แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 92 บรรลุเป้าหมาย
ตอนที่ 92 บรรลุเป้าหมาย
หลินม่ายยังทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ยอมขยับเขยื้อน “พ่อเฒ่าคะ อย่ารีบร้อนขับไล่ฉันไปเลย จะทำธุรกิจซื้อขายก็ต้องมีการต่อรองราคากันไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไม่ต่อรองแล้วจะหาข้อตกลงร่วมกันได้ยังไง?”
พ่อเฒ่าเฮ่อพูดอย่างโกรธเคือง “ราคาที่เธอเสนอมามันเอาเปรียบกันเกินไป เพ้อเจ้อไร้สาระ!”
“ราคาที่ฉันเสนอไม่ได้น่าเกลียดเลยนะคะ ถนนเส้นนี้มีตึกแถวที่ปล่อยเช่าเยอะแยะจะตายไป”
พ่อเฒ่าเฮ่อสวนกลับทันทีด้วยความโกรธเคือง “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปขอเช่าที่ของคนอื่นดูสิ ลองดูว่าคนอื่นเขาจะยอมปล่อยเช่าไหม!”
หลินม่ายยังต่อรองต่อไปโดยไม่มีท่าทีโกรธหรือหงุดหงิดรำคาญ “ใช่ว่าคนอื่นไม่อยากปล่อยเช่าหรอกค่ะ แต่คนอื่นเขาอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัวเกินกว่าจะปล่อยให้เช่า อีกทั้งบ้านของพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต่อให้ปล่อยเช่า ครอบครัวอาจจะยิ่งแออัดมากกว่าเดิม ไม่เหมือนคุณที่ยังมีบ้านอีกหลังหนึ่งให้อยู่อาศัย แล้วปล่อยบ้านว่างหลังนี้ให้เช่าเพื่อเก็งกำไร”
ระหว่างทางก่อนมาถึงที่นี่ หลินม่ายสำรวจพื้นที่ด้านหน้าอาคารอื่น ๆ ไว้บ้างแล้ว
พื้นที่หน้าบ้านของคนอื่นต่างมีข้าวของวางเกือบเต็มพื้นที่ ไม่โล่งเท่าหน้าบ้านของพ่อเฒ่าเฮ่อ ที่มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้วางอยู่แค่ไม่กี่ตัว
อีกทั้งใต้ถุนอาคารของครอบครัวอื่น ไม่ได้มีแค่โต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเท่านั้น บางบ้านยังมีเตียงเดี่ยวตั้งอยู่อีกด้วย
การที่ครอบครัวนั้น ๆ จัดวางเตียงเดี่ยวไว้หน้าบ้าน แสดงให้เห็นว่าสถานภาพทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดีนัก หรือไม่ก็อาจมีสมาชิกหลายคนจนแออัดเกินไป
ต่อให้ประชาชนรู้กันทั่วว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังมีแผนนโยบายในการปฏิรูปประเทศ แต่ในเมื่อยังไม่มีการเผยแพร่เอกสารหลักฐานอย่างเป็นทางการ คนทั่วไปก็ยังมองว่านโยบายดังกล่าวยังไม่เป็นรูปธรรม
แน่นอนว่าบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารที่มีสภาพแออัดบนถนนเส้นนี้ ไม่มีทางยอมเสี่ยงปล่อยพื้นที่ว่างของตัวบ้านให้หลินม่ายเช่า เพราะลำพังในครัวเรือนก็แออัดมากพออยู่แล้ว
ในขณะที่พ่อเฒ่าเฮ่อออกปากว่าเขายินดีให้หลินม่ายเช่าบ้านทั้งหลัง นั่นหมายความว่าเขายังมีบ้านหลังอื่นให้อยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้หลินม่ายถึงได้ต่อรองให้เขายอมปล่อยเช่าบ้านว่างหลังนี้ในราคายี่สิบห้าหยวน
รอบนี้ถึงคราวที่พ่อเฒ่าเฮ่อเป็นฝ่ายนิ่งเงียบบ้าง
หลินม่ายพยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป “ยี่สิบห้าหยวนไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะคะ เทียบเท่ากับเงินเดือนของคนรุ่นใหม่ที่รับราชการมานานหลายปี ยังดีกว่าปล่อยให้บ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างโดยที่คุณไม่ได้อะไรเลยเสียอีก”
พ่อเฒ่าเฮ่อยังคงนิ่งเงียบ
หลินม่ายรู้ว่าความคิดของเขาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดว่าราคาที่เธอเสนอมาต่ำเกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้สงครามทางจิตวิทยาเข้าสู้ หวังให้เธอยอมแพ้
แต่หลินม่ายจะยอมจ่ายเงินในจำนวนดังกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อเธอเองก็อ้างอิงราคาค่าเช่าตามสภาวะตลาดเหมือนกัน
พูดถึงสภาวะตลาดในยุคปัจจุบัน ราคายี่สิบห้าหยวนที่เธอเต็มใจจ่ายถือว่าไม่ต่ำเลยด้วยซ้ำ
รอให้ค่าเงินสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ก่อนเถอะ ต่อให้ราคาค่าเช่าจะสูงถึงสี่สิบหรือห้าสิบหยวน สัญญาว่าเธอจะไม่เกี่ยงเลย
ตรงกันข้าม ในเมื่อค่าเงินยังคงที่ จะให้เธอยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเช่าร้านในราคาที่เกินตัวอย่างนั้นหรือ?
