แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 345 ลอบสังหาร
รถม้าวิ่งไปตามถนนหลวงอย่างมั่นคงปลอดภัยไม่โคลงเคลง ตอนนี้ก็เข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้นแล้ว
ในรถม้ามีเตาทำความร้อนขนาดเล็กที่ดูสวยงาม มันเผาไหม้แบบไร้ควันเพื่อให้ความอบอุ่นโดยไม่ทำลายอากาศในรถม้า และยังสามารถมาอังไฟเพิ่มความอบอุ่นได้ เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงสองพี่น้องนั่งอยู่ในห้องบนรถม้า ทั้งคู่พูดคุยกัน สายตามองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ ๆ
“พี่สาว ที่นี่คือหุบเขานี่นา” เจียงฉิงเกาะอยู่ที่หน้าต่างพลางพูดกับเจียงป่าวชิงอย่างตกตะลึง “เมื่อกี้นี้ข้าเห็นหมาจิ้งจอกด้วย! มันวิ่งเร็วมากเลยและวิ่งหายไปทันที ข้าไม่รู้ว่ามันมุดไปที่ไหนแล้ว”
เจียงป่าวชิงอยากพูดอะไรบางอย่างแต่กลับรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าพื้นดูเหมือนสั่นเล็กน้อยจึงฉุดดึงเจียงฉิงด้วยมือข้างเดียวอย่างระมัดระวัง อีกมือรีบจับผนังรถม้า “อาฉิงระวัง! นั่งให้ดี ๆ นะรถมันสั่น!”
ทันใดนั้น เสียงขึงขังของคนบังคับรถม้าข้างนอกดังขึ้น “แม่นางเจียง ดูเหมือนว่าข้างหน้าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แม่นางกับแม่นางอาฉิงนั่งให้ดี ๆ หาจะไรจับยึดหน่อยนะขอรับ”
ความเร็วของรถม้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เจียงฉิงรู้สึกประหม่าขึ้นมาแล้ว มือเด็กหญิงคว้าหมับจับเสื้อของเจียงป่าวชิงไว้แน่นทว่านางพูดขึ้นอย่างรู้เรื่อง “พี่สาว ข้าไม่กลัว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะ”
เจียงป่าวชิงตบไหล่เจียงฉิงเบา ๆ ก่อนจะเลิกม่านเพื่อมองออกไปข้างนอก แต่กลับพบว่ามีฝุ่นควันคลุ้งอยู่มากมาย ทั้งยังได้ยินเสียงเข่นฆ่าโรมรันอย่างเลือนราง พอดูจากสถานการณ์แล้วก็เหมือนกับขบวนรถม้ากำลังถูกโจมตีขนาบไปมาอยู่ในหุบเขานี้
กองทัพค่อย ๆ เคลื่อนขบวนใกล้ชิดตีวงแคบลงเรื่อย ๆ เจียงป่าวชิงเห็นกงจี้ขี่ม้ามาทางนี้ เขาถือกระบี่ยาวด้วยมือข้างเดียวส่วนมืออีกข้างก็จับบังเหียนม้า เขาขี่ม้ามาหยุดข้างรถม้าอย่างเร่งรีบ
กงจี้ก้มตัวลงไปมองเจียงป่าวชิงที่อยู่ข้างหน้าต่างรถม้าและพูดกับนาง “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ทุกที่”
เจียงป่าวชิงมองใบหน้าของกงจี้ที่ยังคงมีรอยเลือดติดอยู่ และคิดว่าเลือดของคนอื่นคงกระเด็นไปโดนใบหน้าของเขาหลังจากผ่านการต่อสู้มา
แม้แต่ในเวลาเสี่ยงตายเช่นนี้ เขาก็ยังนึกถึงนาง ยังตั้งใจมาบอกว่า…ไม่ต้องกลัว มีเขาอยู่ทุกที่
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปาก มองกงจี้นิ่ง ๆ และพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เป็นไร”
ริมฝีปากของกงจี้เผยให้เห็นรอยยิ้มช้า ๆ ขับให้รอยเลือดที่แก้มดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น เขากลับหัวม้าและยกกระบี่ขึ้น ท่าทางน่าเกรงขามราวกับแม่ทัพที่กำลังสั่งทหารนับพันนายอย่างไรอย่างนั้น ไม่สิ เดิมทีเขาก็เป็นแม่ทัพที่ขู่คำรามอย่างสง่าในสนามรบอยู่แล้ว
กงจี้ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ตั้งขบวน!”
