อนมีอายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น ทำให้ความสงสัยของหลินม่ายก่อนหน้าได้รับการไขกระจ่างทันที
พ่อของไช่ฉางชุนเป็นคนพิการ ส่วนน้องสาวยังเด็กมาก พวกเขาทั้งสองอ่อนแอเกินไป แล้วจะให้พวกเขามาปกป้องไช่ฉางชุนได้อย่างไร ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไช่ฉางชุนจะถูกสามีและแม่สามีทารุณกรรมมาเป็นเวลานาน
คนทั้งสามถูกพามาหาแม่สามีของไช่ฉางชุนโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคน
ลูกสาวของไช่ฉางชุนตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเมื่อเห็นคุณย่าของตน
พ่อไช่ทั้งโศกเศร้าและแค้นเคืองที่ลูกสาวคนโตถูกสามีของหล่อนทุบตีจนตาย
ทันทีที่เห็นแม่สามีของลูกสาวคนโต เขาพลันยกไม้เท้าและชี้ไปที่นาง สบถด่าด้วยความโกรธ “ลูกชายแกทุบตีลูกสาวคนโตของฉันจนตาย แล้วยังมีหน้ามาโทษโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วอีก แกมันหน้าไม่อาย ฉันจะฟันแกให้ขาดเป็นสองท่อน!”
สิ้นเสียง เขาเหวี่ยงไม้เท้าไปที่แม่สามีของไช่ฉางชุนอีกครั้ง
น้องสาวไช่จับมือหลานสาวตัวน้อย บอกกับฝูงชนทั้งน้ำตา “พี่สาวของฉันไม่ได้เสียชีวิตจากการทำงานในโรงงาน แต่ถูกพี่เขยทุบตีจนตาย พี่เขยไม่เพียงทุบตีพี่สาวอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังทุบตีหลานสาวตัวน้อยที่น่าสงสารของฉันด้วย”
หล่อนถกแขนเสื้อและขากางเกงของเด็กหญิงตัวน้อยขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลทั้งเก่าและใหม่บนร่างกาย
รอยแผลเป็นเก่าและใหม่ซ้อนทับกันจนน่าตกใจ
น้องสาวไช่พูดกับหลานตัวน้อยว่า “หลานบอกทุกคนไปสิ ว่าใครเป็นคนทำร้ายเรา?”
เด็กหญิงตัวน้อยโน้มตัวเข้ามาใกล้และพูดว่า “คุณพ่อตีหนู คุณย่าก็ตีหนูเหมือนกัน”
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์แม่สามีของไช่ฉางชุนอีกครั้ง
คนทั้งหมดพากันก่นด่าหญิงชรา จนเกือบทำให้นางจมน้ำลายตาย
แต่แม่มดแก่ไร้ยางอายคนนี้ไม่กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนนับพัน กลับกลัวว่าพ่อไช่จะทุบตี
พ่อไช่ใช้ไม้เท้าฟาดปากหญิงชราจนเลือดกบปากพร้อมฟันหลุดออกมาหลายซี่
หญิงชราเอาแต่ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ใครเล่าจะช่วย? ทุกคนล้วนด่าทอหล่อนอย่างรุนแรง
ในเวลานี้ รถตำรวจคันหนึ่งเข้ามาจอดนิ่งใกล้กับประตูโรงงานเสื้อผ้าจินซิ่ว
หลินม่ายเป็นคนเรียกรถตำรวจคันนี้
ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เธอแอบกระซิบบอกโฮ่วซินอี้ก่อนหน้า
เขาไม่เพียงจัดเตรียมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อนำพ่อและน้องสาวตระกูลไช่ รวมถึงลูกสาวของไช่ฉางชุนมาเปิดโปงคำโป้ปดของแม่มดแก่ เธอยังขอให้เขาส่งคนไปที่สถานีตำรวจเพื่อเรียกตำราจมาที่เกิดเหตุ โดยบอกว่าแม่สามีของไช่ฉางชุนก่อความวุ่นวายที่หน้าประตูโรงงาน
ไม่เพียงใส่ร้ายร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเท่านั้น แต่ยังรบกวนการผลิตของโรงงาน ดังนั้นจึงอยากขอให้ตำรวจเข้ามาจัดการ
มิฉะนั้นเกรงว่าฝูงชนอาจถูกแม่สามีไช่ฉางชุนหลอกลวงด้วยคำเท็จ จนเกิดการทำลายโรงงาน
เมื่อตำรวจมาถึง พวกเขาเห็นชายวัยกลางคนที่พิการกำลังทุบตีหญิงชรา
เด็กสาวคนหนึ่งดึงเสื้อของเด็กหญิงตัวน้อยที่ผอมแห้ง ซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ขณะที่บอกกล่าวความขมขื่นกับทุกคนด้วยน้ำตา
ขั้นแรกพวกเขาต้องแยกชายพิการออกจากหญิงชรา สอบสวนในที่เกิดเหตุว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
แม้ว่าพ่อไช่จะทำผิดที่ทุบตีคนอื่น แต่ลูกชายของแม่มดแก่คนนี้ก็ทุบตีลูกสาวของเขาจนตาย แล้วยังกล้ามาพูดเรื่องไร้สาระอยู่ที่ ซึ่งใครบ้างจนทนได้?
เป็นที่เข้าใจได้ว่าพ่อของไช่ทุบตีแม่มดชราด้วยความโกรธ
ตำรวจตำหนิพ่อไช่อย่างรุนแรงและสั่งให้เขาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่สามีไช่ฉางชุน จากนั้นคดีจะสิ้นสุด
แม้ว่ากฎหมายจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความรู้สึกของมนุษย์ แต่เป็นความจริงที่พ่อไช่ตีแม่สามีของลูกสาวคนโตด้วยไม้เท้าจนเลือดออก
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะไม่ให้เขาจ่ายค่ารักษาพยาบาล
พ่อไช่ไม่มีเงิน เขาจึงขอติดคุกแทน
หลินม่ายขอให้โฮ่วซินอี้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขาอย่างลับๆ
แม่สามีของไช่ฉางชุนถูกทุบตีจนเลือดกบปาก นางจึงเดือดดาลหนัก
แต่หล่อนก็ยิ้มออกมาได้เมื่อได้รับค่ารักษาพยาบาล
อย่างน้อยก็ไม่ถูกตีเฉยๆ
ขณะแม่มดชรากำลังจะจากไปพร้อมกับค่ารักษาพยาบาล ตำรวจก็ห้ามนางไว้และบอกว่าอย่าเพิ่งไป
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ครอบครัวนี้อำมหิตจริงๆ ทุบตีลูกสาวเขาจนตายแล้วยังมากล่าวหาว่าเป็นความผิดโรงงานเพื่อขอค่าชดเชยอีก สมควรติดคุกแบบขังลืมยาวๆ อะ
ไหหม่า(海馬)