โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 141
Ch.141 – อย่ามัวแต่พล่าม
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.141 – อย่ามัวแต่พล่าม
“พวกนายมันก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า กระทั่งลำดับที่ 21 ก็ยังเอาชนะไม่ได้ รู้รึเปล่าวว่าในคลาสอบิลิตี้รุ่นที่ 69 ของพวกเรามีกันแค่ 21 คน? แต่ความแข็งแกร่งของพวกแกยังสู้อันดับโหล่ไม่ได้เลย แล้วนี่คิดจะสู้กับลำดับ 1 ของพวกเรา? ฝันหวานไปรึเปล่า!”
พอได้ยิน กลุ่มนักเรียนจากสถาบันซิต๋าแทบจะควันออกหู
จ้าวหยูกลั้นหัวเราะและกล่าวใส่ไฟ “นั่นสิ ถ้าแค่โค่นเขา พวกนายยังทำไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะมาท้าทายฉัน!”
ฟางเส้นสุดท้ายของเฉียนเต๋าขาดผึง
“ผายลมเถอะ! ลำดับ 1 คลาสอบิลิตี้มันจะแน่ซักแค่ไหนเชียว? พวกแกต้องเล่นตุกติกอะไรแน่ๆ เจ้าพวกสถาบันเฉิงเป่ยไร้ยางอาย!” เฉียนเต๋าตะโกน “ทั้งหมดลงมือ ฆ่าพวกมันให้ฉัน!”
คนฉลาดย่อมไม่ลงสนามที่ตนมิอาจคว้าชัยชนะได้ เนื่องจากเกรงว่าจะเสียหน้า เพราะฝั่งตนได้สูญเสียผู้ใช้อบิลิตี้ไปกว่า 3 คนแล้ว ดังนั้นเฉียนเต๋าไม่มีความตั้งใจจะลงมือเพียงลำพัง
หลินเหมาเป็นคนแรกที่ระเบิดโจมตี ความโกรธและโหดเหี้ยมฉายชัดในแววตา เขาไม่คิดยั้งมือใดๆ
“พฤาษาหน่วงเหนี่ยว!”
ครืน …
ผืนดินพลิกตลบ รากไม้หนาผุดยื่นออกมาจากพื้นดิน เหวี่ยงเข้าใส่ฉินเฟิงและทั้งสาม
โจวฮ่าวกับจางเทียนโฉบหลบเร็วรี่ ทางฝั่งจ้าวหยูเรียกพลังเปลวเพลิงเข้าปะทะโดยตรง
เปลวเพลิงแผดเผารากไม้ยักษ์
เปลี่ยนรากต้นไม้ให้กลายเป็นขี้เถ้าอย่างรวดเร็ว
“แกร๊ก .. แถ๊ด ๆๆๆ” *
*(เสียงยิงปืนกล ใครนึกคำดีๆกว่านี้ได้ รบกวนคอมเมนท์ให้ผมหน่อยนะคร้าบ)
เนื่องจากทางซิต๋ามีนักเรียนรวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเลยมีมือปืนเยอะเป็นพิเศษ เมื่อเกิดการปะทะ หลายคนก็ระดมสาดห่ากระสุนอย่างไร้ปราณี
“อันที่จริงฉันยังอยากสู้กับพวกนายอย่างยุติธรรมอยู่หรอกนะ แต่ในเมื่อเล่นลูกไม้ไร้ยางอายกันแบบนี้ … ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน!”
ฉินเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย อันที่จริง สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่แค่เรียกว่าใจร้าย แต่ยังโคตรจะโกงสุดๆ
“พรมโลกันต์!”
รูนไฟปะทุโหม โถมเข้าปกคลุมกลุ่มศัตรูอีกฝั่งทันที
“อ๊ากกกก”
นักเรียนซิต๋ากรีดร้องน่าสังเวช เครื่องแบบของพวกเขาถูกแผดเผา เกิดแผลพุพองตามแขนขา ยังไม่พอ เปลวเพลิงยังเกิดการระเบิดขึ้นในจุดที่พวกเขายืนอยู่โดยตรง
ตูม ตูม ตูมมมมม!
