โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 315
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.315 – น้ำยาฟ่านซู
เบื้องหน้าของฉินเฟิง คือชายหนุ่มในช่วงวัย 30 ปี ใต้ตาเต็มไปด้วยรอยดำคล้ำ
เขาคือนักวิจัยที่ถูกว่าจ้างโดยฉินเฟิง และยังเป็นศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา
ในยุคสมัยนี้ ความแข็งแกร่งถือเป็นที่สุด แต่ศาสตราจารย์กลับเลือกเดินในเส้นทางอาชีพสำหรับถูกจ้างงาน –เขาก็เหมือนกับคนทั่วๆไปที่ต้องการชีวิตที่ปลอดภัย
ชายคนนี้ชื่อว่าไป่ยี่ ฉินเฟิงเคยรู้จักเขามาก่อน นักวิจัยคนนี้ ในอนาคตจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชามากพรสวรรค์ที่สุดของไป่เทียนหยาง แต่ปัจจุบันถูกชิงตัวมาก่อนโดยฉินเฟิง
“ว่ามาเถอะ” ฉินเฟิงเอ่ยปาก
“ในบรรดาข้อมูลที่คุณให้พวกเรามา มีโปรเจ็กต์สำคัญนับสิบรายการ”
“พวกเขาทำการศึกษาสัตว์กลายพันธุ์ต่างๆเช่น หนู , แมว , หมี , อินทรี ฯลฯ เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบยีนได้ จากนั้นค่อยเลือกวัตถุดิบสำหรับทดลอง เปลี่ยนผู้คนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ได้เป็นอย่างมาก”
“หลังจากการศึกษาทดลองไปมากมาย ในที่สุดพวกเขาก็สามารถพัฒนาตัวยาระดับสากล ที่ถูกเรียกโดยพวกเขาว่า : น้ำยาฟ่านซู ”
“อันที่จริงแล้ว มันคือน้ำยาปลุกพลังรุ่นล้าสมัย ตามข้อมูลระบุว่ามันได้รับการวิจัยตั้งแต่ช่วงต้นๆของยุคโลกาวินาศ เป้าหมายคือเพื่อปลุกยีนประหลาดใจร่างกายมนุษย์ เสริมให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น ไม่คาดคิดเลยว่าถึงจะผ่านมาร้อยปีแล้ว ก็ยังมีการทดลองนี้อยู่”
“น้ำยาฟ่านซูได้รับการศึกษาต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน มันถูกปรับปรุงหลายครั้ง ส่งผลให้มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์สูงมาก คนทั่วไปมีโอกาสกลายพันธุ์ถึง 20% อย่างไรก็ตาม คนธรรมดาหลังจากการกลายพันธุ์ค่อนข้างอ่อนแอ ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สามารถปลุกพลังได้ โอกาสเกิดการกลายพันธุ์หลังจากฉีดยาจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 60% และหลังจากกลายพันธุ์ พวกเขายังสามารถยกระดับขึ้นไปถึงขั้นนายพลสัตว์ร้ายหรือราชันย์สัตว์ร้ายเลยก็ยังได้!”
ฉินเฟิงแน่นอนว่าเคยเห็นยาตัวนี้มาก่อน หลายคนในองค์กรมืดก็ฉีดมัน หลังจากใช้งานแล้วประสิทธิภาพในการต่อสู้จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
“แล้วในข้อมูลมีบอกพวกช่องทางการขายหรือส่งให้ใครรึเปล่า?”
ฉินเฟิงเอ่ยถาม
คำถามนี้เดิมทีไม่มีใช่สิ่งที่วิจัยควรรู้ น่าจะไปถามพวกนักสืบอาชญากรรมซะมากกว่า แต่ทุกวันนี้คนทั่วไปก็อยากมีชีวิตที่ดี เลยเป็นธรรมดาที่จะไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งที่ตนไม่อาจครอบครอง … น่าจะมีการลักลอบไปขายบ้างล่ะน่า
ไป่ยี่เร่งกล่าว “ในข้อมูลแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีหน้าที่เพียงค้นคว้าเท่านั้น ฐานการผลิตไม่ได้อยู่ที่นี่ มีร่องรอยข้อความที่ถูกส่งออกไปก็จริง แต่ด้วยกำลังและอุปกรณ์ของพวกเราในตอนนี้ ไม่สามารถแกะรอยได้”
“อ่าฮะ” ฉินเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นทันใด “ว่าแต่คุณคิดว่า น้ำยาฟ่านซูนี่ คุณค่าของมันคืออะไร?”
สายตาของฉินเฟิงมองไปยังชุดคลุมสีขาว พลังสมาธิของเขาแข็งแกร่งมาก รู้สึกได้ทันทีว่าร่างใต้ชุดวิจัยของไป่ยี่กำลังสั่นไหว
สักพักหนึ่ง ไป่ยี่ก็หัวเราะอย่างขมขื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงตริตรอง “ผู้ว่าการ คุณเชื่อรึเปล่า ว่ายานี่สามารถช่วยให้ผู้คนมากมายแข็งแกร่งขึ้นได้?”
