โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 516 - จิ้งจอกน้อยเอ่ยขอ
Ep.516 – จิ้งจอกน้อยเอ่ยขอ
“ในเมื่อมันคืออาวุธเทวะประเภทมิติ งั้นฉันขอถามคุณหน่อยจะได้ไหม ว่ามันสามารถทำลายพื้นที่มิติได้ถึงระดับไหน? เป็นไปได้รึเปล่าที่จะใช้ปิดรอยแยกมิติในป่าหยวน?” ผู้ใช้อบิลิตี้ไม้เอ่ยถามอย่างกะทันหัน
เมื่อประโยคนี้หลุดออก ดวงตาของทุกคนพลันเปล่งประกายสดใส จ้องมองไป๋หลีเป็นสายตาเดียว
หัวใจของพวกเขาในเวลานี้ เต้นครึกโครมราวกับถูกกระหน่ำซัด
กระทั่งซางฮัน ก็ยังจินตนาการเลยเถิดไปไกล
ว่าหากสามารถปิดรอยแยกมิติได้จริงๆ เช่นนั้นก็หมายความว่า รอยแยกมิติทุกแห่งก็สามารถปิดได้เช่นกันใช่หรือไม่?
ถึงเวลานั้น บนโลกใบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องทานรับการรุกรานจากต่างมิติอีกต่อไป!
ความคิดดังกล่าวปรากฏขึ้น ผู้คนเลยรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ไป๋หลีส่งพลังสมาธิของเธอ เอ่ยถามฉินเฟิง
“คุณอยากให้ฉันพูดเรื่องนี้ไหม?”
“แต่มิติที่นี่มันไม่เสถียรไม่ใช่หรอ เธอสามารถซ่อมแซม หรือปิดรอยแยกมิติที่นี่ได้จริงๆ?” ฉินเฟิงส่งพลังสมาธิเอ่ยถามกลับไป
“ใช่ ฉันสามารถทำได้ แต่คงต้องจ่ายออกด้วยราคาที่เหมาะสม เสียพลังงานไปเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าคุณอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์ของหุบเหวตอนเหนือแล้วล่ะก็ เรื่องนั้นฉันสามารถช่วยทำได้ง่ายๆ” ไป๋หลีตอบกลับ
ความคิดวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว “งั้นเธอบอกซางฮันกับคนอื่นๆไป ว่าสามารถทำให้ที่นี่เป็นเหมือนกับหุบเหวทางตอนเหนือได้”
“ตกลง เชื่อมือฉันได้เลย”
พลังสมาธิของทั้งสองสื่อสารกันอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใด การสื่อสารเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา
และที่แสดงออกไปต่อหน้าฝูงชน มีเพียงดวงตาสีขาวที่เปล่งประกายสดใส ทำทีคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างออก ไป๋หลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับเทพเจ้า “หลังจากที่ฉันได้รับอาวุธเทวะประเภทมิติมา ฉันได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับมันอยู่นาน ทำให้มีความรู้เรื่องมิติอยู่พอสมควร อาจพูดได้ว่า ในแง่ของอักษรรูนมิติ ฉันอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้ว”
ซางฮันรู้สึกตื่นเต้นมากในเวลานี้ โดยไม่คำนึงถึงสถานะเลเวล A ของเธอ เจ้าตัวเอ่ยกับไป๋หลีด้วยความเคารพ ไม่ใช้น้ำเสียงสบายๆเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
“ไม่ผิดแล้ว เพราะวิธีการที่ปรมาจารย์ไป๋ แสดงออกมาเมื่อครู่ มันทำให้พวกเราตกใจมากจริงๆ”
สังหารราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล B ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ทั้งยังใช้เวลาไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ
วิธีการดังกล่าว ยังไม่พอให้อธิบายทุกอย่างอีกหรือ?
