โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 485 - สังเวียนแรก
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.485 – สังเวียนแรก
แม้จะใหญ่โต แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเมืองลอยฟ้าก็ไม่เลวเลย จากสถานชุมชนเฟิงหลี มาถึงเมืองเฟิงหลี ข้ามผ่านสองรัฐ ใช้เวลาแค่สามวันสองคืนเท่านั้น
ณ เวลานี้ ทางสี่เมืองทะเลเหนือก็กำลังมีการคัดเลือกลูกรักของพระเจ้าอยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างจากเขตสามเฉิงก็คือ โควต้าของที่นี่ เริ่มต้นมีถึง 10 ตำแหน่ง ทั้งยังมีโควต้าแยกสำหรับตระกูลชั้นสูง
ปัจจุบัน ฉินเฟิงมีคนจำนวนมากอยู่ใต้อาณัติเขา
และประเด็นก็คือ คนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเลเวล E หรือผู้ใช้พลังเลเวล D จากกองทหารรับจ้างเฟิงหลี ทั้งหมดล้วนเป็นลูกน้องเขา
และในปัจจุบัน คนเหล่านี้ได้เข้าร่วมกับกลุ่มเฟิงหลีเป็นที่เรียบร้อย รวมไปถึงจิ่นเฟยเองก็เช่นกัน และในที่นี้ยังมีอีกหลายคนที่ไม่อ่อนแอเลย
ฉินเฟิงได้ทำการรวบรวมทีมที่จะเข้าร่วมงานทั้ง 10 คนอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินมาว่าฉินเฟิงสนใจงานประลองลูกรักของพระเจ้า เดิมงานประลองในอดีต ที่มักจะจัดขึ้นในเมืองนุ่ยเหมิง แต่ในปีนี้ เหมิงหลิน เสนอความคิดเห็นออกมา ว่าให้ย้ายไปจัดขึ้นในเมืองใหม่อย่างเฟิงหลีแทน
และฉินเฟิงก็ไม่คัดค้านอะไร
….
กลางเดือนกันยายน สภาพอากาศเริ่มอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ ฮอลศึกดัดแปลงกว่า 7 ลำ บรรทุกอัจฉริยะรุ่นเยาว์ 10 คน จากแต่ละทิศทาง มุ่งหน้าสู่เมืองเฟิงหลี
ภายในฮอลศึก ก้มมองไปยังผืนดินที่รกร้างภายนอก เด็กหนุ่มที่น่าจะอายุราวๆ 18 – 19 ปี ทว่าใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความดื้อรั้น ริมฝีปากพลันโค้งงอและกล่าว “เมืองเฟิงหลีบ้าอะไร มันชื่อปราการชาตงก็เรียกปราการชาตงไปสิ ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินว่าปราการแตกไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าตอนนี้เมืองใหม่จะมีสภาพน่าอนาถกว่าเดิมหรอกหรอ แล้วเจ้าผู้การรัฐคนใหม่นี่ยังไง จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนเชียว?”
เด็กๆเหล่านี้ไม่มีความเคารพต่อผู้การรัฐอย่างสิ้นเชิง
นั่นเพราะ บนฮอลศึกลำนี้ บรรทุกคนจากตระกูลวรยุทธโบราณชั้นสูง –ตระกูลตี๋
ผู้นำตระกูลของพวกเขาคือผู้ใช้พลังเลเวล C ดังนั้น กระทั่งเกาหยูคังคนก่อน แม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังถูกข่มอยู่ภายใต้ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ จนไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่เลยมิใช่หรือ?
ด้วยเหตุนี้ การที่ฉินเฟิงคิดสำแดงอิทธิพลของตน ตัดสินใจย้ายสถานที่จัดงาน มันเลยไม่ต่างไปจากการยั่วยนตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ
“ตี๋เฉิน หุบปากซะ” ผู้ใช้พลังเลเวล D คนเดียวในที่นี้ตวาดตำหนิทันที “เธอพูดได้แค่ที่นี่เท่านั้น พอพวกเราไปถึงเมืองเฟิงหลีแล้ว อย่าคิดสร้างปัญหาให้ฉันเดือดร้อนเด็ดขาด!”
หากฉินเฟิงอยู่ที่นี่ เขาคงรู้ได้ทันทีว่าคนที่ตวาดเมื่อครู่คือใคร
–เป็นตี๋เล่ย!