ฉินเฟิงผงะ เพราะนี่คือประโยคที่แสนคุ้นเคย
ต่อมา ฉินเฟิงก็ส่ายหัว ก่อนหน้านี้ที่สันเขาถังซาน คนบางกลุ่มก็เคยแสดงให้เขาได้เห็นแล้วว่า มีจำนวนเยอะไม่ช่วยอะไร ทั้งผลลัพธ์กลับกลายเป็นถูกดัดหลังโดยฉินเฟิง
“คุณต้องการจะสื่ออะไร? พูดออกมาตรงๆเถอะ” ฉินเฟิงไม่คิดโต้แย้งคำกล่าวของไป่ยี่
“เข้าใจแล้วผู้ว่าการ” ไป่ยี่กล่าว “สมมตินะ ฉันหมายถึงแค่การสมมติ ถ้ายาตัวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะไม่ให้ผลตอบรับที่ดีกว่าน้ำยาปลุกพลังหรอกหรือ? เพราะผลลัพธ์ก็ช่วยให้แข็งแกร่งยิ่งกว่า และอัตราการกลายพันธุ์สำหรับคนธรรมดา ยังมากถึง 20% คุณลองคิดดูสิ จาก 5 คน จะมีตั้ง 1 คนสามารถแข็งแกร่งได้!”
แววตาของฉินเฟิงหมองลง
ไป่ยี่กล่าวต่อ “และสำหรับผู้ใช้พลัง หากได้รับยานี้เข้าไป พวกเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ก้าวไปอยู่ระดับเดียวกันกับทหารสัตว์ร้าย อาจกลายเป็นถึงนายพลสัตว์ร้ายได้ด้วยซ้ำ ถ้ามนุษยชาติมีจำนวนผู้แข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้ การจะรับมือกับรอยแยกมิติและสัตว์ร้ายคงง่ายกว่าเดิมเยอะ จริงไหม?”
ในสมองของฉินเฟิง เริ่มนึกย้อนไปยังช่วงเวลาที่เคยสนทนากับพวกนักวิจัยบ้าคลั่ง
ไป่ยี่ยิ้มขม “ในกรณีนี้ น้ำยาฟ่านซูจะไม่กลายเป็นสิ่งที่ช่วยกอบกู้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราหรอกหรือ? มันช่วยให้มนุษย์สามารถขับไล่สัตว์ร้ายออกไปจากโลกได้ ทำให้แผ่นดินของพวกเรากลับคืนสู่ความสงบ ฉันขอสารภาพตามตรง ว่าฉันชื่นชมคนที่พัฒนาการทดลองนี้มาก ยิ่งไปกว่านั้น การทดลองนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางทีในอีกยี่สิบปีข้างหน้า ไม่สิ อีกสักสิบปีก็พอ มันอาจจะประสบความสำเร็จจริงๆก็ได้!”
ฉินเฟิงหลุดจากภาพความทรงจำ เอ่ยปากกล่าว “งั้นคุณกำลังจะบอกว่าน้ำยานี้เป็นของดีใช่ไหม?”
“ผู้ว่าการ ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น” ไป่ยี่ส่ายมือไปมาอย่างร้อนรน
ฉินเฟิงรู้ว่าปากของไป่ยี่ไม่ตรงกับใจ
ไป่ยี่เป็นนักวิจัย มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าคนปกติ เลยไม่รู้เกี่ยวกับชะตากรรมของคนยากจน
นักวิจัยที่เก่งกาจ ก็เทียบได้กับคนที่แข็งแกร่งเช่นกัน เป็นคนประเภทที่สามารถอยู่รอดในยุคโลกาวินาศได้
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงเอ่ยเตือนฝ่ายตรงข้าม “คุณพูดถึงปริมาณคนที่แข็งแกร่งสินะ งั้นผมขอถามถึงในเรื่องของคนธรรมดาบ้างก็แล้วกัน คนที่หลังจากฉีดยากลายพันธุ์ล้มเหลวเล่าจะเป็นยังไง?”
ไป่ยี่ไม่กล้าเอ่ยตอบ
นั่นเพราะหัวข้อนี้อ่อนไหวมาก
ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนธรรมดากับผู้ใช้พลังมีมาโดยตลอด ผู้เข้มแข็งย่อมยืนอยู่เหนือผู้อ่อนแอ นี่คือกฏแห่งป่า … กฏแห่งการเอาชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศ
บรรทัดฐานทางศีลธรรมตกต่ำลง จนมนุษย์ต้องแบ่งออกเป็นกลุ่มพันธมิตรกับองค์กรมืด
และตัวยานี้สำหรับคนในองค์กรมืดแล้ว ถือว่าเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก
ฉินเฟิงเอ่ยอีกครั้ง “มีโอกาสกลายพันธุ์สำเร็จที่ 20% แล้ว 80% ที่เหลือเล่า? ไม่ใช่ตกอยู่ในฐานะสัตว์ประหลาด ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนตาย แบบนั้นใช่ไหม?”
ไป่ยี่ก้มหน้าลง
“นี่ยังไม่พูดถึงประเด็นเรื่องลูกหลานนะ” ฉินเฟิงเย้ยหยัน “ผมไม่เชื่อหรอกว่ามนุษย์กลายพันธุ์จะสืบสกุลได้ ร่างกายที่อยู่ในภาวะคนก็ไม่ใช่ ปีศาจก็ไม่เชิง จะสามารถสืบทอดทายาทได้อย่างไร?”
ไป่ยี่ก้มหัวลงอย่างลึกล้ำ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าฉินเฟิงเป็นคนที่ยากจะหยั่งถึง
แน่นอน เขาไม่รู้หรอก ว่าฉินเฟิงเคยได้อ่านข้อมูลทั้งหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีประสบการณ์จากในชีวิตก่อน
สิบปีต่อจากนี้ น้ำยาฟ่านซูจะถูกใช้งานเป็นวงกว้างในกลุ่มองค์กรมืด
“แต่สงครามบางครั้งอาจจำเป็นต้องเสียสละ เอาจริงๆผมคิดว่าที่คุณพูดก็ถูกเหมือนกัน”
ไป่ยี่เงยหน้าขึ้นมองฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“แต่ก็แค่ ในส่วนคำพูดที่ว่า ‘สามารถใช้ขับไล่สัตว์ร้าย’ ได้น่ะนะ”
ไป่ยี่งง เขาเริ่มสับสน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ผู้ว่าการฉิน คุณกำลังจะบอกว่าพวกเราสมควรดำเนินการทดลองนี้ต่อไปใช่ไหม?”
ฉินเฟิงส่ายหัว “มันจะมีอะไรให้ศึกษาอีกหรือ? ผมจะไม่ให้คุณทำการทดลองกับมนุษย์เด็ดขาด มาเปลี่ยนหัวข้อกันดีกว่า เน้นไปทางชีววิทยา อย่างการค้นหาสัตว์ร้ายที่เนื้ออุดมไปด้วยโปรตีนมาเลี้ยง , ผลิตปุ๋ยเคมีจากพืช , ทดลองวัคซีนป้องกันไวรัส ฯลฯ!”
ฉินเฟิงเอ่ยปาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของคนรุ่นหลัง เพียงแต่ฉินเฟิงไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับมันเท่าใดนัก รู้จักแค่วัตถุดิบบางอย่างที่จำเป็น และได้บอกพวกมันแก่ไป่ยี่ไป
ไป่ยี่พยักหน้าหงึกๆ ดวงตาเปล่งประกาย จดทั้งหมดที่ได้ยินลงไป
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง ส่วนคำถามแรกที่คุณถามผมก่อนหน้านี้ ผมสามารถตอบคุณได้เลย ว่าผมน่ะไม่เชื่อสักนิด ว่าจำนวนคนที่แข็งแกร่งคือปัจจัยสำคัญ”
“นั่นก็เพราะว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงกับเป็นจุดสิ้นสุดของโลกโดยสิ้นเชิง ปัจจุบันยังเป็นช่วงเวลาที่นับถือคนแข็งแกร่งอยู่”
“และเมื่อไหร่ที่คนๆหนึ่งสามารถก้าวขึ้นไปครอบครองพลังอำนาจอย่างแท้จริง สันติสุขของโลกใบนี้ จะกลับมาอย่างแน่นอน”
เพียงแต่คนที่ว่า … ยังไม่ปรากฏขึ้นก็เท่านั้นเอง!
…
นี่คือช่วงต้นเดือนกุมพาพันธ์ สภาพอากาศค่อยๆอบอุ่นขึ้น
ฉินเฟิงตื่นตั้งแต่เช้า พาไป๋หลีมุ่งหน้าสู่เมืองเฉิงหยาง
และผู้คนในสถานชุมชนเฟิงหลี ไม่ว่าใครต่างก็ทราบดี ว่าพวกเขากำลังจะไปทำอะไร!
ฉินเฟิงกำลังไปทดสอบการรับรองเป็นผู้ใช้พลังเลเวล D
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปตลอดทั้งสามเฉิง ราวกับระเบิดตู้มใหญ่ในจิตใจของผู้คน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เลเวล D จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยก็สิบปี
ส่วนเลเวล D คนก่อนในสามเฉิง ปรากฏขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่เป็นสมาชิกขององค์กรมืด
โชคยังดี ที่หลังจากเขาผ่านการทดสอบเลเวล D ก็เร่งจากไปทันที
อาจจะไปที่แนวหน้า หรือไม่ก็สถานที่อื่น แต่การที่คนร้ายออกจากสามเฉิง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะไปที่ใด มันก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น
และปัจจุบัน เลเวล D อีกคนกำลังจะถือกำเถิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!