โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 47
Ch.47 – ผู้ใช้อบิลิตี้ VS มือปืน
Translator : Muntra / Author
วันนี้ลง 4 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.47 – ผู้ใช้อบิลิตี้ VS มือปืน
ร่างของฉินเฟิงสั่นสะท้าน บังเกิดประกายแสงวูบไหวในดวงตา
“จริงสินะ พลังสมาธิมันไม่ได้มีไว้ใช้แค่อย่างเดียวนี่นา …”
ก่อนที่จะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเคยมีสถานะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณมาก่อน ดังนั้น ความคิดแวบแรกของเขายามเมื่อต้องต่อกรกับมือปืน ก็คือวิ่งเข้าประชิดตัวและตัดหัวเสีย
แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายย้ำเตือนให้นึกถึงเรื่องนี้เข้า ฉินเฟิงเลยรู้สึกตัว ว่าในตอนนี้ ในชีวิตใหม่ เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง
-ผู้ใช้อบิลิตี้!!
ปัจจุบันเขาคือผู้ใช้อบิลิตี้ไม่ใช่หรือ งั้นทำไมต้องไปสู้กับอีกฝ่ายในแบบฉบับของผู้ใช้วรยุทธโบราณด้วยเล่า?
นี่เองสินะ ที่เรียกกันว่า ‘บางครั้งประสบการณ์ก็ฆ่าผู้คนโดยไม่รู้ตัว’
“ตูม!” เสียงระเบิดดังขึ้น การโจมตีระลอกใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เหอหลีสาดกระสุนนัดแล้วนัดเล่า อันที่จริง สีหน้าของเขาตอนนี้ดูน่าเกลียดยิ่ง เหงื่อเม็ดเท่าลูกปัดเริ่มผุดขึ้นตามหน้าผาก
แม้จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอยู่ตลอดเวลา แต่เหอหลีก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งทางกายของฉินเฟิงอยู่ในเลเวล G7 เท่านั้น
แต่อาวุธในมือของฉินเฟิงต่างหากที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ตรงจุดนี้เอง เหอหลีเลยไม่กล้าที่จะให้อีกฝ่ายเข้าใกล้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับมือปืนก็คือ อาวุธของพวกเขานั้นไม่ง่ายต่อการพกพา ไม่เพียงเท่านั้น แต่กระสุนก็ยังคงมีจำกัด
และกระสุนของเหอหลีก็กำลังจะหมดลง
แต่ในช่วงเวลานี้เอง จู่ๆเหอหลีก็รับรู้ได้ว่าฉินเฟิงหยุดการเคลื่อนไหวไปซะดื้อๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ความมืดมิดที่ปกคลุมเขาจู่ๆก็หายไปอย่างกระทันหัน ในที่สุด แสงสว่างก็ปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง
ภายในห้องทดลอง บัดนี้มีสภาพราวกับซากปรักหักพัง แสงจากหลอดไฟบ้างกระพริบ บ้างหรี่ลงจนแทบจะดับ สายไฟก็ขาด ระโยงระยางลงมา ไฟฟ้ารั่วสาดประกายสีเงินขาวไปทั่วบริเวณ
“พลังสมาธิของศัตรูหมดลง? หรือว่าฉันสามารถจัดการเขาได้แล้วกันแน่?” เหอหลีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“แต่พลังพิเศษของเจ้าหนูนั่นไม่อ่อนแอเลย ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นทำไมเราไม่พาตัวเขากลับไปหารองผู้ว่าการ แล้วจับเป็นหนูทดลองซะเลยล่ะ!”
มุมปากของเหอหลีเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงที่กำลังหลบอยู่ในซ่อนเงาก็คอยเฝ้ามองเหอหลีเดินถือปืนก้าวเข้ามาข้างหน้า -ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังมองหาตำแหน่งของตัวเขา
ไม่รอช้า พลังสมาธิของฉินเฟิงระเบิดออกมาอย่างกระทันหัน
“เพลิงโลกันต์!”
เปลวไฟสีดำลุกพรึบ! ร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน!
ส่วนเหอหลี เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แถมนี่ยังมิใช่สิ่งที่เขาเคยเจอมาก่อน กว่าจะรู้สึกตัวอีกที มันเลยสายเกินไปแล้วที่จะหลบเลี่ยง
“อ๊ากกกก!!”
เหอหลีกรีดร้อง เปลวไฟโถมเข้าใส่ ลุกลามไปทั้งร่างของเขา เจ้าตัวม้วนกลิ้งลงกับพื้นอย่างรุนแรง หวังจะให้มันมอดดับลง ทว่าเปลวไฟราวกับหนอนไชกระดูก เมื่อได้มุดเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ไม่ยินยอมจะผละตัวหลุดออกมา
เหอหลีแทบจะกลายเป็นมนุษย์เพลิงในพริบตา
หลังจากนั้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ทั้งร่างของเหอหลีก็หยุดดิ้นรนขัดขืน แน่นิ่งลงกับพื้น
“จงดับ!”