เจียงป่าวชิงเกาะอยู่ที่ทางเข้ารถม้าและมองดูกงจี้นำทหารของเขาต่อสู้ท่ามกลางสมรภูมินองเลือด
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจรถม้าคันนี้ แต่ทางฝั่งศัตรูได้รับคำสั่งมาว่าให้ฆ่ากงจี้เป็นคนแรก พวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจคนอื่น ๆ ในรถม้าสักเท่าไหร่ ถึงกระนั้นยังมีคนตั้งใจพุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวคนในรถม้าเป็นตัวประกัน ทว่าก็ถูกคนบังคับรถม้าที่คุ้มกันอยู่ข้างนอกฆ่าตายไปแล้วหลายคน
รถม้าคันที่เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงนั่งมานั้นเป็นจุดที่ที่ปลอดภัยที่สุดในสนามรบนี้แล้ว
การต่อสู้ไม่ได้ดำเนินนานจนเกินไป ไม่นานก็สิ้นสุดลง กงจี้ขี่ม้ามาทางเจียงป่าวชิงด้วยเนื้อตัวที่เปื้อนเลือดแดงฉานไปทั้งตัว เขาพลิกตัวลงจากม้าและเรียกเจียงป่าวชิงเสียงดัง
เจียงป่าวชิงเลิกม่านประตูรถม้าออกมายืนมองสำรวจกงจี้
แววตาห่วงใยที่ส่งออกมาจากสายตานางนั้นทำให้กงจี้อดไม่ได้ เขาอยากเข้าไปกอดเจียงป่าวชิงจริง ๆ แต่ทว่ายังไม่ทันได้เดินไปข้างหน้า สติปัญญาของเขาก็หวนกลับคืนมาพลางรีบก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าตกใจ “เอ่อ… ตัวข้ามีแต่กลิ่นคาวเลือด เดี๋ยวมันจะเปื้อน…”
เขายังไม่ทันได้พูดคำว่า “เจ้า” เจียงป่าวชิงกลับกระโดดลงจากรถม้า โถมตัวเข้าใส่อ้อมแขนของกงจี้โดยตรง
กงจี้รับร่างบางของนางโดยไม่รู้ตัวและกอดไว้เต็มอ้อมแขน
ตัวเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ในภาพความประทับใจของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงเป็นฝ่ายกอดเขาก่อน
เสียงของเจียงป่าวชิงสั่น “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…”
กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมตบแผ่นหลังของนางเบา ๆ “ข้าไม่เป็นไร เจ้าล่ะ ?”
“ข้ากับอาฉิงก็ไม่เป็นไร”
เจียงป่าวชิงเหมือนเพิ่งตระหนักได้ว่าลืมตัวจึงผลักกงจี้ออกอย่างเขินอาย แต่กงจี้กลับไม่ยอมปล่อย เขาพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไหน ๆ ก็กอดแล้ว ตัวเจ้าเปื้อนเลือดแล้วด้วย เปื้อนอีกสักหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอก”
เจียงป่าวชิงทั้งเขินอายทั้งโมโห “เอาล่ะ นี่ไม่ใช่เวลามาอืดอาด มีคนได้รับบาดเจ็บเยอะไหม ข้าจะไปช่วยพวกเขา”
พูดถึงเรื่องนี้ กงจี้ถึงจะปล่อยมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์และพยักหน้า “อืม ข้าจะพาเจ้าไป”
เนื่องจากการตอบสนองที่รวดเร็วและการบังคับบัญชาที่เหมาะสม ทำให้คนในกองทัพของกงจี้ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงอะไรกันมากนัก เจียงป่าวชิงไปช่วยห้ามเลือดให้กับพวกทหาร ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหญิงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในรถม้ามาโดยตลอดคนนั้นคงเป็นพวกคนสวยไร้ความสามารถ ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นนางพันแผลห้ามเลือดให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บด้วยสีหน้าราบเรียบแล้ว หลายคนก็เกิดความรู้สึกชื่นชมนางในใจ
