แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 383 ขอความช่วยเหลือถึงที่
ตลอดหลายวันนี้ ครูเวินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเจียงฉิงกับเลี่ยวชุนหยู่ นางไม่ได้สอนความรู้ทั่วไปพื้นฐานให้กับพวกเขาเพียงอย่างเดียว เจียงฉิงยังเรียนเป่าขลุ่ยกับนางอีกด้วย
เจียงป่าวชิงเคารพครูที่ดีอย่างครูเวิน ตอนนี้เมื่อมาเห็นครูเวินมีเรื่องร้อนใจขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่นางอายุมากแล้วและยังเป็นในวันที่หิมะปกคลุม นางก็นึกเป็นห่วงหญิงชรา
เดิมทีเจียงป่าวชิงไม่คิดว่าคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาทมาโดยตลอดอย่างครูเวินจะมาขอความช่วยเหลือถึงบ้านก่อนรุ่งสาง ดูเหมือนว่าหญิงชราคงเจอกับเรื่องเร่งด่วนอะไรบางอย่างมาจริง ๆ
“ครูเวินพูดมาได้เลยเจ้าค่ะ ถ้าข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะช่วยเหลืออย่างแน่นอน” แม้เจียงป่าวชิงจะไม่ค่อยให้ใครมาแตะต้องตัว แต่ตอนนี้มือของหญิงชราผู้ที่สุขุมและสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอดกำลังสั่นด้วยความหนาวเย็น นางจับมือเจียงป่าวชิงไว้อย่างแน่นหนาราวกับกำลังขอร้องอะไรบางอย่าง เจียงป่าวชิงจึงไม่สามารถชักมือกลับมาได้
“ข้าคงเสียมารยาทแล้ว แต่ว่า…” ครูเวินสูดหายใจเข้าลึก ๆ “แต่แม่นมของข้าล้มลง นางสลบจนตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาและขาของนางก็หักด้วย ก่อนหน้านี้ข้าเคยเชิญหมอให้มาตรวจดูอาการแล้วแต่หมอบอกว่านางอายุมาก โรคภัยไข้เจ็บจึงมีมากเป็นธรรมดา หลานชายของนางมาขอความช่วยเหลือทั้งน้ำตา ข้าถึงได้รู้เรื่องนี้ ข้าเองก็จนปัญญาแล้วจริง ๆ”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
เจียงป่าวชิงเองก็เคยได้ยินเรื่องแม่นมของครูเวินเช่นกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่ครูเวินสูญเสียสามี นางล้มป่วยนอนเตียงและไม่มีลูกคอยดูแลอยู่เคียงข้าง ต่อมาเป็นแม่นมของนางที่ไปมีความสุขกับลูก ๆ หลาน ๆ ในครอบครัวตั้งนมนานแล้วแต่ก็ยังรีบกลับมาดูแลครูเวินโดยไม่คำนึงว่าตัวเองอายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว
ชั่วชีวิตของครูเวินจะไม่มีวันลืมน้ำใจนี้เลย
เจียงป่าวชิงพยักหน้าโดยไม่ได้บ่ายเบี่ยงอะไร “ข้าตกลงช่วยเหลือครูจ้ะ ครูเข้ามานั่งพักก่อนเถอะ ข้าจะไปจัดเตรียมของสักครู่ อีกประเดี๋ยวจะไปกับครูนะจ๊ะ”
ครูเวินเห็นว่าเจียงป่าวชิงตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ก็มีความซาบซึ้งใจปรากฏขึ้นมาในแววตาของนาง นางนั่งอยู่ในบ้าน เจียงหยุนชานจึงรีบออกไปซื้อโจ๊กร้อน ๆ กลับมาสองชุดแล้วส่งให้ครูเวินหนึ่งชุด “ครูเวินขอรับ ในบ้านยังไม่ทันได้จุดไฟเผาถ่านเพิ่มความอุ่น ครูทานโจ๊กร้อน ๆ เพื่อให้ร่างกายอุ่นก่อนเถอะขอรับ ต่อให้เรื่องจะเร่งด่วนแค่ไหน ครูก็ต้องดูแลตัวเองนะ”
ครูเวินอายุไม่ถือว่าน้อย นางเพิ่งหายจากป่วยหนักเมื่อไม่กี่วันก่อนร่างกายจึงยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก นางต้องดูแลตัวเองอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้นจริง ๆ ซึ่งนางเองก็รู้ความจำเป็นข้อนี้เช่นกันจึงกล่าวขอบคุณเจียงหยุนชานและรับถ้วยโจ๊กร้อน ๆ นั้นมา
เจียงป่าวชิงเร็วมาก นางกลับไปที่ห้องและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ใช้น้ำที่อุ่นบนเตามาล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วก็นำเครื่องปรุงยาสำหรับใช้กับอาการกระดูกหักใส่ลงไปในกล่องยาที่จัดเก็บเตรียมไว้ในยามปกติ แล้วถึงจะเดินถือกล่องยาออกมาจากห้อง
เมื่อนางเข้ามาในห้องที่ครูเวินกับเจียงหยุนชานนั่งกันอยู่ เจียงหยุนชานก็ส่งถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ให้กับเจียงป่าวชิง “เจ้ากินโจ๊กรองท้องสักหน่อยเถอะ”
