โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 35
Ch.35 – ศิลานรก
Translator : Muntra / Author
วันนี้ลง 3 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ EP.35 – ศิลานรก
นี่คือตำแหน่งที่อยู่ห่างจากสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือไปกว่า 100 กิโลเมตร
แน่นอน ว่าตำแหน่งนี้ มันเคยถูกกวาดล้างและผ่านการสำรวจโดยกองทหารทุ่งล่ามาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีพวกสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ต่อให้มี อย่างมากก็คงเป็นเพียงพวกสัตว์ร้ายเลเวล G แต่ยังไงซะ ก็จะถูกยกพลมาเก็บกวาดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงของทุกปีอยู่ดี
ฉินเฟิงโรยฝงขับไล่สัตว์ร้ายรอบๆตัวรถในช่วงระยะ 20 เมตร จากนั้นก็เข้าไปหลับในรถ
วันถัดมา ฉินเฟิงออกล่าสัตว์ร้ายที่อยู่ในระยะใกล้เคียง นอกจากนี้ยังขับรถล่องเวหาออกไปค้นหาเป้าหมายรอยแยกมิติ แต่ก็คว้าน้ำเหลว
“ตำแหน่งของฉันสมควรจะถูกต้อง ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ปรากฏขึ้น แต่ก็ในวันสองวันนี้นี่แหละ!”
เนื่องจากมันอยู่ห่างออกมาจากสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือพอสมควร ดังนั้นเหตุการณ์ในชีวิตก่อนหน้าที่เกิดขึ้นมันจึงเป็นเพียงการคาดการณ์เวลาและสถานที่แบบเฉพาะเจาะจงเท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อกองทหารทุ่งล่าเข้ามาตรวจสอบ รอยแยกมิติก็ปิดตัวลงไปแล้ว และในอุปกรณ์มิติ ก็บ่งบอกว่าเวลาที่รอยแยกปรากฏขึ้น คือช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา(หลังจากที่เพิ่งตรวจเจอ)
แน่นอน ว่าฉินเฟิงไม่จำเป็นต้องรอนานจนเกินไป รอยแยกนี้ก็ปรากฏขึ้น
พอมาถึงช่วงเย็น ท้องฟ้าที่อาบไปด้วยแสงอาทิตย์สีแดง จู่ๆก็เริ่มบิดเบี้ยวไปอย่างกระทันหัน ขณะเดียวกัน ภายในรถล่องเวหาก็มีเสียงประกาศแจ้งเตือนดังขึ้นมา
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! เตือนภัย! เตือนภัย! รอยแยกมิติปรากฏขึ้นในรัศมี 500 เมตร สิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดกำลังจะปรากฏขึ้น โปรดระมัดระวังตัวด้วย!”
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! รอยแยกนี้มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ระดับความอันตรายคือเลเวล G”
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! ตรวจพบปฏิกิริยาของพลังงานขนาดใหญ่ แนะนำให้ทำการอพยพโดยด่วน!”
ระบบสัญญาณเตือนของรถล่องเวหา แต่เดิมมีระยะสแกนอยู่ที่ 1 กิโลเมตร ดังนั้น ยิ่งระยะที่สแกนได้อยู่ใกล้กับตัวรถเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความแม่นยำเท่านั้น
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น หันไปมองรอบๆโดยไม่รู้ตัว
จากนั้น เขาก็เห็นรอยร้าวบนท้องฟ้า ที่แลคล้ายอากาศที่แตกร้าว ราวกับชั้นกระจกถูกยิงด้วยกระสุนปืน สุดท้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ
ครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งที่สองเลย ที่ฉินเฟิงได้เจอกับรอยแยกมิติ หลังจากที่เขาได้กลับมาเกิดใหม่!
สำหรับรอยแยกมิติ พวกมันเป็นอะไรที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
บางครั้งก็นำมาซึ่งหายนะ ในขณะที่สำหรับบางคน มันคือโอกาส
ส่วนฉินเฟิง เจ้าตัวเคยคิดว่านี่มันเป็นโอกาสของเขา แต่เมื่อมันปรากฏขึ้นจริงๆ เขาก็ค้นพบว่าตัวเองผิดพลาดโดยสิ้นเชิง -มันคือหายนะต่างหาก!
นี่มันแตกต่างไปจากรอยแยกมิติในคราวก่อน ที่เขี้ยวทารกมุดตัวออกมาอย่างเชื่องช้า และยังมีเวลาให้ผู้คนหลบหนี หากแต่รอยแยกเบื้องหน้าเขา มันปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน ราวกับเส้นสายฟ้าฟาดสีดำขนาดใหญ่ พรวดออกมาจากรอยร้าวอย่างรุนแรง
“วูซซซซ!”
อุกกาบาตก้อนหนึ่งทิ้งดิ่งลงมา
อุกกาบาตมีสีดำและแดง พุ่งลงมาด้วยความเร็วจนเป็นเป็นหางที่ลากยาว สาดแสงไสวดูแปลกตา
“โครม!”
