แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 381 ข้ามารับเจ้า
ถูซีว่างไม่เชื่อในความโชคร้าย เขากำลังจะก่นด่านางบ้าที่ทำให้เขาอารมณ์ร้อนได้อย่างน่าประหลาดที่อยู่ตรงหน้า แต่อารมณ์ที่ฮึกเหิมมากเกินไปทำให้อาการวิงเวียนศีรษะของเขาแย่ลง ร่างเขาส่ายไปมาจนต้องจับชั้นวางข้าง ๆ เพื่อจะได้ไม่หกล้มขายขี้หน้า
ถูซีว่างได้ยินนางบ้าคนนั้นส่งเสียงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาใส่ตน เขาได้ยินแล้วหงุดหงิดเป็นที่สุดและสาบานว่าชีวิตนี้จะหาโอกาสใช้มีดแทงแม่นางปากเก่งคนนี้ให้ได้ เขาไม่ต้องมองหน้าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าสีหน้าของอีกฝ่ายจะต้องเต็มไปด้วยการเยาะหยันอย่างแน่นอน
เจียงป่าวชิงคร้านจะสนใจถูซีว่างจึงผลักประตูออกไปจากห้อง “ข้าจะไปเอายา เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ”
เมื่อคำนวณเวลา นางคิดว่ายาในห้องครัวคงต้มเสร็จแล้ว เจียงป่าวชิงเปิดฝายา กลิ่นยาต้มที่เต็มไปด้วยรสขมฝาดปะทะเข้ากับใบหน้าในทันใด
เจียงป่าวชิงมองดูยาที่เดือดปุด ๆ จนเกิดฟองอากาศในหม้อดินด้วยสีหน้าราบเรียบ จังหวะนั้นเอง นางยกมือขึ้นทำการเพิ่มส่วนผสมยาบางอย่างลงไปอีกเล็กน้อย
ตอนที่เจียงป่าวชิงกลับมาพร้อมกับยา ถูซีว่างนั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วรับถ้วยยามาดื่มจนหมดในรอบเดียวโดยที่ไม่มองเจียงป่าวชิงเลยสักนิด ทว่าเพียงแวบเดียวเท่านั้นที่ดื่มยาลงคอไป เขาก็เกือบพ่นยาออกมา
ถูซีว่างเช็ดปากอย่างหมดสภาพ “บัดซบเอ๊ย! นี่มันยาบ้าอะไรทำไมถึงได้ขมขนาดนี้ ?!”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แหม เจ้าดื่มหมดเร็วขนาดนั้น ไม่กลัวว่าข้าจะใส่ยาพิษลงไปในยาเพื่อฆ่าเจ้าเลยรึ ?”
ถูซีว่างคลื่นไส้หนักเข้าไปอีกเพราะรสขม เขาพูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง “เหอะ… ถ้าพวกเจ้าต้องการฆ่าข้า มีโอกาสตั้งมากมายที่สามารถฆ่าข้าได้ในตอนที่ข้าสลบอยู่ ทำไมต้องทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเช่นนั้นด้วย แถมยังสิ้นเปลืองเครื่องปรุงยาอีก ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นสักหน่อย… บ้าจริง ๆ ตกลงว่าเจ้าใส่อะไรลงไปในยากันแน่ ข้าขมจะตายอยู่แล้ว!”
เจียงป่าวชิงแสยะยิ้มพลางนั่งลงข้าง ๆ เขาและพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อครู่ข้าแค่เห็นว่าเจ้าอารมณ์ร้อน ก็เลยเพิ่มหวนเหลียนเพื่อช่วยให้เจ้าหายโกรธและอารมณ์เย็นลงเท่านั้น เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
“…” ถูซีว่างพูดไม่ออกเพราะความขมของหวงเหลียน
ขณะนี้ เกิ่งจื่อเจียงกลับมาพอดี เขาเห็นว่าถูซีว่างฟื้นแล้วและยังกำลังถลึงตาใส่เจียงป่าวชิงด้วยสีหน้าโหดร้ายราวกับต้องการจะฆ่าเจียงป่าวชิงให้ตายอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงกัดฟัน รีบสาวเท้าเดินไปบังอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิงอย่างรวดเร็ว “เฮ้ ๆ ๆ ถึงยังไงข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าอย่าเนรคุณเซ่!” น้ำเสียงของเขาสั่นด้วยความตื่นตระหนก
ไม่ผิดที่เกิ่งจื่อเจียงขี้ขลาด เดิมทีถูซีว่างก็มีรูปลักษณ์ที่โหดร้ายและเป็นพ่อพวงมาลัยอยู่แล้ว มองยังไงเขาก็ไม่เหมือนคนดี ยิ่งเขาถลึงตามองคนอื่นด้วยความโกรธเฉกเช่นในตอนนี้ มันยิ่งดูน่าหวาดกลัวราวกับสัตว์ป่าอย่างไรอย่างนั้น
แม้เกิ่งจื่อเจียงจะตกใจกลัวจนตัวสั่น แต่ในขณะนี้เขายังคงบังอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิงอย่างลูกผู้ชาย เขากลัวว่าอันธพาลคนนี้จะระเบิดอารมณ์ และในที่สุดก็ทำร้ายนาง
ถูซีว่างชำเลืองมองเกิ่งจื่อเจียง ก่อนจะพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเหลือทน “เนรคุณอะไรกัน ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไง! แค่เห็นนางปากเก่งนี่แล้วอารมณ์เสียก็เท่านั้น นางวางยาอยากให้ข้าขมตาย!” พูดเสร็จ เขาชี้เจียงป่าวชิงด้วยความโกรธ ราวกับอยากฆ่านางให้ตายคามือ แต่กลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะลงไม้ลงมือกับนางจริง ๆ แต่อย่างใด
เกิ่งจื่อเจียงยังคงไม่สามารถผ่อนคลายความระมัดระวังของตัวเองลงได้ น้ำเสียงของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยและเขาก็กลืนน้ำลายในตอนท้าย “นางบ้านางบออะไรกัน แม่นางเจียงเป็นผู้หญิง เจ้าด่าผู้หญิงหยาบคายขนาดนี้เลยเชียวรึ ?!”
