แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 238 แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลิงเฟิ่งกลัวกงจี้มาก เมื่อนางเห็นกงจี้มีท่าทีเย็นชาอย่างที่สุด นางก็ตกใจหน้าซีดเผือดรีบเข้าไปประคองคุณหนูของตัวเองที่ยืนไม่นิ่งทันที
ช่างชือจื่อไม่สามารถล้มเข้าไปในอ้อมกอดของกงจี้ตามที่ใจปรารถนาได้ นางรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่การที่กงจี้ตำหนิหลิงเฟิ่ง ในความคิดของนาง นางคิดว่าพี่ชายกงกำลังแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
ช่างชือจื่อรู้สึกดีอยู่ในใจ นางเอียงตัวและชำเลืองมองเจียงป่าวชิง ตั้งใจให้เจียงป่าวชิงเห็นว่านางสำคัญต่อกงจี้มากแค่ไหน เมื่อยิ้มเยาะจนพอใจแล้ว นางก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแอ “พี่ชายกงเจ้าคะ พี่อย่าโทษหลิงเฟิ่งเลยเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ได้ยินว่าหมอหญิงเจียงป่วยหนัก จึงเป็นกังวลว่าจะกระทบต่อการทำกายภาพบำบัดของพี่หรือเปล่า ที่ข้ามานี่ก็เพื่อมาเยี่ยมหมอหญิงเจียงเจ้าค่ะ”
กงจี้พยักหน้าอย่างเย็นชาตามเคยก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ารักษาตัวให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องส่งผลต่อการฟื้นตัวของเจ้าเลย”
แม้พูดมาเพียงหนึ่งประโยค แต่ในใจของช่างชือจื่อกลับเบิกบานมาก นี่พี่ชายกงของนางกำลังเป็นห่วงนางจริง ๆ!
อีกอย่าง คำว่า ‘เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง’ ในคำพูดของพี่ชายกงของนาง ไม่ใช่ว่าหมายถึงเจียงป่าวชิงหรอกหรือ ?
ช่างชือจื่อชำเลืองมองเจียงป่าวชิงอย่างผู้ชนะ ความภาคภูมิใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางอย่างเห็นได้ชัด
เห็นหรือยังไอ้คนชั้นต่ำ ? นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดิน
ทว่าเจียงป่าวชิงไม่ได้มองอยู่แต่อย่างใด นางหลับตาพักเหนื่อยอยู่โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ท้ายที่สุดแล้ว ความภาคภูมิใจของช่างชือจื่อก็ไม่ต่างจากการโยนให้คนตาบอดดู
ช่างชือจื่อดื้อรั้น นางไม่ยอมล้มเลิกเพียงเท่านี้จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน่ารัก “พี่ชายกงเจ้าขา หมอหญิงเจียงป่วยหนักใช่ไหม ? ข้าจำได้ว่านางเป็นไข้หวัดแบบเดียวกันกับข้า แล้วยังกินยาของหมอชีเหมือนกันด้วย ทำไมข้าดีขึ้นและออกมาเดินได้แล้ว แต่หมอหญิงเจียงยังนอนป่วยอยู่บนเตียงอยู่เลยล่ะเจ้าคะ ?” นางหยุดครู่หนึ่งเพื่อยิ้มอย่างน่ารักให้กงจี้ก่อนจะพูดต่อ “หมอหญิงเจียงคงไม่ได้กลัวรสขมแล้วไม่ตั้งใจกินยาหรอกนะ ? ไม่อย่างนั้น ทำไมโรคที่ควรรักษาให้หายขาดไปนานแล้วถึงยังไม่ดีขึ้นในขณะนี้ล่ะ ?”