ต้องทราบก่อนว่าภาพเหตุการณ์นองเลือดเหล่านี้ ชายชาติทหารอย่างพวกเขากว่าจะชินกับมันก็หลังจากเข้าร่วมกองทัพมาได้สักระยะหนึ่ง แต่เด็กสาวงดงามหยดย้อยคนนี้กลับช่วยผู้คนมากมายด้วยสีหน้าราบเรียบ ช่างมีความสามารถอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว… ยิ่งไปกว่านั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใกล้เสียชีวิตแล้วเต็มทนอยู่ประมาณสองสามคน แม้แต่หมอทหารแก่ผู้มากประสบการณ์ยังส่ายศีรษะและบอกว่าช่วยไม่ได้ แต่เด็กสาวที่งามหยดย้อยคนนี้กลับสามารถแย่งคนเหล่านั้นกลับคืนมาจากในมือของพญายมได้ซะอย่างนั้น
แววตาที่พวกเขามองเจียงป่าวชิงต่างกับก่อนหน้านี้มาก
แม้แต่เจียงฉิงที่วิ่งเล่นและช่วยเหลืออยู่ข้างกายเจียงป่าวชิงก็ยังได้รับความเคารพจากพวกทหารที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวด้วยเช่นกัน
พวกนายทหารยศสูงจัดการกับสนามรบได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานตัวเลขก็ถูกรวบรวมและถูกนำมารายงานให้กงจี้ทราบ มีคนตายสิบคน ได้รับบาดเจ็บยี่สิบห้าคน ในขณะที่พวกเขาฆ่าศัตรูได้มากกว่าร้อยคน
กงจี้ฟังทหารรายงานตัวเลขด้วยแววตาหนักแน่นแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ครั้งนี้พวกเขาลงต้นทุนไปแล้ว” เขาหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยสั่ง “ตามเงินที่ทหารควรได้ ข้าให้เพิ่มขึ้นอีกห้าเท่า จ่ายให้กับครอบครัวของนายทหารยศสูงเหล่านั้น”
เหล่านายทหารยศสูงที่อยู่ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งด้วยความซาบซึ้งใจ
กงจี้ยืนอยู่คนเดียวในสนามรบที่เขาเพิ่งต่อสู้และยืนเงียบเป็นเวลานาน
……
เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนี้มีคนตาย ศพผู้ตายจึงต้องได้รับการจัดการ ผู้บาดเจ็บก็ต้องได้รับการรักษาและพักฟื้น พวกเขาจึงตั้งค่ายในป่าเพื่อพักผ่อน
เจียงป่าวชิงช่วยคนเจ็บเกือบตลอดทั้งวันจนกระทั่งตกเย็นถึงจะได้พัก ส่วนเจียงฉิงยังเด็กมาก นางช่วยเท่าที่ช่วยได้และเหนื่อยจนนอนกรนอยู่บนฟูกนอนเรียบร้อยแล้ว แม้เจียงป่าวชิงจะเหนื่อยล้าเช่นกันแต่นางกลับนอนไม่หลับเลย จึงได้แต่นั่งถือถ้วยน้ำร้อน ๆ อยู่ข้างกองไฟอย่างเหม่อลอย
“กำลังคิดอะไรอยู่รึ ?” ไม่รู้ว่ากงจี้มาตั้งแต่ตอนไหน เขานั่งลงข้างเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงดึงสติกลับมาและมองไปที่เขา
จากอดีตที่ผ่านมา เจียงป่าวชิงรู้ว่ากงจี้เป็นคนมีนิสัยรักความสะอาดเกินไป แต่เดิมทีสนามรบก็เป็นสถานที่ที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับนิสัยรักความสะอาดอยู่แล้ว ไหนจะการเข่นฆ่าโรมรัน ไหนจะเลือดเนื้อ ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนทนไม่ได้สำหรับนิสัยรักความสะอาดทั้งนั้น
แต่วันนี้กงจี้กลับยอมต่อสู้นองเลือดและดูกระหายการสังหาร
ในสามปีที่นางไม่รู้นั้น กงจี้ผ่านอะไรมาบ้าง… หรือก่อนที่นางจะรู้จักกับเขา เขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง
“เรื่องวันนี้มีเค้าเรื่องอะไรไหม ?” เจียงป่าวชิงถามเขาเสียงเบา
กงจี้ไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปสักพักเขาก็ยกยิ้มมุมปากอย่างถากถาง “นอกจากครอบครัวนั้นอยากให้ข้าตายแล้ว ยังจะมีเหตุผลไหนได้อีกล่ะ”
“ครอบครัวไหน ?” ปกติแล้วเจียงป่าวชิงไม่ชอบถามความลับของคนอื่น แต่ครั้งนี้นางกลับทุ่มเทความกล้า อยากถามให้ถึงที่สุด
กงจี้มองเจียงป่าวชิงและเผยรอยยิ้มช้า ๆ ทว่าในแววตาของเขากลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
“ตระกูลกง ครอบครัวของข้าเอง”
.