โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 483 - เลเวล C ก็ร่วมได้หรอ
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.483 – เลเวล C ก็ร่วมได้หรอ?
งานประลองลูกรักของพระเจ้า?
ฉินเฟิงค่อนข้างตกใจเล็กน้อย แต่ก่อนเกิดใหม่ ในฐานะผู้ใช้พลังเลเวล A เป็นธรรมดาที่เขาจะเคยรับชมงานประลองนี้
หากให้อธิบายอย่างเรียบง่าย งานประลองนี้ ถือเป็นรายการใหญ่ และเมื่อถึงเวลารับสมัคร เหล่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์หลายคนจะเข้าร่วม ตระกูลที่แข็งแกร่งและมีอำนาจหลังยุคโลกาวินาศ จะพากันคัดเลือกรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ของตนมาที่นี่
แน่นอน ผู้ที่สามารถไปถึงอันดับต้นๆได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นคนจากตระกูลชั้นสูงและมีอำนาจล้นมือ
“ผมพอจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน” ฉินเฟิงพยักหน้า
“เช่นนั้นฉันมีเรื่องรบกวนผู้การรัฐฉิน คือว่า คุณพอจะให้ลู่เหมิงเข้าร่วมงานประลองได้ไหม”
ฉินเฟิงชะงักไป
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับผม? ถ้าคุณอยากให้เธอเข้าร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้า ก็ไปขอเธอเลยสิ”
เติ้งเหนียนดูอึดอัดเล็กน้อย “ลู่เหมิงรวมถึงครอบครัวของเธอ ทุกคนย้ายไปอยู่เฟิงหลีของคุณกันหมดแล้ว ผู้การรัฐฉินคงยังไม่รู้”
เติ้งเหนียนถอนหายใจด้วยความเสียดาย เพราะพ่อของลู่เหมิง เหมือนจะเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในสถานชุมชนเฉิงเป่ย แต่ในสายตาของฉินเฟิง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่นับเป็นสิ่งใด
“เรื่องนั้นผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าอาจารย์ใหญ่เติ้งต้องการ คุณสามารถคุยกับลู่เหมิงได้โดยตรง” ไม่รอช้า ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร ค้นอยู่ครู่หนึ่งจนพบชื่อของลู่เหมิง และโทรหาเธอ
“ลู่เหมิง อาจารย์ใหญ่เติ้งต้องการพบเธอ ช่วยมาเจอฉันที่นี่หน่อย”
ฉินเฟิงยังไม่เข้าใจถึงเรื่องราวของสถานการณ์ ดังนั้นเอ่ยชวนตรงๆ ลู่เหมิงเองก็ไม่ใช่ลูกน้องของเขา ในแง่สถานะ ลู่เหมิงมักเอ่ยปากเสมอว่าเธอคือรุ่นพี่โรงเรียนของเขา
“อ๋า? อาจารย์ใหญ่เติ้งเรียกหรอ? นี่ … โอเค นายรอแปปนึง เดี๋ยวฉันจะไปที่นั่น” ลู่เหมิงกล่าวอย่างเร่งรีบ และวางสายไป
จากนั้นไม่ถึง 10 นาที ไม่ใช่แค่ลู่เหมิง แต่โจวฮ่าวก็มาด้วย
บนอกของทั้งสองติดตราสัญลักษณ์โลโก้เลเวล E เรื่องโจวฮ่าวเป็นเลเวล E แล้วน่ะฉินเฟิงทราบ แต่กระทั่งลู่เหมิงยังเป็นเลเวล E ด้วยนี่ ฉินเฟิงคาดไม่ถึงจริงๆ
เติ้งเหนียนแยกไปสนทนากับลู่เหมิง ส่วนฉินเฟิงแยกไปคุยกับโจวฮ่าว
“ลู่เหมิงขึ้นเป็นเลเวล E ตั้งแต่เมื่อไหร่? นายแอบมอบทรัพยากรให้เธอใช่ไหม”
ลู่เหมิงอาจมีพรสวรรค์ แต่เธอเกียจคร้าน ทั้งยังค่อนข้างหุนหันพลันแล่นและไร้เดียงสา หากไม่ขยันฝึกฝนจริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่ในระยะเวลาแค่ 1 ปี เธอจะสามารถขึ้นสู่เลเวล E ได้
โจวฮ่าวอธิบาย “ฉันไม่ได้ควักทรัพยากรจากในกระเป๋าตัวเองไปเปล่าๆหรอกน่า ก็แค่ … ขายสมบัติดีๆให้กับเธอก็เท่านั้นเอง จนตอนนี้เงินของพ่อเธอ แทบจะถูกฉันสูบจนเกลี้ยงแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ แต่เก็บเงียบไม่ยอมบอกกันเลยนะ ยังมีน้องสะใภ้คนไหนอีกบ้างเนี่ย ที่ฉันยังไม่รู้?” ฉินเฟิงอมยิ้ม
โจวฮ่าวเร่งกล่าว “เธอคือน้องสะใภ้เพียงคนเดียวของนาย!”
ฉินเฟิงจ้องโจวฮ่าว เอ่ยถาม “นายตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม? เป็นลู่เหมิงดีแล้วสินะ?”