เมื่อครั้งสุสานเทพสงคราม เป็นอีกฝ่ายที่คิดปิดล้อมเขา
แต่สุดท้ายฉินเฟิงสามารถสังหารซงจินควง แหกวงล้อมบรรดาเลเวล D และตอนนี้ ฉินเฟิงได้มาถึงเลเวล C แล้ว คุณสามารถลองจินตนาการดูได้ ว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ท่วมท้นเพียงใด
งานประลองลูกรักของพระเจ้าในครั้งนี้ จัดขึ้นที่เมืองเฟิงหลี เห็นได้ชัดว่าหลายๆคนกำลังแสดงความปรารถนาดี ประจบฉินเฟิง
ในอดีตที่ผ่านมา แม้งานประลองจะจัดขึ้นที่เมืองนุ่ยเหมิง แต่ตั๋วค่าเข้าชม อันที่จริงมันมีการแบ่งปันส่วนแบ่งกับเมืองอื่นๆ รวมไปถึงตระกูลวรยุทธโบราณ และสัดส่วนที่ได้รับ ไม่เท่ากันทุกคน แต่อิงตามความแข็งแกร่ง
เลยเป็นธรรมดาที่คนจากตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณสามารถทำกำไรอย่างงาม
รุ่นเยาว์เหล่านี้ ถูกเริ่มวางรากฐานตั้งแต่ยังเด็กน้อย ดังนั้นหลังจากที่สามารถปลุกพลังได้ ร่างกายและจิตวิญญาณจึงพรั่งพร้อม เหมาะสมต่อการฝึกฝนกำลังภายใน พัฒนาการเป็นไปอย่างก้าวกระโดด
ดังนั้นสามารถไปถึงเลเวล E ได้ก่อนอายุ 20 ปี ได้อย่างง่ายดาย
แต่แน่นอน ว่าการไปถึงเลเวล D มันเป็นไปไม่ได้ เกรงว่าในเขตสี่เมืองทะเลเหนือ การที่ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณจะผลิตอัจฉริยะเช่นนั้นขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องทุ่มเททรัพยากรทั้งหมด มอบให้แก่รุ่นเยาว์เพียงคนเดียว
แต่พวกเขาไม่โหดร้ายใจดำต่อรุ่นเยาว์คนอื่นๆถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีอาวุโสในตระกูลบางคนคอยจับตาดูอยู่
อีกอย่าง เพียงแค่เพราะต้องการผลักดันรุ่นเยาว์ของตัวเองลงงานประลองลูกรักของพระเจ้า แลกกับการกระทำถึงขนาดนั้น มันไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
เดิมที งานประลองลูกรักพระเจ้าในครั้งนี้ คนที่เก่งกาจที่สุด คือซงหยวนจากตระกูลซง
แต่ซงหยวนตายแล้ว ตระกูลซงเองก็ถูกทำลายลงเช่นกัน นี่ทำให้ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณตระกูลอื่นผ่อนคลายขึ้นเยอะ
และในบรรดารุ่นนี้ คนที่มีพรสวรรค์รองลงมา ก็คือตี๋เฉิน
อายุเพียง 19 ปี แต่กลับทะยานขึ้นมาถึงเลเวล E3 มีศักยภาพเป็นถึงสวรรค์โปรดปราน
แน่นอน เนื่องเพราะตนเองแข็งแกร่ง ตี๋เฉินเลยมีความหยิ่งผยองเป็นนิสัย
“ลุงเล่ย ทำไมลุงถึงได้ดูกลัวฉินเฟิงจัง? ถ้าลุงพูดแบบนี้ต่อหน้าคนนอก มันจะไม่เป็นการเสียศักดิ์ศรีตระกูลตี๋ของพวกเราหรือ!”
“ก็แล้วศักดิ์ศรีกับชีวิต อันไหนมันสำคัญกว่ากัน? และอีกอย่าง อย่าเอ่ยชื่อเจ้าหมอนั่นห้วนๆ อย่างเรียกเขาแบบนั้นเด็ดขาด!” ตี๋เล่ยกล่าวเสียงจม
ตี๋เฉินเบ้ปาก เขารู้สึกว่าตี๋เล่ยช่างน่าเบื่อนัก
“ต้องถ่อมาไกลถึงขนาดนี้ ในเมืองคงบ้านนอก ไม่ดีเท่ากับนุ่ยเหมิง พอไปถึงพวกเราคงได้กัดทรายกินก่อนงานประลอง”
ตี๋เฉินหัวเราะเย็นชา แนวสายตากวาดมองนอกหน้าต่าง ท่าทีเบื่อหน่ายเล็กน้อย แต่จู่ๆเขาก็พลันแข็งค้างไป!
ราวกับเส้นแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจน จู่ๆปรากฏกำแพงกว้างขวางขึ้นในสายตา และในทุกๆ 30 เมตร จะถูกติดตั้งไว้ด้วยปืนใหญ่พลังงานคริสตัล
เบื้องหลังกำแพงเมือง คือทุ่งน่าเขียวชอุ่ม กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
นอกจากนี้ ยังมีหอคอยตั้งเรียงรายท่ามกลางทุ่งนาจำนวนมาก บนหอคอยแต่ละแห่ง ล้วนติดตั้งปืนใหญ่พลังงานคริสตัลที่ทรงพลังเอาไว้ เพื่อเตรียมรับมือกับสัตว์ร้าย
ยังไม่พอ นาข้าวยังเป็นแบบพื้นที่ต่างระดับ เมื่อผ่านตามเส้นทางมาเล็กน้อย คุณจะสามารถเห็นกำแพงเมืองอีกชั้น
สำหรับการปลูกสร้างแบบนี้ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในยุคโลกาวินาศ เพราะมันคือสัญญาณที่บ่งบอกถึงการขยายตัวของเมือง
แต่ว่าที่นี่ พวกเขากลับพบเจอกับกำแพงเมือง คอยกั้นเป็นชั้น เป็นชั้นนับสิบขั้น
ทุกคนตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น
–เมืองเฟิงหลีแห่งนี้ ใหญ่โตถึงขนาดมีกำแพงนับสิบชั้นเชียวหรือ?