ไป๋หลีมองไปยังท่าทีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของซางฮัน เธอพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าว “มิติที่ตั้งอยู่ในป่าหยวน ค่อนข้างยุ่งเหยิง มันคือมิติที่ผิดปกติ ฉะนั้น ฉันอยากให้ลองจินตนาการตาม ให้ถือซะว่าโลกใบนี้เป็นมิติหนึ่ง , แต่ละมิติเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม แต่ในบางตำแหน่ง มักเกิดความผิดปกติขึ้น ปรากฏในรูปลักษณ์ของหลุมมิติ ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสองมิติเข้าด้วยกัน”
“ดังนั้น ต่อให้หลุมมิติทางฝั่งโลกได้รับการซ่อมแซม แต่หลุมมิติอีกด้านหนึ่งไม่ได้ถูกซ่อมแซมไปด้วย สุดท้ายแม้จะปิดรอยแยกมิติตรงนี้ได้ แต่ก็จะเกิดรอยแยกมิติขึ้นในจุดอื่นอยู่ดี เช่นเป็นนี้ไปเรื่อยๆ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายนี้ ทั้งห้าคนที่เหลือต่างพยักหน้า แม้พวกเขาทั้งหมดจะพอคาดเดาเกี่ยวกับหลักการของอักษรรูนมิติได้ แต่ก็ยังไม่มีใครมั่นใจ ในขณะที่คำอธิบายของไป๋หลี เห็นได้ชัดว่ามีเอกลักษณ์ หลักแหลมและลึกซึ้งมาก
“แล้วพอจะมีวิธีใดบ้าง ถึงจะสามารถปิดหลุมมิติตรงตำแหน่งนี้ได้?” ซางฮันเอ่ยถามด้วยความกังวล
ไป๋หลีกล่าว “มิติสามารถซ่อมแซมและรักษาเสถียรภาพได้เท่านั้น ขณะเดียวกันรูนมิติที่หายไป มันยากจะนำกลับคืนมา และรูนมิติของตำแหน่งนี้ ฉันคิดว่ามันหลุดหายไปนานมากแล้ว และไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ”
“ฉันไม่ใช่มนุษย์ที่ใช้อบิลิตี้มิติ แต่คือมนุษย์ที่ยืมอาวุธเทวะประเภทมิติมาใช้งาน ดังนั้นคงช่วยไม่ได้หรอก”
ไป๋หลีใช้คำพูดชุบตนเองจนสะอาดเอี่ยม ซางฮันและอีกสี่คนที่เหลือไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย ทั้งหมดกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า สมควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ
แม้จะผิดหวังเล็กน้อย แต่แน่นอนที่มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากไป๋หลีสามารถเรียกคืนความสงบให้แก่รอยแยกมิติได้จริงๆ นั่นคงเป็นข่าวใหญ่ที่น่าตกใจไปแล้ว เพราะมันคือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของมนุษยชาติได้
ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนที่จะได้รับความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ฉินเฟิงเลยไม่มีแผนที่จะเปิดเผยความสามารถของไป๋หลี
แน่นอน ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย
ไป๋หลีมองไปยังท่าทีผิดหวังเล็กน้อยของทุกคน ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ เอ่ยปากอีกครั้ง “แต่ว่านะ ฉันเคยไปสำรวจที่หุบเหวตอนเหนือของพวกคุณมาก่อน มิติของที่นั่นดีมากๆเลย แม้จะปิดรอยแยกมิติไม่ได้ แต่ฉันสามารถทำให้มิติในป่าหยวนแห่งนี้ มีความเสถียรพอๆกับหุบเหวตอนเหนือได้ แน่นอน ว่ามันอาจจำเป็นต้องใช้วัตถุบางอย่างสักเล็กๆน้อยๆ … ”
ขณะนั้นเอง ดวงตาของซางฮันเปล่งประกายสดใส เอ่ยปากทันที “ปรมาจารย์ไป๋ ถึงมันจะทำให้คุณรู้สึกลำบากใจ แต่หากคุณมีสิ่งใดที่ต้องการ ขอแค่เปิดปากพูดมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ภูมิภาคทางเหนือของพวกเรา ยินดีรับใช้สุดกำลัง!”
ไป๋หลีพอได้ยินคำพูดของซางฮัน จะมัวเกรงอกเกรงใจอยู่ได้อย่างไร? เอ่ยขอสิ่งที่ใจคิดโดยตรง “ตกลง งั้นขอแก่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล C มาให้ฉันสัก 180 ก้อน , แก่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล B สัก 50 ก้อน , และแก่นจักรพรรดิเลเวล A … อื้อ อื้อ อื้อ”
ฉินเฟิงยกมือขึ้นปิดปากจิ้งจอกตัวน้อย แต่ตะกละอย่างกับสิงโตทันที ไม่รอให้เธอพูดจบ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เธอแค่ล้อคุณเล่น ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องสนใจหรอก!” ฉินเฟิงกล่าว
ทว่าสีหน้าของซางฮันกลับยังคงจริงจัง “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยในอนาคตของเมืองเป่ยหัว และอาจรวมไปถึงความปลอดภัยของทั้งภูมิภาคทางเหนือ มันจะเป็นเรื่องตลกไปได้อย่างไร? สำหรับแก่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล C ในคลังสินค้ามีไม่มากนัก แต่น่าจะมีมากถึง 50 ก้อนอยู่ที่นั่น ส่วนแก่นจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล B ปัจจุบันมีอยู่ในคลัง 10 ก้อน แต่หากคุณต้องการมากกว่านี้ ฉันจะเป็นคนออกล่าด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าจำนวนเท่านี้ เพียงพอหรือไม่?”