นี่มันกระทันหันเกินไป ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่รอยแยกมิติเปิดออก ก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นทันที ส่งผลให้ตนไม่มีเวลาหลบหนี อุกกาบาตร่วงกระแทกเข้าใส่พื้นดินเบื้องหน้ารถล่องเวหา ห่างออกไปแค่ 30 เมตร
ด้วยการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่นี้ ก่อให้เกิดแรงอัดอากาศ กวาดพรึบ! ไปทั่วบริเวณ รถล่องเวหาเกือบจะม้วนพลิกคว่ำ
“เปิดโหมดลอยตัว!”
ฉินเฟิงเร่งกดปุ่มลอยตัวของรถ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงสั่นสะเทือน อย่างไรก็ตาม เม็ดหินและเม็ดทรายก็ยังมีกระดอนมากระแทกเข้าใส่ตัวถังนอกรถอยู่ดี ฉากนี้ให้ความรู้สึกราวกับกำลังขับรถฝ่าลูกเห็บก็มิปาน
แม้จะถอยรถห่างออกมาไกลกว่า 100 เมตรจากจุดที่อุกกาบาตร่วงหล่นแล้วก็ตาม แต่ฉินเฟิงก็ยังรู้สึกว่าตนยังตกอยู่ในอันตราย
“แอ๊!”
เสี่ยวไป๋กระสับกระส่ายเล็กน้อย ขนตามแนวสันหลังของมันลุกชูชัน
เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่อันตรายโผล่มา สัญชาตญาณระวังภัยของมันจึงร้องเตือน
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้หนีไปทันที เขามองไปยังสถานที่ซึ่งอุกกาบาตเพิ่งจะร่วงหล่นลงมา ทันใดนั้นดวงตาก็พลันเบิกกว้าง
“นั่นมัน … ‘ศิลานรก!’ ”
ฉินเฟิงอดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
มองไปยังก้อนหินที่ร่วงตกลงมาบนพื้นดิน หินที่กำลังลุกไหม้แผดเผาไปด้วยเปลวไฟสีดำ ขณะเดียวกันควันที่ลอยคละคุ้งไปในอากาศรอบๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นรูนสีดำ!
รูนเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดภัยพิบัติอย่างไวรัสที่น่าหวาดกลัวได้ มันสามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้ไร้จิตนึกคิด กลายเป็นซากศพไร้วิญญาณ
“ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมในช่วงแรก ถึงปรากฏกองทัพซากศพของสัตว์ร้ายมากมายถึงขนาดนั้น!”
เมื่อประกอบฉากในปัจจุบันนี้ กับความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าเข้าด้วยกัน ฉินเฟิงก็พอจะสามารถคาดเดาสาเหตุของภัยพิบัติที่กำลังจะมาเยือนได้!
ในความทรงจำของฉินเฟิง คืออีกหนึ่งเดือนต่อมา สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือจะประสบการโชคชะตาอันโหดร้าย ปรากฏกองทัพซากสัตว์ร้ายนับหมื่นเข้าโอบล้อม
และถึงแม้ว่าพวกมันจะถูกกำจัด กวาดล้างออกได้อย่างรวดเร็ว หากแต่ก็ยังมีโรคระบาดและไวรัสตามมา ส่งผลให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ที่ยังมิได้ถูกฉีดยากระตุ้นพลัง เสียชีวิตไปมากกว่า 40% !
ซึ่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด เมื่อไม่มีผู้อำนวยกว่าอย่างหลินเต๋อหรงอีกต่อไป เด็กๆจึงเสียชีวิตกันเกือบทั้งหมด ภายในตัวอาคารแทบจะกลายเป็นว่างเปล่า!
ทว่าช่วงเกิดภัยพิบัตินี้ขึ้น ฉินเฟิงได้หลบหนีออกไปจากชุมชนทางตอนเหนือก่อนล่วงหน้าแล้ว แต่เนื่องจากพนักงานในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ได้กระจายส่งข้อความขอความช่วยเหลือ ใจความว่า บรรดาผู้ใหญ่ในสถานเลี้ยงเด็กร้องขอบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อที่จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป ดังนั้นฉินเฟิงจึงรวบรวมเงินที่เก็บไว้ใช้จ่าย บริจาคมันให้แก่พวกเขาทั้งหมด
แต่มันก็น้อยนิด ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี
เนื่องจากฉินเฟิงให้ความสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เป็นเวลานาน เขาจึงจดจำมันได้เป็นอย่างดี และตัดสินใจมาที่นี่ แต่ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาสู่ภายนอก กับเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง มันไม่เหมือนกัน
เดิมที ฉินเฟิงคิดว่ามันจะเป็นเพียงรอยแยกมิติที่มาพร้อมกับซากสิ่งมีชีวิตติดเชื้อ ดังนั้นรูนมืดอันเข้มข้นจึงกระจายไวรัสไปในอากาศโดยรอบ แต่ไม่คาดหวังเลย ว่ามันจะปรากฏออกมาในลักษณะของ ‘ศิลานรก’
ศิลานรกคืออะไรอย่างนั้นหรือ? มันคือไอเท็มระดับ S ยังไงเล่า! ทีนี้ก็พอจะจินตนาการออกแล้วใช่ไหม ว่าภัยพิบัติที่กำลังก่อตัวจะน่าหวาดกลัวเพียงใด
ช่วงเวลานั้นเอง ตอนที่อุกกาบาตร่วงตกลงมา มีหมูป่าเขี้ยวอยู่แถวๆนั้นพอดี มันโดนแรงปะทะตกตายลง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ครืด … !” หมูป่าเขี้ยวคำรามเสียงยาว ตามร่างกายขนาดใหญ่ของมันเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ ผิวสีเหลืองดั้งเดิม บัดนี้กลายสภาพเป็นสีเทาอ่อน กระทั่งผิวหนังชั้นนอกก็เริ่มแตกออก เปิดเผยให้เห็นกล้ามเนื้อภายใน ทว่ากลับไม่มีเลือดหยดย้อยลงมาเลยแม้แต่น้อย
คู่ดวงตาของมันฟุ้งไปด้วยแสงสีแดงเลือด คล้ายกับว่ามีจิตวิญญาณชั่วร้ายกำลังสิงสถิตอยู่
มันกลายเป็นซากศพเดินได้ไปแล้ว!