ด้วยการสนับสนุนของฉินเฟิง โจวฮ่าวย่อมมีอนาคตไร้ขีดจำกัด
ลู่เหมิงถือว่าน่ารักก็จริง แต่ไม่ได้มีเสน่ห์อะไรมากมาย เมื่อโจวฮ่าวเติบโตขึ้น บางทีเขาอาจพบเจอกับผู้หญิงที่ดีกว่านี้ก็ได้
แต่นั่นล่ะนะ สำหรับบางคน พื้นที่ในหัวใจมีไว้สำหรับคนเพียงคนเดียว
“แน่นอน! หลังจากที่พวกเราย้ายไปเมืองเฟิงหลีเมื่อไหร่ ลู่เหมิงกับฉันมีแผนจะแต่งงานกัน แต่อาจารย์ใหญ่เติ้งกลับดึงดันที่จะให้ลู่เหมิงเข้าร่วมงานประลอง”
“มิน่าเล่า เขาถึงได้ถ่อมาหาฉัน แต่งานประลองในครั้งนี้ก็ฟังดูไม่เลวนะ นายไม่คิดจะเข้าร่วมกับลู่เหมิงบ้างหรอ?”
สายตาของฉินเฟิงเบนไปทางเติ้งเหนียน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเกลี้ยกล่อม
“ลู่เหมิงกลายเป็นอันดับหนึ่งในชั้นปีของเธอแล้ว ส่วนนายเองก็เหมือนกัน และฉันตั้งใจว่ายื่นเรื่องจบการศึกษาล่วงหน้า แต่อาจารย์ใหญ่ต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน เลยอยากส่งพวกเราออกไปสู้”
“แล้วอาจารย์ใหญ่ไม่มีเกาหลิงฮานหรอ?”
“ในเดือนตุลาคมนี้ เกาหลิงฮานจะอายุครบ 20 ปีแล้ว ”
“อีกอย่าง นี่คืองานประลองของรุ่นเยาว์เลเวล E ต่อให้เกาหลิงฮานอายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าไปถึงรอบคัดเลือกในรอบสุดท้ายอยู่ดี”
“ถูกต้อง! แต่เธอสามารถทำได้นะ!” เติ้งเหนียนยิ้มให้ลู่เหมิง
ลู่เหมิงรู้สึกราวกับมีคนมายกหิน และขว้างมันลงบนเท้าของเธอ พยายามไม่ให้เธอหนีไป
“อาจารย์ใหญ่ คุณปล่อยฉันไปเถอะ ฉันกำลังจะแต่งงานแล้วนะ!” ลู่เหมิงอ้อนวอนขอความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคโลกาวินาศ หลังจากผู้คนอายุ 16 ปี และได้รับการปลุกพลัง จะถือว่ามีคุณสมบัติพร้อมแต่งงาน บางสถานชุมชนที่ดี ถึงขั้นมีเงินอุดหนุน มอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูทารกแรกเกิดให้ เพราะกลัวว่าบางคนจะไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ และตัดสินใจฆ่าเด็กแทน
หากเกิดกรณีแบบนั้นขึ้น ไม่ช้าก็เร็วเผ่าพันธุ์มนุษย์คงสิ้นชาติ
“นี่เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ ตอนนี้เธอได้กลายเป็นเลเวล E แล้ว งานแต่งจะล้าช้าออกไปหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก นี่คือช่วงเวลาที่เธอต้องลืมตาออกไปดูโลกต่างหาก!”
ลู่เหมิงแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา “นั่นมันการต่อสู้ที่เหมาะกับคนอื่นๆ ถึงทางสถานชุมชนของเราจะมีโควต้า 5 ตำแหน่งก็ตาม แต่พอไปยังเมืองเฉิงหยาง ฉันก็ต้องสู้กับรุ่นเยาว์ของตระกูลชั้นสูง และต่อให้ชนะ ฉันก็ต้องไปสู้กับรุ่นเยาว์จากเมืองฟูเฉิงกับเมืองไห่ ซึ่งพวกเราอาจแทบไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ไหนจะต้องไปสู้กับคนจากรัฐอื่นอีก ในฐานะตัวแทนของทางตอนเหนือ ถ้าฉันไม่สามารถคว้าชัยชนะเอาไว้ได้ แล้วฉันจะลงประลองไปเพื่ออะไร?”
สิ่งที่ลู่เหมิงกล่าว ใช่ว่าจะไร้เหตุผล
ก็ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางชนะ แล้วจะไปเข้าร่วมทำซากอะไร?
สิ่งที่ใช้ดึงดูดความสนใจของลู่เหมิงให้เข้าร่วมงานประลอง เห็นได้ชัดว่ายังมีน้อยไป
ในระหว่างนั้นเอง พอได้ยินคำนี้ ฉินเฟิงก็เหมือนจะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาทันที
“งานประลองลูกรักของพระเจ้า ผมจำได้ว่ารางวัลสุดท้าย คือการได้เข้าไปสำรวจในสุสานของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคหัวเซี่ย” ยุคโลกาวินาศได้ผ่านพ้นมานานกว่า 200 ปีแล้ว มันจะไม่มีผู้แข็งแกร่งตายลงได้อย่างไร?
