โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 404
4/5
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.404 – การร่วงหล่นสู่ความตายของเลเวล C
“สู้มัน!”
สมาชิกกองกำลังจากทั้งหมด เหลืออยู่แค่ 10 คน และทุกคนล้วนเป็นสหายที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน หากมิใช่เพราะการสนับสนุนของพวกเขา เกาหยูคังคงไม่สามารถมาไกลถึงวันนี้ และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้การรัฐ
ทุกคนสำคัญถึงขนาดนี้ แล้วตนเองจะละทิ้งสหายร่วมรบได้อย่างไร?
“ฆ่า!”
“วกกลับไปฆ่าพวกมัน!”
ฝูงชนคำรามเกรี้ยวกราด
เวลานี้ ในหัวใจของพวกเขา ต่อให้ต้องเผชิญกับความตาย ก็ยินยอมพร้อมใจ
ฉินเฟิงเองก็พอจะรู้เช่นกัน ว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ถ้าคิดหลบหนี คงยากเกินไป
หากพากลับไปเฉพาะแค่เกาหยูคัง ยังพอมีความเป็นไปได้
แต่เห็นได้ชัด ว่าเกาหยูคังไม่คิดทำแบบนั้น
บางที นี่อาจเป็นโชคชะตา บางสิ่งบางอย่างก็ไม่มีเหตุผล ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ฉินเฟิงสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโจวฮ่าวและหลิวซูได้ นั่นเพราะทั้งสองคนเล็กจ้อยและอ่อนแอ
ทว่าเกาหยูคัง เขาทรงพลัง อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับฉินเฟิงในปัจจุบัน
แต่เกาหยูคังจะไร้ซึ่งความหวังจริงๆน่ะหรือ? เขาจะมุ่งไปสู่หนทางที่ไม่มีวันหวนกลับจริงๆ? ในหัวใจของฉินเฟิงไม่อาจยอมรับ
‘ขอช่วยพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน’
ฉินเฟิงตริตรองจนได้คำตอบ เขาหันไปพยักหน้าให้ไป๋หลี
แรงกดดันของไป๋หลีลุกฮือขึ้นทันใด วินาทีถัดมา ประกายแสงสีเงินก็พลันสาดไสวขึ้นกลางอากาศ
แส้ในมือ สะบัดฟาดเข้าใส่พวกกริม
ชั้นอากาศเริ่มปริร้าว รอยแยกมิติปรากฏขึ้น กริมหลายสิบตัวกำลังโฉบบินด้วยความเร็ว เบรกไม่ทัน ปะทะเข้ากับรอยแยกมิติอย่างไม่ทันตั้งตัว หลายส่วนบนร่างกายถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ
เศษซากเนื้อร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า มองไม่ใกล้ไม่ไกลมีรูปลักษณ์ไม่ต่างไม่จากเกี๊ยวยัดไส้
กริมเหล่านี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋หลี
ฉินเฟิงไล่ตามมาติดๆ ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา มันมากพอที่จะต่อกรกับผู้ใช้พลังเลเวล C ระดับสามัญ นั่นหมายความว่าพวกกริมระดับสามัญเหล่านี้ เขาย่อมสามารถต่อกรกับพวกมันได้เช่นกัน
ยิ่งปัจจุบันพวกมันได้รับบาดเจ็บ ฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึง
“โอบกอดทมิฬ!”
พวกกริมสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าไปในพริบตา
“ซ่อนเงา!”
ฉินเฟิงผลุบกาย จมหายลงบนพื้น โผล่ขึ้นมาอีกทีเบื้องหลังกริมตัวหนึ่ง ง้างสุดแขน วาดคมมีดเฉือนลงไป
เครื่องมือของอีกฝ่ายตรวจพบพลังงานคุกคาม ชั้นหมอกแสงจางๆลอยขึ้นอีกครั้ง แต่เนื่องจากมันเพิ่งแหลกสลายไปครั้งหนึ่งด้วยฝีมือของไป๋หลี เมื่อรีดพลังงานกลับมาใช้ป้องกันอีกที พลังป้องกันก็อ่อนแอเกินไป
เพล้ง!
โล่พลังงานแหลกสลายลงทันที
ฉัวะ!
มีดกษัตริย์ครามวาดเป็นส่วนโค้ง หัวอันใหญ่โต ปลิวไปตามสายลม เลือดสาดทะลักออกมา
ตายไปหนึ่ง!
“ซ่อนเงา!”