ฉินเฟิงพูดไม่ออก เขาไม่คิดเลยสักนิด ว่าซางฮันจะจริงจังกับมันจริงๆ ทั้งยังยอมรับเงื่อนไขด้วยความเต็มใจ
แต่เมื่อลองทบทวนดูอีกครั้ง ฉินเฟิงก็เข้าใจ เพราะซางฮันไม่ทราบว่าแก่นจักรพรรดิเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ทำอะไร เธอคงคิดว่ามันมีผลต่อการรักษาเสถียรภาพของมิติ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง มันคืออาหารสำหรับจิ้งจอกน้อยเท่านั้น
ไป๋หลีดึงมือของฉินเฟิงออก กลอกดวงตาสีขาวของเธอใส่เขาและกล่าว “ก็น่าจะพอ!”
ซางฮันจดจำพวกมันลงในหัวใจ แม้สิ่งเหล่านี้จะมีมูลค่าชนิดหักกระดูกของเมืองเป่ยหัว แต่กระนั้น หากเทียบกับผู้ใช้พลังที่ต้องตายทุกปีจากกองทัพสัตว์ร้ายของป่าหยวนแล้ว มันไม่นับเป็นสิ่งใด
หากสามารถเปลี่ยนที่นี่ ให้กลายเป็นการดำรงอยู่เช่นเดียวกับหุบเหวทางตอนเหนือ บางที อาจสามารถพัฒนามันไปอีกขั้น ให้กลายเป็นสร้างกำไรก็ยังได้!
“ตกลง หลังจากกลับไป ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เอง ว่าแต่คุณต้องการคนคอยช่วยเหลือรึเปล่า?” ซางฮันเอ่ยถาม
ไป๋หลีส่ายมือปฏิเสธโดยตรง “พวกเขาอ่อนแอเกินไป ขอแค่มีฉินเฟิงอยู่ด้วยคนเดียวก็พอแล้ว อย่าให้ต้องลำบากเลย”
เห็นได้ชัดว่าซางฮันและคนอื่นๆ ไม่อยู่ในสายตาของไป๋หลี
ผู้ใช้พลังอีกสี่คน รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
หากเป็นก่อนมาที่นี่ แล้วไป๋หลีพ่นคำเหล่านี้ออกมา เลเวล B เหล่านี้คงโกรธแค้น และสั่งสอนเธอไปแล้ว แต่หลังจากที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของฉินเฟิง พวกเขายังกล้าพูดอะไรอีกเล่า?
‘เป็นอย่างที่ไป๋หลีพูด ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงเดินสบายๆไปตลอดทาง เดิมทีฉันคิดว่าไป๋หลีไร้เดียงสา ทั้งยังคิดว่าผู้การฉินไม่ทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ นำดอกไม้ประดับแจกันมาด้วย แต่ตอนนี้รู้ตัวแล้ว ว่าดวงตาของฉันมันมืดบอดขนาดไหน ช่างโง่เขลาจริงๆที่มองคนผิดไป’
‘ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ไป๋หลีจะคุ้นเคยอยู่แล้ว ดังนั้นเลยเอ่ยวาจาไร้เยื่อใย ตัดสัมพันธ์กับพวกเรา … ‘
‘คู่รักตัวน้อย แต่ความแข็งแกร่งกลับไม่น้อยเลย!’
ในหัวใจของฝูงชนเกิดความคิดไปต่างๆนาๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไป
น้ำเสียงของฉินเฟิงอ่อนโยนลง และกล่าว “ปล่อยให้ไป๋หลีกับผมอยู่ที่นี่ดีกว่า เพราะอีกไม่กี่วันจะเกิดการรุกรานจากกองทัพสัตว์ร้ายแล้ว ดังนั้นขอผมได้สำรวจรอยแยกเสียหน่อย แล้วจะตามกลับไปในภายหลัง จากนั้นคุณก็ลองมาสำรวจดูที่นี่ในอีกสามวันให้หลังก็ได้”
“เข้าใจแล้ว แต่หลังจากสามวัน ฉันกลัวว่าจะไม่สามารถทำให้ที่นี่เป็นเหมือนกับหุบเหวตอนเหนือได้ เรื่องนี้คงไว้ใจคุณได้ใช่ไหม?”
“แน่นอน!”
ฉินเฟิงขี้เกียจอธิบายให้มากความ เรื่องเหล่านี้ เอาไว้ค่อยพูดคุยกันในภายหลัง ตอนนี้ เอาเป็นว่าภารกิจสำรวจในวันนี้ เสร็จสิ้นแล้วก็พอ
อีกอย่าง ฉินเฟิงไม่สามารถปล่อยให้ไป๋หลีซ่อมแซมรอยแยกมิติแห่งนี้ได้ในทันที ไม่อย่างนั้น จะอธิบายอย่างไรในตอนที่ซางฮันนำแก่นจักรพรรดิมามอบให้?