นางพูดไปตั้งขนาดนี้ ก็ถือว่าเหลือแค่พูดออกมาอย่างเปิดเผยว่าเจียงป่าวชิงแกล้งป่วยแล้วล่ะ
กงจี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ช่างชือจื่อยิ่งรู้สึกดีใจในใจ คนที่บังอาจพยายามแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพี่ชายกงแบบนี้อภัยให้ไม่ได้ นางจะต้องทำให้พี่ชายกงเห็นใบหน้าที่แท้จริงของไอ้คนชั้นต่ำนี่ให้ได้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ถูกหลอก
“เจ้าไม่ต้องสนใจนาง” กงจี้พูดกับช่างชือจื่อ น้ำเสียงของเขานิ่งขึ้นเรื่อย ๆ “สนใจแค่ตัวเองก็พอแล้ว”
ช่างชือจื่อรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “พี่ชายกง ข้าคิดว่าที่หมอหญิงเจียงป่วยในช่วงนี้และไม่ดีขึ้น มันน่าจะเป็นเพราะ…”
ความเย็นชาที่แสดงออกมาผ่านแววตาของกงจี้ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ เขาหันไปมองเจิ้งหนานที่พยายามขดตัวเป็นกระดานพื้นหลังอยู่ด้านข้าง “เจิ้งหนาน อาหญิงไม่สบาย เจ้าพาอาหญิงไปส่งหน่อยสิ”
ช่างชือจื่อเงยหน้าขึ้นและต้องตกใจกับความโกรธที่เพิ่มขึ้นของกงจี้ ทว่าจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดีใจ นางคิดว่าพี่ชายกงคงโมโหที่หมอหญิงชั้นต่ำคนนี้กล้าแกล้งป่วยเพื่อหลอกเขา
ช่างชือจื่อยิ้มเยาะในใจ แต่นางกลับแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาให้เห็น “พี่ชายกง พี่ไม่ต้องโมโหจนเกินไปนัก มันไม่คุ้มถ้าหากว่าพี่เสียสุขภาพเพียงเพราะโมโหคนอื่นนะเจ้าคะ”
กงจี้ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่เจิ้งหนานก้าวมาหนึ่งก้าวแล้ว “อาหญิง เชิญขอรับ”
ช่างชือจื่อมองเจิ้งหนาน นางเห็นว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่ได้นำมาใส่ใจอะไร ทำเพียงพยักหน้าแล้วหันกลับไปบอกลากงจี้ “พี่ชายกง ข้ารู้ว่าพี่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของข้า ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
ท่าทางของนางน่ารักและน่าเอ็นดูมาก และนางก็มั่นใจในท่าทางนี้ของนางมากด้วย
กงจี้ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
ในที่สุดช่างชือจื่อก็เดินตามเจิ้งหนานออกไป
เมื่อเจิ้งหนานออกมาจากในห้อง เขาก็แอบรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย
ช่างชือจื่อไม่รู้ว่าเจิ้งหนานเป็นคนเรียกให้พี่ชายกงที่นางนึกถึงอยู่ตลอดเวลามาที่นี่ เมื่อสักครู่เจิ้งหนานนำสิ่งของบางอย่างมาส่งให้แม่นางเจียงเพราะคำสั่งของไป๋จี แต่ยังไม่ได้เข้าไปในบ้านของเจียงป่าวชิง เขาก็เห็นช่างชือจื่อกับสาวใช้หลิงเฟิ่งเหมือนจะมาก่อเรื่องอย่างไรอย่างนั้น เขาได้ยินพวกนางปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มความกดดันให้เจียงป่าวชิง
ถึงแม้ว่าเจิ้งหนานจะหลบหลีกเจียงป่าวชิง แต่เขารู้ดีว่าแม่นางเจียงคนนี้เป็นคนดี
ทุกครั้งที่นางมา นางมักยิ้มทักทายเขาเสมอ และเวลาที่นางนำอาหารอร่อย ๆ มีประโยชน์มาให้ไป๋จี นางก็จะให้เขาด้วยเช่นกัน
เจิ้งหนานหมุนตัวแล้วเดินถือของไปที่บ้านกงจี้อย่างไม่ลังเล
ผีน้อยจอมฉลาดตัวนี้รู้ว่าเขากับเจียงป่าวชิงจัดการอะไรกับแม่นางช่างหรือช่างชือจื่อไม่ได้ เขาจึงไปหาคนที่สามารถจัดการกับนางได้
……
หลังจากที่พวกช่างชือจื่อกลับไปก็เกิดความเงียบขึ้นภายในห้อง
เจียงป่าวชิงพิงอยู่บนหมอนอิง นางยังคงหลับตา ไม่ได้สนใจกงจี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
กงจี้มองสีหน้าที่ในตอนนี้ขาวซีดมากของเจียงป่าวชิง เขายืนอยู่ตรงนั้นสักพักโดยที่ไม่พูดอะไร ผ่านไปสักครู่ เขาก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา
กงจี้ไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่เลือกมุ่งตรงไปหาหมอชี
หมอชีกำลังให้คำแนะนำหมอตี๋เรื่องเกี่ยวกับตำราปรุงยา เมื่อเขาเห็นกงจี้เดินเข้ามาก็ตกใจทันที ทว่าฉับพลันทันใดสีหน้าขมขื่นก็ปรากฏขึ้นแทน “อ๊ะ! นายท่าน อยู่ดี ๆ ทำไมนายท่านถึงมานี่ล่ะขอรับ ? อันที่จริงนายท่านมีธุระอะไรก็ให้องครักษ์มาบอกต่อข้อความก็ได้ สองวันก่อนข้าเพิ่งเน้นว่าไม่ให้นายท่านเดินเป็นเวลานาน ทำไมนายท่านถึงปฏิบัติต่อคำสั่งของหมอเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเช่นนี้ล่ะขอรับ ?”