เนื่องจากถูกปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า ดังนั้นพวกกริมไม่เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ฉินเฟิงลงมือทำซ้ำในรูปแบบเดิม
ไป๋หลีก็ใช่จะอยู่เฉย กระโจนร่วมวงมาติดๆ
ทั้งสองผสานงานกันได้อย่างลงตัว พวกกริมกลายเป็นโดนล่าซะเอง ถูกสังหารตายยกทีม
ช่วงเวลานี้ กริมตนอื่นๆที่อยู่บนฟ้าจึงค่อยตระหนักถึงสถานการณ์
สหายของพวกมันตาย!
สภาพแวดล้อมที่เผ่ากริมอาศัยอยู่ แม้จะเต็มไปด้วยการต่อสู้ และอำนาจคือทุกสิ่ง อย่างไรก็ตาม พวกมันยังคงมีสังคม มีกฏเป็นของตัวเอง
พวกมันแข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต แต่ละตนแทบไม่เคยถูกภัยอันตรายคุกคาม
ไม่เหมือนมนุษย์ในปัจจุบัน ที่ต้องเอาชีวิตรอดมายาวนานกว่า 200 ปีท่ามกลางยุคโลกาวินาศ ไม่ว่าสถานที่ใดก็สามารถตายได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ สำหรับพวกมัน การตายของเผ่าพันธุ์ตน จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่!
แต่กระนั้น ฉินเฟิงกับไป๋หลีดันทำลายกำแพงต้องห้ามนี้เข้า!
และเรื่องเกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่ทันแก้ไขสถานการณ์
ถูกฉินเฟิงกำจัดจนหมดสิ้น
เกาหยูคังและคนอื่นๆ เมื่อได้เห็นพลังต่อสู้อันน่าตื่นตะลึงของฉินเฟิงและไป๋หลีก็อดทึ่งไม่ได้ และตอนนี้ ฉินเฟิงได้โผล่ออกมาจากโอบกอดทมิฬแล้ว
“รีบไปต่อเถอะ”
กำลังใจของเกาหยูคังและคนอื่นๆชื้นขึ้นหลายส่วน
ทุกคนต่างรู้ดี ว่าถูกฉินเฟิงช่วยชีวิตเอาไว้อีกแล้ว
“ฉินเฟิง ถ้าครั้งนี้พวกเรารอดไปได้ ฉันจะกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกับนาย ฉันติดหนี้ชีวิตนาย และจะไม่มีวันลืมมันไปชั่วชีวิต!” เกาหยูคังหัวเราะเสียงดัง
ฉินเฟิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “คุณติดหนี้ชีวิตคนอื่น แต่กลับบอกว่าจะกรีดเลือดสาบานเนี่ยนะ? แต่เอาเถอะ ผมว่ามันก็น่าสนใจดี!”
บุคคลอย่างเกาหยูคัง เป็นคนที่ยากนักจะพบเจอ เขาคู่ควรเป็นพันธมิตรในยุคโลกาวินาศ เหมาะเป็นสหายร่วมรบ
นั่นคือเหตุผลที่ฉินเฟิงต้องการช่วยอีกฝ่าย
แต่ในตอนนั้นเอง กลิ่นอายพลังงานอันน่าพรั่นพรึงพลันปะทุออกมา
ขนทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงลุกชัน
ไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมอง พลังสมาธิอันแข็งแกร่งของเขา ‘เห็น’ ฉากที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง –บนเมืองลอยฟ้าที่ลอยอยู่ห่างออกไปนับ 10,000 เมตร จู่ๆก็ระเบิดแสงจรัสออกมา
–เป็นลำแสงพลังงาน!!
ฉินเฟิงไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่านั่นคือลำแสงพลังงานชนิดใด แต่มันเร็ว … เร็วมาก!
เร็วชนิดเพียงเสี้ยวพริบตาก็มาถึงเป้าหมายแล้ว
ฉินเฟิงไม่มีเวลามากพอจะเรียกไป๋หลีให้ใช้พาใช้ท่าเทเลพอร์ตด้วยซ้ำ
เกาหยูคังที่คิดว่าตนรอดพ้นจากความตายแน่ๆแล้ว รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเขา ทว่าวินาทีถัดมา ลำแสงนี้ก็ทะลุผ่านร่างเขาไป
มันสว่างวาบจนวิสัยทัศน์ของฉินเฟิงพร่ามัวมิอาจมองเห็นได้
ช่วงเวลาราวกับกลายเป็นเชื่องช้า
ทั้งๆที่จริงแล้ว ทุกสิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึงวินาที
ความผันผวนของพลังงานสลายไป ร่างของเกาหยูคังซวนเซ
ฉินเฟิงแม้ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของเขา แต่ลูกตากลับหดลีบอย่างฉับพลัน
นั่นเพราะครึ่งซีกอกขวา รวมไปถึงไหล่ของเกาหยูคัง มันหายไปแล้ว!