ถูซีว่างตกตะลึง เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน “ข้ารู้! ข้าก็มีคิด ๆ บ้างว่าตกลงนางเป็นหญิงหรือชาย ข้าไม่ได้โง่ ผิวพรรณนาง เสียง หรือแม้กระทั่งข้อมือเล็ก ๆ นั่น ถึงแม้นางจะแต่งกายเป็นชายแต่ข้าดูออกว่านางไม่ใช่ แต่แล้วยังไง ข้าด่านางแล้วเจ้าเดือดร้อนอะไรด้วย ?”
ถูซีว่างมองเกิ่งจื่อเจียงอย่างท้าทาย ทว่าเกิ่งจื่อเจียงจ้องเขม็งกลับอย่างไม่ยอมแพ้
สุดท้าย ถูซีว่างถอนหายใจยาว ๆ พลางเดินไปนั่งลงบนม้านั่งที่อยู่ข้างโต๊ะ “เออ ๆ ๆ ในเมื่อเป็นผู้หญิง ข้าไม่อยากอะไรด้วยแล้ว และข้าจะ… เหอะ! ช่างเถอะ!”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นนิ่ง ๆ “เจ้าก็เป็นซะแบบนี้ ข้าเห็นว่าเจ้าอารมณ์ร้อนจึงเอาตัวยาที่ช่วยให้ใจเย็นผสมลงไป แต่ดูเหมือนว่ายาข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย เห็นทีว่าครั้งหน้าข้าคงต้องเพิ่มหวงเหลียนให้มากกว่านี้ซะแล้ว”
“เจ้า!” ถูซีว่างลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันพร้อมกำหมัดแน่น นั่นทำให้เกิ่งจื่อเจียงตกใจกลัว เขาต้องกัดฟันหลับตาและมายืนบังตรงหน้าเจียงป่าวชิงอีกครั้ง ปากก็รีบตะโกนขึ้นเสียงดัง “ใจเย็นหน่อยสิพี่เบิ้ม! เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าจะไม่อะไรแล้วอยู่เลย”
ถูซีว่างคลายหมัดลงด้วยความแค้นใจและพูดขึ้นอย่างอึดอัด “ข้าแค่ใจร้อนชั่วขณะ ใช่ว่าจะลงไม้ลงมือกับนางจริง ๆ สักหน่อย… จะมาอาฆาตกับข้าและทำให้ข้ารู้สึกทรมานทำไม หมอเจ้าน่ะไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่านางจงใจใส่หวงเหลียนลงไปในยาเท่าไหร่ ยานั้นถึงได้ขมจนข้าเกือบสำรอกคอหอยตัวเองออกมาอยู่แล้ว!”