ฉินเฟิงวาดมือออกไป เปลวไฟสีดำส่งเสียงวูบบบ! มอดดับลง แต่ศพของเหอหลีหลังจากที่ถูกไฟครอก ตอนนี้มีสภาพดำเมี่ยมราวกับโค๊กไปแล้ว
มือปืนเลเวล F ที่คิดทำลายห้องทดลอง สิ้นใจลงโดยสมบูรณ์
เลือดที่เดือดพล่านเริ่มสงบลง ฉินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
“แอ๊!” เสี่ยวไป๋วิ่งออกมาจากมุมห้อง ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงไม่อนุญาตให้มันมีส่วนร่วมในการต่อสู้ ดังนั้น เมื่อทุกอย่างจบลง มันก็พุ่งปราดเข้ามา แต่เมื่อเห็นสภาพร่างกายของฉินเฟิงที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย มันก็กระโดดสองสามก้าวขึ้นเกาะบนไหล่เขา แล้วยื่นใบหน้าไปถูๆที่แก้ม
“เสี่ยวไป๋ อย่าทำแบบนั้น!”
ฉินเฟิงลูบหัวเสี่ยวไป๋ ก่อนจะเริ่มปัดๆขนของมัน เนื่องจากการต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่นี้ มันไปมุดหลบอยู่ในรูแคบๆ ตอนนี้ขนของมันเลยมีแต่ฝุ่น กลายเป็นสีเทาเล็กน้อย
ฉินเฟิงฝืนยิ้ม ก่อนจะเดินไปทางศพของเหอหลี
ในตอนนี้ ชุดต่อสู้ของเหอหลีถูกเผาไปแล้ว แต่บนศพ ยังมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดความสนใจของฉินเฟิง
เกราะชั้นในสาดแสงสีม่วงกระทบตาของฉินเฟิง เขาเอื้อมมือไป และกระชากมันออกมา ศพดำเมี่ยมของเหอหลีพลันกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่วงโรยเป็นกองฝุ่นหนากับพื้น เหลือเพียงชุดเกราะที่ยังอยู่ดี
“ดูเหมือนว่าตรงจุดที่เสียหายจะเกิดจากมีดในตอนนั้น!” ฉินเฟิงมองไปตามรอยลากยาวที่เสียหายบนเกราะสีม่วง ก็เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
อำนาจของมีดกษัตริย์คราม ไม่อาจดูแคลนได้
“ถึงจะเสียหาย แต่เกราะม่วงนี้น่าจะยังพอซ่อมแซม หรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้!” ว่าจบ ฉินเฟิงก็เก็บเกราะม่วงไป
บนศพของเหอหลี แน่นอนว่ายังมีอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆหลงเหลืออยู่ อย่างเช่น ปลอกแขน และสนับแข้ง ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ มีพื้นที่ป้องกันการบาดเจ็บค่อนข้างกว้าง แต่ทุกชิ้นเป็นอุปกรณ์รูนสีฟ้า ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงก็ยังเก็บมันอยู่ดี
“เจอแล้วอุปกรณ์รูนมิติ!”
ท่ามกลางซากขี้เถ้า ฉินเฟิงมองเห็นแหวนที่สาดรังสีแสงสีเงินนอนอยู่ใจกลางกองฝุ่น
พลังสมาธิของฉินเฟิงซึมซาบลงไปในมัน และค้นพบว่านี่คืออุปกรณ์มิติที่มีพื้นที่ยาวสองเมตร และกว้างหนึ่งเมตร
แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็มีอาวุธหลายสิบชิ้นถูกจัดวางไว้ภายในอย่างเป็นระเบียบ
และมูลค่าของอาวุธเหล่านี้ย่อมสูงค่า อย่างน้อยๆก็น่าจะมากกว่า 8 ล้าน
แน่นอน ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คืออุปกรณ์รูนมิติ ซึ่งมีราคาอย่างน้อยก็ 10 ล้าน!