ฉินเฟิงเปิดประตูออกจากรถโดยไม่ลังเล
สิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วเหล่านี้ ค่อนข้างยากที่จะจัดการ จะสามารถสังหารมันได้โดยการโจมตีที่หัวเท่านั้น นอกจากนี้ หากถูกพวกมันโจมตี ก็มีโอกาสสูงที่เดียวที่จะติดเชื้อและกลายเป็นซากศพเช่นเดียวกับมัน
ด้วยเหตุนี้เอง ในทุ่งล่าจึงเกิดคลื่นกองทัพซากสัตว์ร้ายจำนวนมหาศาล เพราะอัตราการติดเชื้อมันลามไปทั่ว
“ปุ!”
ปืนพลังงานระเบิดรังสีแสงสีฟ้าอันทรงพลานุภาพออกมา พุ่งตัดผ่านกะโหลกศพหมูป่าเขี้ยวไป
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะนั้นเอง รูนมืดเหล่านั้นก็เริ่มเบี่ยงเบนทิศทาง ตรงเข้าหาฉินเฟิง
เห็นได้ชัดว่ารูนเหล่านั้นต้องการที่จะแพร่เชื้อให้แก่ฉินเฟิง!
แต่ฉินเฟิงไม่สามารถติดเชื้อได้ นั่นเพราะเขาเองก็เป็นผู้มีอบิลิตี้ธาตุมืดเช่นกัน!
ท่ามกลางฉากตรงหน้า ในหัวใจของฉินเฟิงบังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา
“ก็ในเมื่อเจ้าพวกนี้มันเป็นรูนมืด งั้นจะเป็นไปได้ไหมนะ ที่ฉันจะดูดกลืนพวกมันทั้งหมด?”
แต่เดิม จุดประสงค์ของฉินเฟิงในการมาที่นี่ก็เพื่อสังหารซากศพติดเชื้อรูนมืดเหล่านั้น แต่เขาไม่คาดหวังเลย ว่าความเป็นจริงจะน่าหวาดกลัวกว่ามาก จนทำให้ในช่วงแรก เขาเกิดความตื่นตระหนกไปพักหนึ่ง
แต่ปัจจุบันี เมื่อพิจารณาจนได้เห็นถึงจุดสำคัญ ฉินเฟิงก็ยิ้มยิงฟันของเขา และก้าวตรงไปข้างหน้า
“แอ๊ แอ๊ แอ๊!”
เสี่ยวไป๋วิ่งวนไปมาในรถด้วยความกระวนกระวาย แต่ภายในจิตวิญญาณของมันกลับไม่เรียกร้องให้ฉินเฟิงกลับมา เพราะแม้รูนมืดเหล่านั้นจะค่อนข้างน่าหวาดกลัว หากแต่ภายในจิตใต้สำนึกของมันรู้ดี ว่านั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับฉินเฟิง
อย่ามองจากแค่รูปลักษณ์ภายนอกเชียว ถึงเสี่ยวไป๋จะเพิ่งเกิดและตัวเล็ก หากแต่มันไม่โง่ ในฐานะลูกหลานของสัตว์ร้ายระดับสูง มันย่อมมีความทรงจำส่วนหนึ่งที่ได้รับสืดทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ตอนนี้มันยังเด็กเกินไปที่จะพึ่งพาสัญชาตญาณทั้งหมดที่ว่ามาก็เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ ในหัวใจของฉินเฟิงจึงยิ่งบังเกิดความมุ่งมั่น มั่นใจมากยิ่งกว่าเดิม
“จงดูดกลืน!”
พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกกระตุ้นอย่างฉับพลัน ในห้วงจักรวาลแห่งจิตสำนึก ดาวเคราะห์เพชร —แก่นอบิลิตี้เริ่มหมุนวนโคจรอีกครั้ง!