แรงระเบิดเหวี่ยงคนทั้งกลุ่มกระจัดกระจายออกไป
นกในป่าใหญ่ตกใจ พากันกระพือปีกโผบินขึ้นสู่ฟากฟ้า นักเรียนหลายคนจากตำแหน่งอื่นเมื่อได้ยินเสียงนี้ ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างออกไป และตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะหลีกเลี่ยงสนามต่อสู้ในบริเวณดังกล่าว
ณ ใจกลางพื้นที่เปิดโล่ง ฉินเฟิงชูมือ สะบัดเหวี่ยงอย่างไม่ใส่ใจ
“เพลิงโลกันต์ จงหวนคืน”
เปลวเพลิงมอดดับลงทันที
ในจุดเดียวกันกับที่มอดดับลง เผยให้เห็นถึงกลุ่มคนกว่า 30 คน บ้างหน้าคว่ำบ้างหน้าหงาย นอนหมอบกับพื้น ไร้ซึ่งความสามารถในการต่อสู้อีกต่อไป
“จิ๊ จิ๊ … นายมันโหดร้ายเกินไปแล้ว!” โจวฮ่าวส่ายหัว ก้าวเดินไปในจุดที่ยังเหลือไอร้อนระอุอยู่ เขาตรวจสอบคนเหล่านั้น และพบว่าบางส่วนถูกแรงระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่โชคยังดีที่ไม่ตาย อาจเป็นเพราะฉินเฟิงควบคุมแรงระเบิดเอาไว้
ทว่าแน่นอน ถึงไม่ตายตอนนี้ แต่ก็นับว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวลงสู่ขุมนรกแล้ว
ปัจจุบันพลังสมาธิของฉินเฟิงแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาเลยสามารถควบคุมมันได้อย่างแม่นยำ อานุภาพของพรมโลกันต์ในตอนนี้ กับตอนที่ใช้สังหารแมลงสัตว์ร้ายในเมืองหาน มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันไม่ถึง 1/10ของคราวนั้นด้วยซ้ำ
เพราะหากมากไปกว่านี้ พวกนักเรียนต่างสถาบันคงไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ และถูกเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“บ๊ายบาย ฉันไม่ขอส่งนะ” โจวฮ่าวกระชากกระเป๋าของผู้ใช้วรยุทธโบราณคนหนึ่ง และดึงป้ายชื่อบนหน้าอกศัตรูออก
“สารเลว ไปลงนรกซะ!” ผู้ใช้วรยุทธอีกคนข้างๆผุดลุกสู้ไม่ถอย แต่เพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็สยบแทบเท้าโจวฮ่าว และถูกถอดป้ายชื่อออก
แต่ระหว่างนั้นเอง ผ้าคลุมที่บดบังเครื่องแบบนักเรียนของเขาก็สะบัดออก เผยให้เห็นถึงป้ายตรงหน้าอกของโจวฮ่าว
ป้ายชื่อลำดับ 1 ของผู้ใช้วรุยทธ … ปรากฏสู่สายตาของศัตรูที่ยังมีสติหลงเหลือ
“นี่แก … ” เฉียนเต๋าถึงกับพูดไม่ออก เดิมทีเขากำลังคิดจะระเบิดพลังเฮือกสุดท้ายก่อนจากไป แต่ใครจะคาดคิด ว่าอีกหนึ่งคนที่ซ่อนตัวอยู่กับพวกหางแถว เจ้านักเรียนที่สวมเสื้อคลุม แท้จริงแล้วจะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณอันดับ 1 !
ชัดเจนแล้วว่าที่พวกเขาเผชิญมิใช่ทีมหางแหว หากแต่เป็นเสาเหล็กกล้าที่ยากสั่นคลอน!