“แม่นางเจียงไม่ได้จะทรมานเจ้านะ” เกิ่งจื่อเจียงพูดขึ้นอย่างตั้งใจ “ทักษะการรักษาโรคของแม่นางเจียงดีกว่าข้าพันเท่า เมื่อก่อนข้าให้นางชี้แนะบ้างเล็กน้อยและได้ประโยชน์จากที่นางชี้แนะมากมาย ในเมื่อนางเพิ่มหวนเหลียนให้กับเจ้า เช่นนั้นก็แสดงว่าอาการป่วยของเจ้ามีจุดที่จำเป็นต้องใช้หวนเหลียนแน่ ๆ”
สีหน้าของถูซีว่างดูแปลกไปเล็กน้อย หญิงที่สวยแต่รูปผู้นี้เข้าใจทักษะการรักษาโรคด้วยอย่างนั้นรึ
เจียงป่าวชิงขี้เกียจสนใจถูซีว่าง นางลุกขึ้นพูดกับเกิ่งจื่อเจียง “ในเมื่อที่นี่ดูไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับเลยนะ”
เกิ่งจื่อเจียงรีบพูดขึ้นทันที “เวลาล่วงเลยมาเยอะแล้วและหิมะก็ตกด้วย บนถนนตอนนี้เริ่มมีหิมะสะสมทำให้เดินค่อนข้างลำบาก แม่นางเจียง ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้างนอกฟ้ายังไม่มืดเลย หิมะก็สะท้อนจนขาวไปทั่ว หมอเกิ่งไม่ต้องไปส่งข้าหรอก”
“ผู้หญิงอย่างเจ้าอยู่ข้างนอกในเวลานี้เพียงลำพังมันอันตรายเกินไป” เกิ่งจื่อเจียงยืนกรานที่จะไปส่งเจียงป่าวชิงให้ได้ เขายังไม่ลืมหันกลับไปกำชับถูซีว่างด้วย “เจ้าอย่าไปเดินเถลไถลที่ไหนซะก่อนล่ะ จุดที่เจ้าได้รับบาดเจ็บคือตรงหัวของเจ้า อย่างน้อยต้องสังเกตอาการก่อนหนึ่งคืน”
“ยุ่งยากนัก!” ถูซีว่างบ่นอุบอิบ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เกิ่งจื่อเจียงปิดร้านก่อนล่วงหน้า หยิบเสื้อคลุมตัวนอกและออกไปพร้อมกับเจียงป่าวชิงโดยที่ในมือมีร่มคนละคัน
ทั้งสองเดินกันออกมา ทว่ายังเดินได้ไม่เท่าไหร่ก็ชะงักงันทันที
ร่างสูงยาวของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าซอย ฟ้าเริ่มมืดลงบ้างแล้วจึงมองเห็นไม่ชัดเจนนัก
เกิ่งจื่อเจียงหรี่ตาเพื่อเพ่งดูคนคนนั้น แต่เจียงป่าวชิงที่อยู่ข้างเขากลับเดินถือร่มไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเสียแล้ว นั่นทำให้เขาเบิกตากว้างด้วยความงุนงงทันที
เจียงป่าวชิงเดินไปหยุดยืนตรงหน้าใครคนนั้นและพูดด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ “เจ้ามาได้ยังไง ?”
นี่คือกงจี้… เขาสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่มีลวดลายบนพื้นหลังสีขาวเงินในโทนที่ยิ่งทำให้เขาดูสูงส่งและเยือกเย็นมากกว่าเดิม แต่มีหิมะบาง ๆ กองอยู่บนไหล่กว้างของเขา ดูเหมือนว่าเขาคงรออยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว
“ฟ้ามืดแล้ว ข้ามารับเจ้า” กงจี้ตอบกลับสั้น ๆ จากนั้นเขามองเกิ่งจื่อเจียงที่อยู่ข้างหลังเจียงป่าวชิง
ไม่ได้เจอกงจี้มาระยะหนึ่งแล้ว เจียงป่าวชิงรู้สึกดีใจอย่างมาก “ได้สิ แต่ข้าขอบอกเพื่อนข้าก่อนนะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิ่งจื่อเจียงเห็นกงจี้ แต่เมื่อก่อนกงจี้นั่งอยู่บนรถเข็น ตอนนี้อีกฝ่ายกลับยืนอย่างสง่า เกิ่งจื่อเจียงจึงนึกไม่ออกชั่วขณะว่านี่ใคร เขารู้สึกเพียงว่าคุณชายเย็นชาคนนี้มีแรงกดดันอันน่าสะพรึงเกินไป แต่เจียงป่าวชิงกลับดูสนิทสนมกับอีกฝ่ายอย่างมาก
ไม่… ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่สนิทสนมอย่างเดียว
เกิ่งจื่อเจียงยังคงรู้สึกงุนงง เขาก็เห็นเจียงป่าวชิงหมุนตัวกลับมาโบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม “หมอเกิ่งกลับไปเถอะจ้ะ ข้าจะกลับกับเขา”
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แม้แต่เกิ่งจื่อเจียงที่อยู่ค่อนข้างไกลจากพวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดที่เจียงป่าวชิงมีให้กับชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้ผ่านทางคำพูดของนาง
เกิ่งจื่อเจียงลังเลเล็กน้อยแต่เขาก็พยักหน้าอยู่ดี “งั้นก็ได้ แม่นางเจียงระวังตัวด้วยล่ะ”
“รู้แล้วน่า” เจียงป่าวชิงตอบรับ นางโบกมือให้เกิ่งจื่อเจียงแล้วหมุนตัวกลับไปพูดกับกงจี้ “เราไปกันเถอะ”