พวกเขาบินมาเป็นเวลากว่า 3 นาที ก็ยังไม่สามารถขับผ่านทุ่งน่าไปได้ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ทะเลทรายทะเลเหนือที่เดิมทีสมควรเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ตอนนี้กลับไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดโผล่มาสร้างปัญหาเลย
หลังลอยลำผ่านกำแพงยักษ์ พื้นที่เมืองใหญ่ก็เริ่มปรากฏสู่สายตาของพวกเขา
ระหว่างทางพวกเขาบังเอิญขับผ่านประตูเมือง เห็นเพียงสามตัวอักษรใหญ่สลักเอาไว้
เมืองเฟิงหลี!
ห่างจากประตูเมืองเฟิงหลี 50 เมตร ปรากฏฮอลศึกนับไม่ถ้วนจอดทิ้งไว้ และบนลำของยาน ยังมีอักษรตัวใหญ่สลักว่า
【ผลิตโดยเฟิงหลี!】
ตี๋เล่ยสูดหายใจลึก
“กลุ่มเฟิงหลี เริ่มผลิตฮอลศึกดัดแปลงแล้วงั้นหรือ?”
“นี่ … ก็ของเมืองเฟิงหลีงั้นหรอ” ตี่เฉิน บังเกิดความรู้สึกว่า ประโยคที่เขาพูดก่อนหน้านี้ ดั่งฝ่ามือตบฉาดเข้าใส่ใบหน้าตนเอง
ได้กินทรายบ้าอะไรกัน ที่นี่มันโอเอซิสกลางทะเลทรายชัดๆ!
คนจากเฟิงหลี นำทางเหล่าอัจฉริยะเหล่านี้ไปพักในโรงแรมเป็นเวลาหนึ่งคืน เพื่อปรับสภาวะของพวกเขา อีกทั้งยังคอยเฝ้ายาม ป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้มีเจตนาร้ายแอบแฝง ลักลอบออกไป ผู้มาเยือนทำได้เพียงเฝ้ามองแสงไฟยามค่ำคืนจากนอกหน้าต่าง ซึมซับถึงความรุ่งเรืองและชีวิตชีวาของเมืองเฟิงหลี
วันถัดมา เมืองเฟิงหลีได้ส่งหานน่วนมาทักทายพวกรุ่นเยาว์
“อัจฉริยะที่รักทุกท่าน ฉันจะนำทางพวกคุณไปยังสังเวียนต่อสู้ คนที่ทางเมืองเฟิงหลีคัดเลือกมา ได้รอคุณอยู่ก่อนแล้ว” เมื่อหานน่วนเอ่ยถึงผู้คัดเลือก ปรากฏรอยยิ้มแปลกๆขึ้นบนมุมปากของเธอ
คนอื่นๆไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ พวกเขาพยายามทำใจให้สงบ แล้วขับรถขึ้นไปยังสังเวียน
สังเวียนต่อสู้แห่งนี้ถูกออกแบบโดยฉินเฟิง ก่อนเกิดใหม่ เขาตระหนักดีถึงจุดเด่นของเวทีประลองทั้งหมด ดังนั้นเลยสร้างให้มันใหญ่โต เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างดีที่สุด
เป็นผลให้เหล่าอัจฉริยะจากสี่เมือง และสามตระกูลชั้นสูงต้องตกตะลึงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็สามารถเบนสมาธิมาจมอยู่กับการประลองได้อย่างรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับทุกท่าน กรุณาก้าวออกมา และทำการจับฉลากแบบสุ่ม การประลองจะถูกแบ่งออกเป็นสามเกม และผู้แพ้จะถูกตัดสิทธิ์ทันที”
ฉลากทั้งหมดถูกจัดทำโดยฝูงชน ดังนั้นไม่มีกลโกงใดๆ
และเป็นตี๋เฉินที่จับได้หมายเลข 1 อย่างไม่คาดฝัน
“ฮึ ฉันได้ขึ้นสังเวียนเป็นคนแรกงั้นหรอ? แล้วไหนล่ะ คู่ต่อสู้ของฉัน!” ตี๋เฉินแสยะยิ้มหยัน เอ่ยอย่างภาคภูมิ
ในขณะนั้นเอง บนหน้าจอขนาดใหญ่ รายชื่อการประลองปรากฏขึ้น
【รอบแรก , ตี๋เฉิน VS ฉินเฟิง!】