หลินม่ายใช้วิธีการทางจิตวิทยากลับโดยเป็นฝ่ายล่าถอยออกมา “ในเมื่อพ่อเฒ่ายังยืนกรานคำเดิม งั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปเถอะค่ะ ฉันมีรถสามล้ออยู่ ค่อยขับเร่ขายตามริมถนนทุกวันก็ได้”
พอพูดจบก็หันหลังเดินออกจากประตูไป ก้าวขึ้นรถสามล้อ ก่อนจะตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดังฟังชัด “ขายซาลาเปา ขายไข่ต้มดองซีอิ๊วจ้า ซาลาเปาไส้เนื้อลูกละห้าเหมา ไข่ต้มฟองละหนึ่งเหมา ซาลาเปาไส้ซึงฉ่ายก็ลูกละหนึ่งเหมาเช่นกันจ้ะ”
ใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมาถามเธอว่า “ต้องใช้คูปองอาหารกับคูปองไข่หรือเปล่าจ๊ะ?”
แป้งที่ใช้สำหรับทำซาลาเปานึ่ง รวมถึงไข่สำหรับทำไข่ต้มดองซีอิ๊ว เป็นวัตถุดิบที่เธอซื้อหามาได้จากในชนบท จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อคูปองอาหารหรือคูปองไข่อีกต่อหนึ่ง
หลินม่ายไม่เคยขายอาหารโดยต้องใช้คูปองอาหารหรือคูปองไข่ในการลงทุน เธอตอบกลับไปว่า “ไม่ใช้ค่ะ!”
พริบตาเดียว ผู้คนจำนวนมากก็เดินเข้ามาสมทบที่รถสามล้อของเธอทันที
แม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อเห็นว่าเธอขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว ต่างก็เดินเข้ามาด้วยความสนใจ
พอสอบถามราคาแล้ว พบว่าหลินม่ายขายในราคาเดียวกันกับร้านขายอาหารว่างของรัฐไม่มีผิด
ด้วยเหตุนี้ ร้านของหลินม่ายจึงมีลูกค้าสนใจอุดหนุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง คนเหล่านี้ต่างซื้อซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วที่เหลืออยู่จนหมดเกลี้ยง ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือซาลาเปากับไข่ต้มของเธอเย็นชืดไปหมดแล้ว
ถ้าร้านอื่นขายซาลาเปากับไข่ต้มที่เย็นชืดแบบนี้ บรรดาลูกค้าคงโอดครวญกันใหญ่โต เพราะไม่ชอบอาหารที่เย็นชืด
อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่มีที่ยืนสำหรับลูกค้าที่มีนิสัยจู้จี้จุกจิกมากเรื่อง ตราบใดที่เจอลูกค้าแบบนั้นเธอก็แค่ปฏิเสธไม่ยอมขายให้ ถึงอย่างไรก็มีลูกค้าที่ไม่เรื่องมากต่อคิวซื้ออยู่ดี
บอกได้คำเดียวเลยว่าถนนเส้นนี้มีคนสัญจรผ่านพลุกพล่านพอสมควร ถ้าตัดสินใจเปิดร้านแถวนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำเงินได้
น่าเสียดายที่พ่อเฒ่าเฮ่อยังคงลังเล ถึงหลินม่ายจะยอมถอยออกมา แต่เธอก็ไม่ได้ยอมแพ้ เพียงแต่ต้องอดทนรอดูผลลัพธ์สักหน่อย
หลินม่ายจงใจวางระเบิดโน้มน้าวไว้ก่อนจะเดินจากมา ไม่รอให้พ่อเฒ่าเฮ่อไตร่ตรองหรือตัดสินใจเดี๋ยวนั้น
ดูเหมือนว่าใจจริงแล้วพ่อเฒ่าเฮ่อเองก็ไม่ได้อยากปล่อยเช่าเท่าไรนัก นอกเสียจากว่าผู้เช่าจะตกลงเช่าตามราคาที่เขาตั้งไว้
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะโน้มน้าวให้ผู้อยู่อาศัยคนอื่นในละแวกใกล้เคียงมาเช่าบ้านหลังนี้ของเขา