เจียงป่าวชิงตักเพียงสองสามคำเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะออกจากบ้านไปกับครูเวิน
……
หลังจากที่ครูเวินหายป่วยแล้ว ฉินโผหรือแม่นมของครูเวินก็กลับบ้าน ทว่าเกิดเรื่องที่บ้านของฉินโผและเป็นหลานชายของฉินโผที่มาหาครูเวินเพื่อขอความช่วยเหลือในตอนกลางดึก เมื่อครูเวินได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางก็นึกถึงเจียงป่าวชิงที่เคยรักษาปัญหาขาและเท้าของนางจนหายขาด จึงสั่งให้หลานชายของฉินโผกลับไปดูแลฉินโผให้ดี ๆ ส่วนนางก็รีบมาหาเจียงป่าวชิงที่บ้านตระกูลเจียงเพื่อขอความช่วยเหลือ
โชคดีที่ถึงแม้ซอยที่เป็นที่ตั้งของบ้านฉินโผกับซอยบ้านตระกูลเจียงจะห่างกันพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถือว่าไกลเกินไป เจียงป่าวชิงกับครูเวินเดินทะลุซอยเล็ก ๆ และใช้ทางลัด ผ่านไปไม่เท่าไหร่พวกนางก็มาถึงบ้านตระกูลฉินในที่สุด
บ้านตระกูลฉินอยู่ในซอยเตี้ย ๆ ที่รายล้อมไปด้วยบ้านคนธรรมดาเช่นพวกเขา ลานบ้านดูทรุดโทรมไปบ้างเล็กน้อย ส่วนประตูบ้านแง้มไว้ครึ่งเดียว ผลักเบา ๆ ก็เข้าไปได้แล้ว
หลานชายสองคนของฉินโผที่ยังเด็กและยังไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังร้องไห้หาย่าอยู่ใต้ชายคาบ้าน จึงถูกผู้ใหญ่ตำหนิยกใหญ่
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบและทันเห็นครูเวินพอดี ใบหน้าเศร้าของเขาดูตกใจ แต่ไม่นานสีหน้าดีอกดีใจก็ปรากฏออกมาให้เห็น ชายวัยกลางคนคนนี้คือซุนเอ้อมู่ ลูกชายคนเล็กของฉินโผ ก่อนหน้านี้ลูกชายของเขาออกไปหาครูเวินเพื่อขอความช่วยเหลือตอนกลางดึก ครูเวินนึกถึงหมอเทวดาคนหนึ่งจึงให้ลูกชายของเขากลับมาก่อน ส่วนนางก็จะไปเชิญหมอเทวดาคนนั้น
สายตาของซุนเอ้อมู่ไปหยุดที่คนข้าง ๆ ครูเวิน เขาพลันชะงักไปเล็กน้อย …ผู้หญิงรูปโฉมงดงามเหมือนนางฟ้าคนนี้คงไม่ใช่หมอเทวดาที่ครูเวินพูดถึงใช่ไหม
เมื่อครูเวินเห็นซุนเอ้อมู่ นางก็ถามเขาอย่างร้อนใจ “เอ้อมู่ แม่นมเป็นยังไงบ้าง ?”
พูดถึงเรื่องนี้ ซุนเอ้อมู่สีหน้ากลัดกลุ้ม เขาพูดโดยที่ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “หมอเพิ่งกลับไป เขาบอกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีและเขาเองก็จนปัญญาแล้ว นี่เขาก็ให้พวกเราจัดเตรียมโลงศพและบอกว่าไม่แน่เรื่องนี้อาจกำจัดความโชคร้ายเพื่อให้บรรลุผลการรักษาโรคของแม่ข้าก็เป็นได้…”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ?” ครูเวินสั่นไปทั้งร่าง
เจียงป่าวชิงตัดสินใจพูดขึ้นอย่างฉับพลัน “ไหนพาข้าเข้าไปดูหน่อย”
ซุนเอ้อมู่พูดขึ้น “แม่นางคนนี้คือ…”
“นี่คือหมอเทวดาที่ข้าเชิญมา นางแซ่เจียง” ครูเวินพูดขึ้นอย่างเร่งรีบแล้วเดินนำเจียงป่าวชิงเข้าไปในบ้าน “ข้าจะเข้าไปดูแม่นมกับนางสักหน่อย”
เวลานี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว แต่ประตูกับหน้าต่างที่ถูกปิดอย่างแน่นหนาภายในห้องทำให้บรรยากาศยังคงมืดสลัวและมีกลิ่นอับเล็กน้อย
ลูกสะใภ้กำลังคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ตรงหน้าเตียงของฉินโผ เมื่อเห็นครูเวินเดินเข้ามา นางก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ข้าบอกแล้วว่าแม่ชอบวิตกกังวลไปเรื่อย ตัวเองอายุขนาดนี้แล้ว ลูก ๆ หลาน ๆ ต่างก็กตัญญูกันทั้งนั้น กลับไม่อยู่เสพสุขกับชีวิตแสนสบายที่บ้าน ดันเลือกออกไปดูแลนายท่านเก่าอะไรนั่น ถ้าจะให้ข้าพูด นายท่านเก่าอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเป็นครอบครัวตกอับเหมือนเราหรอกรึ แต่ดูตอนนี้สิ เดิมทีร่างกายที่แข็งแรงกลับต้องมาเสื่อมโทรมลงเพราะต้องไปดูแลคนอื่นที่ไม่ได้สำคัญอะไร พอตื่นนอนตอนกลางคืนก็หกล้มหนักขนาดนี้อีกจนต้องมาทรมานพวกลูก ๆ หลาน ๆ ทั้งคืน!”