ดวงตาของเกาหยูคังเบิกกว้าง เซไปข้างหลัง
ฉินเฟิงเอื้อมมือช่วยพยุง แต่เกาหยูคังไม่อาจฝืนยืนได้
แม้ลำแสงนี้จะไม่โดนตำแหน่งหัวใจ แต่บาดแผลรุนแรงนัก คงมิพ้นความตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ลูกพี่!”
“ผู้การรัฐ!”
“หัวหน้า!”
สมาชิกเลเวล D ที่วิ่งอยู่ข้างหน้าร้องตะโกน
ทั้งหมดหยุดฝีเท้า วกกลับมาทันที ผู้ใช้อบิลิตี้แสงสาดรังสีรักษาลงบนร่างของเกาหยูคังอย่างสุดกำลัง
อย่างไรก็ตาม มันเปล่าประโยชน์
ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงกำลังภายในของเกาหยูคังกำลังรั่วไหลอย่างต่อเนื่อง แต่เขามิได้ใช้ทักษะลับกลืนดารา เขาไม่ได้หน้าด้านถึงขนาดนั้น
“ฉิน … เฟิง ฉัน … ติดหนี้ …. ชีวิตนาย”
เกาหยูคังเอ่ยปากอย่างยากลำบาก
ฉินเฟิงไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี ในดวงตาของเขาเริ่มปรากฏรอยแดงจางๆ
“ฉิน … เฟิง ..นี่ … ยกให้นาย”
เกาหยูคังพยายามยกมือซ้ายที่ยังเหลืออย่างช้าๆ ช่วงเวลานี้มันหนักอึ้งราวพ่วงด้วยตะกั่ว สุดท้ายแตะลงบนตราเลเวล C บนหน้าอก กระชากมันออกมา
ตราเลเวล C ชิ้นนี้ แตกต่างจากตราปกติ เพราะมันคือตราที่แสดงถึงตัวแทนของตำแหน่งผู้การรัฐ
เกาหยูคังไม่รู้ว่าจะใช้อะไรตอบแทนน้ำใจของฉินเฟิงดี แต่ที่รู้แน่ๆ คือเขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้อีกแล้ว
ดังนั้น ตราชิ้นนี้ เลยมอบให้กับฉินเฟิง ตั้งใจยกตำแหน่งผู้การรัฐให้แก่เขา
ฉินเฟิงเอื้อมไปคว้ามือที่กำลังจับตราของเกาหยูคังเอาไว้ ยอมรับมันแต่โดยดี
“เจิ้งเฉียน”
“หัวหน้า ฉันอยู่นี่” เจิ้งเฉียนน้ำตาไหลอาบหน้า เธอไม่รู้ว่าจะจัดการกับความโศกเศร้านี้อย่างไรดี
เกาหยูคังอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงส่งออกมา อย่างไรก็ตาม มันสามารถใช้กำลังภายในจับความผันผวนได้
กำลังภายในของฉินเฟิงเข้มแข็งกว่าเกาหยูคัง ดังนั้น ทุกคำของเกาหยูคัง เขาย่อมได้ยิน
“เอาอุปกรณ์รูนมิติของฉันไป รหัสผ่านบัญชีส่วนตัวของฉันคือวันเกิดเธอ เธอจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ ส่วนฉัน … คงไม่ได้ใช้มันอีกแล้ว”
เสียงของเกาหยูคัง ยิ่งนานยิ่งแผ่วเบา ทว่าแววตาที่จ้องมองเจิ้งเฉียนกลับเปล่งประกายสดใส
เจิ้งเฉียนมิใช่ผู้หญิงสวยหรือน่ารักอะไร ไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้
เจิ้งเฉียนเองก็มองตาเกาหยูคัง ในหัวใจยากจะยอมรับ
“เกาหยูคัง … นี่คุณ … ”
เจิ้งเฉียนต้องการจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่เอ่ยมันออกมา
เพราะลมหายใจของเกาหยูคังได้ขาดห้วงไป
เขาตายแล้ว