หลินม่ายขี่จักรยานข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม คิดในใจว่าอาคารฟากนี้ดูมีความเจริญมากกว่า ถ้าเธฮตัดสินใจเช่าร้านบริเวณนี้ คงขายดีกว่าอีกฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน
เธอขับรถสามล้อมาจอดเทียบหน้าอาคารริมถนนหลังหนึ่งซึ่งเปิดประตูไว้
ก่อนจะตะโกนถามหญิงชราที่นั่งล้างจานอยู่หน้าประตู ว่านางยินดีแบ่งพื้นที่หน้าอาคารให้เธอเช่าหรือเปล่า
หญิงชราตกตะลึงนิ่งไป “เธอจะเช่าในนามบริษัท หรือเช่าในนามส่วนตัวกันล่ะ?”
นางไม่อยากปล่อยเช่าในนามบริษัท เพราะมีความเสี่ยงที่จะถูกหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบให้ยุ่งยาก
แต่ถ้าอีกฝ่ายเช่าเอง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเรื่องนี้
พอหลินม่ายเห็นว่าหญิงชรามีท่าทางยินดีที่จะเจรจากับตัวเอง หลินม่ายก็รีบกระโดดลงจากรถสามล้อ แล้วนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าอีกฝ่าย อาสาช่วยนางล้างจาน “ฉันจะเช่าเองค่ะ ได้ไหมคะ?”
อีกด้านหนึ่ง อันที่จริงใช่ว่าพ่อเฒ่าเฮ่อไม่ต้องการปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองควรอดทนรอต่อไปอีกหน่อย จนกว่าหลินม่ายจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ จากนั้นเขาค่อยตกลงปล่อยเช่าในราคาสามสิบหยวน
ไม่คิดเลยว่าหลินม่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ ทั้งยังเปลี่ยนเป้าหมายไปเจรจากับเจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามอีก เห็นแบบนี้แล้วชายชรากลับกลายเป็นฝ่ายนั่งไม่ติดเสียเอง
ถ้าแม่เฒ่าเจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามยินดีให้หญิงสาวผิวคล้ำคนนี้เช่าบ้านขึ้นมาจริง ๆ ละก็ บ้านหลังนี้ของเขาก็จะยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม
ยุคสมัยนี้มีน้อยคนนักที่จะกล้าหาเช่าพื้นที่สำหรับเปิดร้านค้าขาย พลาดจากเธอไปสักคนหนึ่ง หลังจากนี้ใครจะรู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะเจอคนที่สนใจเช่าบ้านของเขาอีก
คิดได้ดังนั้น พ่อเฒ่าเฮ่อก็รีบเดินข้ามถนนตรงมาหาหลินม่ายอย่างไม่รอช้า “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันลองมาทบทวนดูดี ๆ แล้ว ราคาค่าเช่าที่เธอเสนอมาในตอนแรกก็ไม่เลว”
หลินม่ายไม่คาดคิดว่าการที่เธอข้ามมาพูดคุยกับหญิงชราคนนี้ จะสามารถกดดันให้พ่อเฒ่าเฮ่อยอมใจอ่อนลงได้ในที่สุด
เธอส่งยิ้มเป็นการขอโทษหญิงชรา ก่อนจะยืนขึ้นแล้วหันไปขอบคุณพ่อเฒ่าเฮ่อ
เธอถีบรถสามล้อตามพ่อเฒ่าเฮ่อกลับไปที่บ้านฝั่งตรงข้าม แล้วพูดคุยกันถึงวิธีการชำระค่าเช่า
พ่อเฒ่าเฮ่อต้องการให้เธอจ่ายค่าเช่าเป็นรายปี
ค่าเช่ายี่สิบห้าหยวนต่อเดือน ปีหนึ่งก็สามร้อยหยวน เป็นราคาที่หลินม่ายรับได้
เธอตอบตกลงทันที ทำการนัดหมายกับพ่อเฒ่าเฮ่อว่าเธอจะเดินทางมาทำสัญญาเช่ากับเขาภายในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาเช่าแล้ว ค่อยทำการส่งมอบเงินและบ้าน