‘ขี้บ่นจริง ๆ’ กงจี้คิด แต่เขาก็ทนฟังหมอชีบ่นจนจบด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วค่อยพูดขึ้นว่า “หมอชี ทำไมนางยังไม่หายไข้ ?”
หมอชีงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ ที่แท้นายท่านมาถามเรื่องอาการไข้ของแม่นางเจียงนี่เอง
สีหน้าของหมอชีขมขื่นมากยิ่งขึ้น “นายท่าน อาการไข้ของแม่นางเจียง จริง ๆ แล้วโรคไข้หวัดเป็นเพียงเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ถ้าพักฟื้นก็หายได้ขอรับ แต่มีอย่างหนึ่งที่เป็นปัจจัยอาจทำให้อาการไข้ของนางไม่หายสักที นั่นก็คือความกลัดกลุ้มเรื่องต่าง ๆ ของผู้ป่วยขอรับ”
กงจี้ชะงักไปเล็กน้อย เขานึกถึงคำพูดที่เจิ้งหนานมารายงานให้เขาทราบด้วยความร้อนรน ‘นายท่าน… ดูเหมือนคุณหนูช่างจะพาสาวใช้ไปหาเรื่องแม่นางเจียงขอรับ!’
ช่างชือจื่อเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความโปรดปรานของทุกคน ถึงแม้นางจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องการถือหางให้ท้ายอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้านางก่อเรื่องแล้ว มันต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรอย่างแน่นอน
แม้กงจี้เชื่อว่าการกระทำของช่างชือจื่อจะไม่ส่งผลอะไรให้กับเจียงป่าวชิง แต่ตอนนี้ร่างกายของนางกำลังอ่อนแอ และแม้ฝีปากนางจะไม่เคยแพ้ใคร แต่ก็ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง ถ้าหากว่านางรู้สึกกลัดกลุ้ม…
กงจี้คิดมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขาก็ตอบสนอง สีหน้าของเขาดำคร่ำครึทันที
นี่เขากำลังทำอะไรอยู่ ? เขาลืมที่เจียงป่าวชิงพูดในตอนนั้นแล้วรึ ?
วันนี้นางยังพูดอยู่เลยว่า ‘ความชอบพอกัน’ อะไรทำนองนั้น ตอนนั้นเขาอยากจะอุดปากนางให้รู้แล้วรู้รอด
สีหน้าของกงจี้อึมครึมขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายเขาหมุนตัวจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ
ทว่าตกกลางคืน เจิ้งหนานก็ไปบอกต่อข้อความจากกงจี้ให้ช่างชือจื่อทราบ
“คุณหนูช่างขอรับ นายท่านบอกว่าคุณหนูมาเที่ยวหลายวันแล้ว” เจิ้งหนานก้มหน้าก้มตางุด ๆ เขาไม่กล้าเงยหน้ามองสีหน้าของช่างชือจื่อ “คิด ๆ ดูแล้วท่านย่าของคุณหนูคงคิดถึงคุณหนูมากแล้ว นายท่านให้ข้ามาบอกคุณหนูว่าเขาจัดเตรียมรถม้าให้คุณหนูแล้ว ตอนเช้าของวันพรุ่งจะพาคุณหนูไปส่งที่ตระกูลช่างขอรับ”
ช่างชือจื่อตกตะลึงอยู่ตรงนั้น นางคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
อะไรนะ… พี่ชายกงต้องการส่งนางกลับอย่างนั้นรึ ?
เขามีสิทธิ์อะไร ?!
“อะไรกัน ? นี่เจ้าหลอกข้าใช่ไหม ?! ห๊ะ! ใช่หรือเปล่า ?” ช่างชือจื่อมีท่าทียากที่จะเชื่อ
เจิ้งหนานก้มหน้าก้มตา “ขอประทานอภัยนะขอรับคุณหนูช่าง ข้าไม่กล้าบิดเบือนคำพูดของนายท่านแน่นอนขอรับ”
“เป็นไปไม่ได้” ช่างชือจื่อส่ายหน้า “นี่มันเป็นไปไม่ได้!” จู่ ๆ ช่างชือจื่อก็ดึงสติกลับมา นางเบิกตากว้าง “หึ! ต้องเป็นไอ้คนชั้นต่ำนั่นแน่ ๆ ที่พูดไม่ดีเกี่ยวกับข้าต่อหน้าพี่ชายกง ต้องเป็นนางแน่ ๆ ข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง!”
ช่างชือจื่อพุ่งออกไปในแสงยามราตรีโดยที่ไม่สนใจการห้ามปรามของหลิงเฟิ่งเลย