ลูกสะใภ้คนนั้นเป็นโรคตาเอียง ปากคอเราะรายแล้วยังใจดำ แม้ครูเวินจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดีแต่นางก็อดตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธไม่ได้
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงอดทดอดกลั้นเพราะนางไม่อยากทะเลาะกับหญิงคนนี้ต่อหน้าฉินโผที่กำลังป่วย
เจียงป่าวชิงเดินเข้าไปดึงข้อมือของฉินโผออกมาจากในผ้าห่มและเริ่มจับชีพจร
“เฮ้ ๆ ๆ เด็กคนนี้เจ้าเป็นใคร นี่เจ้าทำอะไร ?! มาจับอะไรตามอำเภอใจได้ยังไง หน้าไม่อาย!” แรกเริ่มลูกสะใภ้ของฉินโผยังไม่สังเกตเห็นเจียงป่าวชิง แต่การกระทำของเจียงป่าวชิงทำให้นางตกใจอย่างมาก นางจึงส่งเสียงต่อว่าและพุ่งเข้าไปจะจับแขนเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงเงยหน้ามองนางอย่างเย็นชา “ครูเวินเป็นคนใจดีรู้จักควบคุมอารมณ์แต่ข้าไม่ใช่ ถ้าเจ้ายังไม่หุบปากจนส่งผลกระทบต่อการตรวจดูอาการของข้า ข้าจะใช้มาตรการบังคับกับเจ้า”
มือลูกสะใภ้ของฉินโผชะงักหยุดกึกกลางอากาศ นางตกใจกับสายตาและท่าทางดุดันของเจียงป่าวชิงและเกิดความตกตะลึงในใจเล็กน้อย นางไม่คิดว่าสาวน้อยรูปโฉมงดงามมากจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้…
สีหน้าลูกสะใภ้ของฉินโผค่อนข้างเก้อเขินเล็กน้อย หากว่ายื่นมือไปข้างหน้าเกรงว่าคงต้องซวย ก็… ท่าทางของเด็กสาวคนนี้ราวกับบอกว่าถ้านางกล้ายื่นมือออกไป เด็กสาวก็กล้าที่จะสับแขนของนางทำนองนั้น แต่ถ้าไม่ยื่นมือไปข้างหน้า นางก็คงต้องเสียศักดิ์ศรีไปบ้างเล็กน้อย
ผ่านไปสักครู่ ในที่สุดลูกสะใภ้ของฉินโผก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว นางแหกปากตะโกนขึ้นเสียงดัง “ไอ้ยาาา! ซุนเอ้อมู่ไอ้ผัวเฮงซวย ออกไปทำอะไรตั้งนาน!”
พรึ่บ!
เสียงเลิกม่านประตูดังขึ้น ทว่าคนที่เข้ามากลับไม่ใช่ซุนเอ้อมู่แต่เป็นชายหนุ่มดูซื่อ ๆ คนหนึ่ง “แม่ มีอะไรรึ ไม่ใช่ว่าพ่อออกไปจัดเตรียมโลงศพเพื่อขจัดเสนียดจัญไรให้กับท่านย่าหรอกรึ ?”
ทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นพูดจบ เขาค่อยสังเกตเห็นครูเวิน ความดีอกดีใจบนใบหน้าของเขาเหมือนกับของซุนเอ้อมู่พ่อของเขาเมื่อสักครู่ไม่มีผิด
ครูเวินชี้ไปทางเจียงป่าวชิงที่ตอนนี้ตรวจจับชีพจรเสร็จแล้ว และนางกำลังตรวจดูเปลือกตาของฉินโผ
ในห้องไม่ได้จุดเทียน อีกทั้งประตูกับหน้าต่างก็ปิดสนิทจึงทำให้ค่อนข้างมืดสลัว ตอนนี้ซุนจงเลี่ยงถึงจะสังเกตเห็นว่ามีเด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวคนหนึ่งอยู่หน้าเตียงของท่านย่าที่กำลังป่วยของเขา
ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่แต่นางดูตั้งใจมาก