เหล่าตัวตนทรงอำนาจ เมื่อใกล้ย่างเข้าสู่ความตาย พวกเขาจะจัดหาสถานที่หลับไหลแก่ตนเอง ทิ้งไว้ให้มันรอถูกเปิดออก เพื่อให้รุ่นต่อๆมาได้รับมรดก
สุสานของพวกเลเวล A มันไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรหรอก แต่ถึงเฟิงจำได้ว่า ท่ามกลางสุสานของตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้น มันมีสุสานของเลเวล S สองคนถูกฝังรวมอยู่ด้วย!
และทั้งสองคนคือผู้ใช้วรยุทธโบราณ
บุคคลดังกล่าว ได้ทิ้งวิชาฝึกยุทธิอะไรเอาไว้บ้าง? , ทิ้งเงินตรามหาศาลเท่าไหร่ , ครอบครองอุปกรณ์รูนคุณภาพใด , เคยก่อความหวาดกลัวฝังไว้ในจิตใจของผู้คนหรือไม่ กระทั่งฉินเฟิง ก็อยากจะเห็นด้วยตาตนเอง
เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินเฟิงก็เอ่ยปากถามทันที “อาจารย์ใหญ่เติ้ง งานประลองลูกรักพระเจ้า มีขีดจำกัดด้านความแข็งแกร่งรึเปล่า?”
เติ้งเหนียนชะงักไป “ขีดจำกัดด้านความแข็งแกร่ง?”
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง “ผมกำลังจะถามว่า ถ้าเป็นผู้ใช้พลังเลเวล C สามารถเข้าร่วมได้ไหม?”
ณ เวลานี้ ฝูงชนทั้งหมดต่างจ้องค้างไปยังฉินเฟิง จากนั้นแต่ละคนก็เริ่มนึกถึงเหตุผลที่ฉินเฟิงเอ่ยถามคำนี้ ก่อนพากันอ้าปากค้าง
กระทั่งฮั่นเจียนที่มาในฐานะแขกผู้มีเกียรติ ยังอดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้ว่า “ผู้การรัฐฉิน คุณคงไม่ต้องการเข้าร่วมงานประลองหรอกใช่ไหม?”
เป็นถึงผู้การรัฐ ทั้งยังเป็นเลเวล C แต่ยังอยากจะเข้าร่วมงานประลองอีก แบบนี้ก็ได้หรอ?
แบบนี้ใช่เป็นการรังแกผู้คนกันมากเกินไปหรือไม่?
รุ่นเยาว์เหล่านั้น จะสามารถต่อกรกับฉินเฟิงได้อย่างไร?
“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือครับ?”
“นี่ .. ”
มีปัญหาอะไร ก็ลองคิดเอาเองสิปั๊ดโถ่ว ฉินเฟิง นี่เอ็งไม่คิดว่ามันมีปัญหาจริงๆน่ะหรอ
“งานประลองลูกรักของพระเจ้า ตราบใดที่ผู้เข้าร่วมมีอายุต่ำกว่า 20 ปี และมีเลเวลมากกว่า E ย่อมสามารถเข้าร่วมได้ แต่ว่า … ”
แต่ว่าไม่เคยมีคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ เข้าร่วมมาก่อนเลย
ตามปกติแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมงานประลอง คือคนที่หลังจากถูกปลุกพลังในอายุ 16 ปี และได้รับการยืนยันว่าเป็นอัจฉริยะ พวกเขาจะใช้เวลาราวๆครึ่งปีเพื่อตัดผ่านสู่เลเวล F
อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ถึงเกณฑ์
เมื่ออายุ 17 ปี บางคนสามารถเข้าถึงเลเวล E แค่นี้ก็ถือว่าเป็นลูกรักของพระเจ้าแล้ว
แต่จากเลเวล E ไปถึงเลเวล D ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดๆ อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึง 2 ปี และเวลาเพียงเท่านั้นถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเลเวล D ถึงมีแต่อายุ 19 ปีขึ้นไป และยังถูกจัดให้เป็นลูกรักของพระเจ้า ในขณะที่ต่อให้ทุ่มเทเวลาที่เหลือทั้งหมดอีก 1 ปีไปกับการฝึกฝน พวกเขาก็ไม่สามารถขึ้นสู่เลเวล C ได้
ในขณะที่ฉินเฟิง อายุเพียงแค่ 17 ปี แต่เขากลับตัดผ่านไปถึงเลเวล C แล้ว เขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตลูกรักของพระเจ้าอีกต่อไป
เพราะสิ่งที่เรียกว่าลูกรักของพระเจ้า มันสอดคล้องกับศักยภาพระดับราชันย์เท่านั้น
ทว่าฉินเฟิงมีศักยภาพระดับจักรพรรดิ!
“ดีล่ะ ตัดสินใจแล้ว ผมจะขอลงทะเบียนด้วย อืม เอาตามนั้นแหละ ผมจะกลับไปลงทะเบียนที่เมืองเฟิงหลี!”