“อย่ามาแตะตัวฉัน! ฉันจะไปเอง” เฉียนเต๋าขบฟัน แต่ในใจยิ้มยินดี ยอมถอดป้ายชื่อของตนออกแต่โดยดี
ไม่นานเกินรอ ช่องว่างมิติก็กลืนกินเฉียนเต๋าเข้าไปภายใน แต่ก่อนที่จะจากไป ปรากฏประกายแสงสีเงินขึ้น –ป้ายชื่อหลายอันร่วงตกลงมา
เดิมเหตุผลที่เฉียนเต๋ายิ้มนั่นก็เพราะเขาเลือกถอดป้ายชื่อออกเอง และนำเอาป้ายชื่อที่ยึด พามันออกไปด้วย เพื่อไม่ให้พวกฉินเฟิงและคนอื่นๆได้คะแนนเพิ่ม แต่น่าเสียดาย ที่ดูเหมือนว่าทางสวนล่าจะมีการป้องกันช่องโหว่ดังกล่าวเอาไว้แล้ว ดังนั้นป้ายชื่อที่เคยยึดมาจึงร่วงตกลงกลางอากาศ มิอาจนำออกไปด้วยได้!
ฉากนี้ชวนให้คนอื่นๆที่พบเห็นรู้สึกหมดหนทางอย่างช่วยไม่ได้
“อย่าเล่นตุกติกอะไรอีก ทิ้งกระเป๋าไว้ แล้วไปด้วยตัวเองดีๆซะ” ฉินเฟิงกล่าว
หลินเหมาข้องใจ กัดฟันกล่าว “แกแข็งแกร่งมาก แกร่งขนาดนี้มาอยู่ในลำดับต่ำสุดของสถาบันเฉิงเป่ยได้ยังไงกัน? แกจะต้องโกงแน่ๆ คอยดูเถอะ ฉันจะรายงานเรื่องนี้!”
“ก็เอาสิ ไสหัวไปฟ้องเลย แล้วเวลารายงานอย่าลืมบอกไปด้วยนะ ว่าฉันชื่อฉินเฟิง!”
ว่าจบ ฉินเฟิงก็กระชากป้ายชื่อของอีกฝ่ายออก
ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เขาก็จะใช้พลังของตนตามใจชอบ จะถูกฟ้องลดคะแนนหรือลดอันดับก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ เพราะยังไงซะ เป้าหมายในการมาที่สวนล่าใบไม้ผลิก็ได้บรรลุแล้ว
กว่าสามสิบคนของสถาบันซิต๋าถูกกำจัด พวกเขาทิ้งป้ายชื่อมากกว่า 100 ไว้เบื้องหลังแก่ทีมของฉินเฟิง เพียงยัดมันก็กินเนื้อที่ไปมากกว่าครึ่งกระเป๋าสะพายหลัง
ยังไม่พอ พวกเขายังทิ้งกล้วยเสริมกำลัง และวัตถุดิบที่เก็บได้ระหว่างทางเอาไว้อีกมากมาย
“ฉินเฟิง นายมันน่าทึ่งเกินไปแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าอยู่ทีมเดียวกับนาย ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเราก็สามารถทำได้!” จ้าวหยูถอนหายใจด้วยอารมณ์ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ยิ่งไปกว่านั้นนะฉินเฟิง ในเมื่อนายทรงพลังถึงขนาดนี้ ทำไมไม่แสดงมันออกมาในการทดสอบเมื่อวานล่ะ? ทุกคนเลยพาลคิดกันไปว่านายเป็นพวกหางแถว … !”
“หางแถวไม่ดีตรงไหน มันสามารถใช้แกล้งเล่นบทหมูกินเสือได้ ก๊ากฮะฮ่า! พูดแล้วก็ขำ เธอได้เห็นสีหน้าเหมือนอมรังแตนของพวกเขาก่อนจะจากไปรึเปล่า?” โจวฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ส่วนจางเทียน เขาเก็บกวาดสินสงครามอย่างเงียบๆ ยกกระเป๋ากว่า 5 ใบขึ้นสะพายหลัง
“เฮ้อ … พอได้ทำแบบนี้แล้ว ค่อยรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ขึ้นมาหน่อย … ”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ จางเทียนยังไม่ได้แสดงบทบาทในฐานะฝ่ายรักษาเลย เขาจึงตัดสินใจรับหน้าที่เป็นลูกหาบแทน อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น!
ทั้งสี่กำลังอารมณ์ดีกับสินสงครามที่ได้รับ ฉินเฟิงกวักมือ ส่งสัญญาณให้เดินหน้าต่อ
….
ภายในสวนล่าใบไม้ผลิ มันเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ผลิใบเต็มตัว งดงามราวภาพฝัน แต่ในเวลานี้มีนักเรียนนับพันเข้ามา เลยเกิดความวุ่นวายและเสียงต่อสู้ดังกังวานไปทั่ว
“โฮก!!”
เสียงร้องคำรามดังสะท้านออกจากปากเสือตัวใหญ่
“ทักษะลับ น่องวายุ!”
“ฝ่ามือปลิดชีพ!”
หนึ่งเท้า หนึ่งฝ่ามือของโจวฮ่าวและจางเทียนกระแทกเข้าใส่ร่างของสัตว์ร้ายเสือยักษ์
เสือยักกระอักเลือดคำโตออกจากปากของมัน และในที่สุดก็ร่วงลงกับพื้น
นี่คือนายพลสัตว์ร้ายเลเวล G ซึ่งมันเกือบจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นราชันย์สัตว์ร้ายอยู่รอมร่อแล้ว แต่น่าเสียดายที่ดันมาเจอกับทีมของฉินเฟิง มันเลยต้องจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร
อันที่จริงสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากพวกมันบังเอิญพานพบกับนักเรียนคนอื่นๆ เกรงว่าพวกเขาคงถูกสังหารไปนานแล้ว
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นเจอกับทีมของฉินเฟิง นับว่ามันโชคร้ายจริงๆ
“วันนี้น่าจะพอแล้ว พวกเราจะพักกันที่นี่!”
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงท้ายของวัน ผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับก็มากมายมหาศาล แม้แต่กระเป๋าสะพายหลังก็ไม่สามารถยัดอะไรใส่ได้อีกต่อไป
และในปัจจุบัน พวกเขาก็ได้เข้ามาใกล้กับใจกลางของสวนล่าใบไม้ผลิแล้ว
ยิ่งไม่กว่านั้น วันนี้ทั้งวันพวกเขายังได้ต่อสู้กับนักเรียนจากสถาบันอื่นไปกว่า 7 ครั้ง
คราวนี้พวกเขาพบเจอคนจากสถาบันฮุนหนาน มีกระทั่งนักเรียนจากสถาบันเฉิงหยาง
และนับว่าโชคยังดี ที่ตะวันตกดินเสียก่อน การต่อสู้จึงยุติลง ทุกคนเลยพอได้พักหายใจในที่สุด
“พรุ่งนี้ช่วงเที่ยง พวกเราก็จะได้ออกจากสวนล่าแล้ว นี่มันยอดไปเลย!” จ้าวหยูกล่าวด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
แม้ว่าจะได้รับวัตถุดิบมามากมาย แต่ชีวิตในสวนล่ายังคงอันตรายเกินไป เกรงว่าตอนนี้สิ่งเดียวเกี่ยวกับมันที่เธอรู้สึกดี คงไม่พ้นเรื่องที่ไม่อาจเกิดรอยแยกมิติขึ้นมาได้
“เธอไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” โจวฮ่าวเตือน เมื่อคืนนี้จ้าวหยูเพิ่งเคยนอนท่ามกลางสัตว์ร้ายเป็นครั้งแรก เธอจึงแทบไม่ได้พักผ่อนเลย ดังนั้นประสิทธิภาพในการต่อสู้วันนี้เลยลดหลั่นลงอย่างเห็นได้ชัด …