ทันทีที่หลินม่ายถีบรถสามล้อกลับมาถึงบ้าน ประโยคแรกที่โจวฉายอวิ๋นทักทายคือคำถามว่าทำเลร้านใหม่ที่เธอไปดูเป็นอย่างไรบ้าง
ก่อนออกไปข้างนอก หลินม่ายพูดทิ้งท้ายไว้ว่าเธอจะขับเลยไปดูที่ทางแถวหน้าอาคารริมถนนในช่วงบ่าย ดังนั้นโจวฉายอวิ๋นจึงรู้เรื่องนี้
หลินม่ายช่วยอีกฝ่ายขนย้ายลังบรรจุอาหารที่ว่างเปล่าเข้าไปในตัวบ้านด้วยกัน “ไม่ใช่แค่ทำเลดี แต่ยังเจรจาค่าเช่ากันเรียบร้อยแล้วด้วย ฉันกับเจ้าของบ้านนัดเซ็นสัญญากันในวันพรุ่งนี้”
โจวฉายอวิ๋นตกใจ “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
“เร็วอะไรกันคะ? หน้าฝนใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ถ้าไม่หาที่เช่าร้านใหม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เราคงขายของกันไม่ได้หรอก”
ตราบใดที่เข้าสู่ฤดูฝน เธอจะขายซาลาเปาได้ทั้งหมดไม่ถึงสองร้อยลูกต่อวัน และไม่มีทางขายไข่ต้มดองซีอิ๊วได้ถึงหนึ่งร้อยฟองแน่ ในเมื่อเป็นแบบนี้รายรับของเธอก็จะน้อยเกินไป
ที่สำคัญคือผู้คนมากมายยังคงเดินทางไปทำงานกันตามปกติ ถึงแม้จะต้องฝ่าลมฝนก็ตาม
ช่วงชีวิตของเธอในภพชาติที่แล้ว ตอนที่เธอเริ่มต้นเปิดร้านเป็นครั้งแรก เธอต้องทำงานอย่างหนักท่ามกลางพายุฝนที่ตกกระหน่ำ จนในเวลาต่อมาเธอป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ เวลาฝนตกหรืออากาศหนาวเย็น จะรู้สึกเจ็บร้าวตามข้อกระดูกอย่างแสนสาหัส
ภพชาตินี้เธอไม่ต้องการตรากตรำทำงานหนักจนเสียสุขภาพอีกต่อไป เพราะแบบนี้ถึงได้พยายามหาเช่าร้านโดยเร็วที่สุด
ฝนหยุดตกในช่วงบ่าย แต่แล้วกลางดึกเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาอีกครั้ง
ขณะนอนฟังเสียงฝนด้านนอก โจวฉายอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้
หล่อนรู้ตัวเองดี ว่านอกจากทำซาลาเปาเป็นแล้ว ตัวเองก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นอีก
หล่อนไม่กล้าไปตลาดมืดตามลำพัง ไม่รู้วิธีซื้อขาย แม้แต่ไส้เนื้อยังทำได้ไม่อร่อยเท่ารสมือของหลินม่าย
ดังนั้นหล่อนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากช่วยเหลืองานอื่น ๆ ของหลินม่ายอย่างสุดความสามารถ ทั้งนวดแป้ง หมักแป้ง ทำซาลาเปา ช่วยดูแลลูกสาวของอีกฝ่าย ทำงานบ้าน… ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้คู่ควรกับเงินเดือนที่ได้รับจากหลินม่าย
แต่ด้วยความที่สภาพอากาศเลวร้าย มีฝนตกตลอดเวลาแบบนี้ ทำให้หล่อนไม่สามารถทำซาลาเปาได้ทุกวัน แน่นอนว่าหล่อนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ราวกับตนเองเอาแต่ปอกลอกเงินค่าจ้างของหลินม่ายไปวัน ๆ
หลังจากนี้ถ้าหลินม่ายเปิดร้าน หล่อนก็หวังว่าการค้าขายจะเป็นไปด้วยดี จะได้ลงแรงทำซาลาเปาอย่างขยันขันแข็ง ให้คุ้มกับค่าแรงที่หลินม่ายมีน้ำใจจ่ายให้หล่อน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ในที่สุดก็เช่าร้านได้ ฝีมือมากเลยม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)