ยังไงก็ตาม ฉินเฟิงไม่ต้องการอุปกรณ์เสริมอะไรพวกนี้ ดังนั้นเขาตัดสินใจทันทีว่าจะขายแหวน
แต่คำถามก็คือจะขายให้กับใครนี่แหละ
ฉินเฟิงทำการถ่ายเทปืนจักรกลเข้าไปในพื้นที่มิติของเสี่ยวไป๋ แต่ในส่วนของระเบิดจากพื้นที่มิติ เขายังทำการติดตั้งระเบิดเวลาลงไปตามจุดต่างๆอีกหลายลูก
ระเบิดเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่เหอหลีเตรียมเอาไว้สำหรับห้องทดลอง แต่ตอนนี้เหอหลีตายแล้ว ดังนั้นฉินเฟิงเลยต้องรับช่วงต่อไปโดยปริยาย
เพราะเขาไม่ต้องการ ที่จะให้ทุกสิ่งในห้องทดลองนี้ หลุดรอดออกไป เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองเช่นกัน
“ไปกันเถอะ”
ฉินเฟิงเอ่ยคำหนึ่ง
แล้วเสี่ยวไป๋ก็พาฉินเฟิงเทเลพอร์ตทันที พริบตาเดียวก็กลับมายังทุ่งล่าอีกครั้ง
ฉินเฟิงกดรีโมทในมือของเขา พลันเกิดเสียงคำรามดังสนั่นขนาดใหญ่จากระยะไกล พื้นดินยุบตัว แต่สักพักก็สงบลง ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว บริเวณนี้มันเป็นถิ่นทุรกันดาร ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย
ก่อนที่จะเกิดใหม่ ฉินเฟิงเองก็เคยค้นพบเบาะแสบางอย่างของห้องทดลองนี้เหมือนกัน แต่ในชีวิตนี้ ชัดเจนว่าเขาได้พบเจอกับปริศนาที่ใหญ่กว่า
อย่างไรก็ตาม เบาะแสที่ว่านั่นอยู่ในหัวของรองผู้ว่าการ แต่ตอนนี้ตัวเขาไม่มีพลังมากพอที่จะสามารถเผชิญหน้ากับรองผู้ว่าการได้!
“ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร และพอดีว่าฉันก็มีมิตรที่ทรงพลังคนหนึ่งอยู่พอดี!”
เมื่อขบคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็บังเกิดไอเดียบางอย่างขึ้น
เขาถอดชุดต่อสู้ T3 ที่ซื้อมาในราคา 30,000 ออก สภาพของมันได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการต่อสู้ในครั้งนี้ และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงซ่อมไม่ได้
เขาหยิบกระเป๋าเดินทางที่นำมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจากในมิติของเสี่ยวไป๋ แต่เมื่อเปิดดู ฉินเฟิงกลับพบว่ามันเหลือเสื้อแค่ 2 ตัวเท่านั้น
“เอาเถอะ เงินก็มีตั้งเยอะ คงถึงเวลาที่จะต้องซื้อเพิ่มบ้างแล้ว!”
ฉินเฟิงกล่าวอย่างไร้หนทาง หากต้องต่อสู้ต่อไป เรื่องเสื้อผ้าเสียหายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าให้ย้อนนึกกันจริงๆ วันนี้วันเดียวฉินเฟิงเสียเสื้อที่มีทั้งหมดไปตั้งครึ่งนึงแล้ว(2ตัว)
รถศึกเริ่มลอยตัวขึ้น มุ่งหน้ากลับไปยังฐาน ในเวลานี้ ท้องฟ้าเริ่มทอแสง บ่งบอกถึงเช้าของวันใหม่
ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร เพื่อโทรหาคนที่เขาไม่ติดต่อมานานเกือบเดือน
“รองหัวหน้าซู ผมเพิ่งได้ของบางอย่างมา ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะดูมันไหม!”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูซิงฝูที่ดวงตางัวเงียและแทบจะสัปหงก ก็เริ่มด่าทอฉินเฟิงในหัวใจ
“ไอ้เด็กนี่ ทำไมถึงต้องโทรมาตอนเช้าทุกครั้งเลยนะ วัยรุ่นมักจะชอบตื่นสายกันไม่ใช่รึไง!”
แต่บอกตามตรง ว่าคราวนี้ซูซิงฝูก็ตื่นเต้นหน่อยๆเหมือนกัน เพราะฉินเฟิงไม่ได้บอกว่าจะเอาอะไรมาขายให้กับเขา
ในตอนนั้นเอง รถศึกล่องเวหาคันหนึ่งก็ร่อนลงมาจอดด้านหน้าของซูซิงฝู สำหรับผู้ใช้พลังพิเศษเลเวล F แล้ว รถแพงๆไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ตอนแรกเขามองผ่านๆ แต่สักพักก็ต้องเบิกตาค้าง
เพราะในสายตา เห็นแค่เพียงฉินเฟิงกำลังลงมาจากที่นั่งคนขับพร้อมกระเป๋าเป้สะพายหลัง เดินตรงมาด้านข้างรถของซูซิงฝู
ซูซิงฝูตะลึงงัน ไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง
ฉินเฟิงเคาะหน้าต่างรถ ซูซิงฝูได้สติรีบเปิดประตูออกมาทักทายเขา
“ฉินเฟิง ไอ้เจ้าหนูมหัศจรรย์ ช่วงนี้เธอไปทำอะไรมาถึงได้มีเงินมากขนาดนี้!”
รถศึกล่องเวหามีราคาที่สูงไม่เลว แต่ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงไม่ได้ขายอะไรให้กับเขา ดังนั้นในหัวใจ ซูซิงฝูเลยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย