โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 543 - มิติของเผ่าวิญญาณที่ล่มสลาย
Ep.543 – มิติของเผ่าวิญญาณที่ล่มสลาย
ทว่าอาศัยเพียงกำลังของคนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังไม่เพียงพอ!
ฉากในอดีตวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของฉินเฟิง อิงตามช่วงเวลาปัจจุบัน โดยประมาณอีกสามปีต่อมา น่าจะมีเผ่ามนุษย์จากต่างมิติเดินทางลี้ภัยมายังโลก จากนั้นก็ได้มีการเรียกร้องให้จัดการดูแลมนมุษย์กลุ่มนั้น
ช่วงเวลาที่กล่าวถึง ฉินเฟิงอยู่ในเลเวล B มิได้เข้าร่วมกับพันธมิตรมนุษยชาติ แต่ว่ากันว่าพันธมิตรมนุษย์ประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้นานมากๆ และสุดท้ายก็เห็นด้วยกับความคิดของตัวตนทรงอำนาจ ส่งผลให้ไม่นาน ประชากรส่วนใหญ่ที่ลี้ภัยมาได้หายไป
สุดท้ายปรากฏว่า พวกเขาทั้งหมดไปตกอยู่ในเงื้อมมือของพันธมิตรองค์กรมืด
ซึ่งในตอนนี้ พอลองกลับมาย้อนคิดดูดีๆแล้ว ฉินเฟิงมีว่ามีมูลมากพอที่จะสงสัย ว่าคนธรรมดาเหล่านั้น ทั้งหมดคงถูกพวกตัวตนทรงอำนาจขายไปใช่หรือไม่?
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เรียกกันว่าเผ่ามนุษย์เลือดบริสุทธิ์ แม้สำหรับเผ่าพันธุ์อื่นๆ พวกเขาคือทาส แต่สำหรับเผ่ามนุษย์ด้วยกัน พวกเขาคือหนูทดลองชั้นดี
สีหน้าของฉินเฟิง ยิ่งนึกก็ยิ่งมืดมน
ฉินเฟิงเอ่ยคำถามสุดท้าย “พวกแกใช้วิธีอะไรสำรวจมิติอื่นๆ เพราะฉันขอเดาว่ามิติของพวกแก ไม่น่าจะเป็นมิติที่แข็งแกร่งที่สุด พวกแกมีวิธีอะไร ถึงสามารถหลบเลี่ยงเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่าไม่ให้มารุกรานมิติของตัวเองได้?”
เผ่ามังกรเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่สวรรค์โปรนปราน มิติที่พวกเขาอาศัยอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าของฉินเฟิง ส่งผลให้สามารถครอบครองความแข็งแกร่งที่มากกว่า ทฤษฏีเหล่านี้ มีเขียนไว้ในตำราตั้งนานแล้ว
“ทุกมิติแยกกันเป็นอิสระ ยกเว้นในช่วงเวลาหนึ่งที่มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ไปทับซ้อนกับพลังงานของอีกมิติหนึ่ง จากนั้นมิติจะเกิดความผันผวนในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลให้นักบุกเบิกจากดินแดนอื่นสามารถบุกเข้ามาสำรวจได้”
ภาพของเผ่ากริมวาบเข้ามาในหัวของฉินเฟิง
เผ่ามังกรกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องวิธีบุกต่างมิติที่นายท่านถามถึง เรื่องนั้นต้องระมัดระวังให้มาก เพราะสุดท้าย ยามมิติเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลง อีกฝั่งที่มิติของเราเข้าไปซ้อนทับ อาจเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงพลังก็ได้ … แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งเช่นนายท่าน คงไม่ต้องกังวลอะไร”
ไอ้เผ่ามังกรตัวนี้ ได้โอกาสก็เลียแข้งเลียขาเขา เห็นได้ชัดว่ามันต้องการให้ฉินเฟิงปล่อยตนเองไป
ฉินเฟิงยิ้มหยัน เอ่ยอีกหลายคำถามที่ตนไม่รู้ เช่นที่มาของสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณต่างมิติคืออะไร ขณะที่บางประเด็น เผ่ามังกรไม่สามารถตอบคำถามได้
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาของเผ่ามังกรตัวนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี
เป๊าะ!
ฉินเฟิงฉกมือ ถ่ายเทกำลังภายในออกไป หักคออีกฝ่าย จบชีวิตมันลงโดยตรง
แม้เผ่ามังกรจะตอบคำถามโดยดี เชื่อฟังว่าง่ายแต่มิควรสงสาร ฉินเฟิงไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายไปได้ เพราะมันรู้แล้วว่าเขาเป็นมนุษย์เลือดบริสุทธิ์ หากมันกลับไปแล้วเรียกตัวตนทรงพลังของเผ่ามา และดันสัมผัสได้ถึงตำแหน่งมิติของพวกตน คงมิแคล้วเกิดหายนะ!
“แต่พวกหลงกันก็เป็นมนุษย์เลือดบริสุทธิ์เหมือนกัน ถ้าพวกเขาถูกจับได้ แบบนั้นมันจะไม่แย่หรอ?”
“แต่พวกเขามีตัวเชื่อมมิติ ดังนั้นน่าจะสามารถหนีได้ทันทีที่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามาจากเมืองหลวงมังกร สมควรมีความรู้และข้อมูลพวกนี้มากกว่าฉัน”
“อ้ายโตวที่มาจากสี่ภูมิภาคเองก็อยู่ด้วยกันกับอัจฉริยะจากกเมืองหลวงมังกรอีกคนหนึ่ง คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร”
เมื่อได้ข้อสรุปของเรื่องนี้ ฉินเฟิงจึงค่อยรู้สึกวางใจ
แน่นอน ถึงจะวางใจแต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะเขายังคงมีอีกหลายคำถามในหัวใจ
อย่างตอนพวกกริมถูกทำลายในช่วงแรก ผลกระทบจากปรากฏการผีเสื้อขยับปีกของตนเอง ทำให้เผ่ากริมบุกเข้ามาโจมตีระลอกสองเป็นกองทัพใหญ่ ดังนั้นก็อาจมีระลอกสาม
แต่ในตอนนี้ เขาได้รับคำอธิบายแล้ว แม้ไป๋หลีที่เชี่ยวชาญเรื่องมิติจะไม่พูด แต่ฉินเฟิงคิดว่าเผ่ากริมน่าจะเกิดความหวาดกลัวในมิติมนุษย์ ตัดสินใจยกเลิกส่งกองกำลังเข้ามาอีก
แต่กระนั้น หากมิติโลกมนุษย์ของเราเกิดการทับซ้อนอีกครั้ง มิใช่หมายความว่าในอนาคต มักจะชักนำเผ่าพันธุ์ทรงพลังเข้ามาอีกหรอ?
สำหรับประเด็นนี้ ฉินเฟิงเคยได้ยินคำเล่าลือมามากมาย ตอนแรกก็สงสัย แต่เวลานี้ เขาเกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ในมันแล้ว
“ตัวตนทรงอำนาจ ในดินแดนมนุษย์ของเรา ยังถือว่าขาดแคลน!”
ถ้าอย่างงั้นแล้วตัวเขาล่ะ จะสามารถเป็นตัวตนทรงอำนาจได้ไหม?
จริงอยู่ว่าฉินเฟิงไม่ต้องการเป็นอะไรอย่างพวกซูปเปอร์ฮีโร่ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คนของเขา , เมืองที่เขาดูแล วันหนึ่งจะมีคนถูกลักพาตัวไปทำการทดลองโดยองค์กร Z เหมือนกับตนเอง –ฉินเฟิงไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับองค์กร Z ได้จริงๆ!
“เฮ้อ … ” ฉินเฟิงผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ “ไม่ว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไง ตัวฉันก็จะทำเหมือนที่เคยเป็น นั่นคือตั้งใจยกระดับความแข็งแกร่ง วิวัฒเป็นตัวตนทรงพลัง จะได้ไม่มีใครกล้าขัดแย้ง และสามารถทำสิ่งที่ปรารถนาได้อย่างเต็มที่!”
เมื่อนึกได้ดังนี้ ฉินเฟิงก็สลัดความคิดยุ่งเหยิงในหัว และมองไปข้างหน้า สายตาตกลงบนเครื่องจักรที่เผ่ามังกรและเผ่าทะเลกำลังต่อสู้กันก่อนหน้านี้
ฉินเฟิงหงายฝ่ามือ ดีดนิ้วออกไป ส่งกำลังภายในแหวกฝ่าอากาศ กระแทกเข้าใส่เครื่องจักรชิ้นนั้น
แทบจะในทันที พลังงานบนเครื่องจักรเกิดการระเบิด วิญญาณต่างมิติปรากฏกายออกมา
ก่อนหน้านี้มันมีอย่างน้อยหลายสิบตน แต่เผ่ามังกรกำจัดไปแล้ว ฉะนั้นเหลืออีกแปด ฉินเฟิงไม่เสียเวลา สาดอบิลิตี้ดุร้ายโดยตรง ทำลายพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว
วิญญาณต่างมิติเหล่านี้ หากอิงตามที่เผ่ามังกรอธิบาย พวกมันคือศพของเผ่าพันธุ์ทรงพลังที่ตายไปแล้ว
มิติแห่งนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมขั้นสูง มีกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่พิเศษเคยอาศัยอยู่ เรียกกันว่าเผ่าวิญญาณ!
เผ่าวิญญาณคือผู้เชี่ยวชาญในด้านการฝึกฝนจิตวิญญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าพลังสมาธิ แต่ร่างกายกลับอ่อนแอ บอบบางมาก ดังนั้นอุปกรณ์รูนจึงรับหน้าที่หลักเป็นเกราะป้องกันพวกเขา และเนื่องจากครอบครองพลังสมาธิอันแข็งแกร่ง เทคโนโลยีของพวกเขาจึงเกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด
แต่เผ่าพันธุ์ดังกล่าว สุดท้ายก็สูญพันธ์ และซากปรักหักพังเหล่านี้ คือเมืองหลวงที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในครั้งอดีต!
และช่างน่าสงสาร แม้ทุกอย่างจะล่มสลายลงแล้ว แต่วิญญาณที่ต้องตายกลับไม่ตาย ยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ กระทั่งมิติของตนเองก็ยังกลายเป็นเขตแดนพิเศษ ที่จะเปิดเพียงครั้งเดียวในแต่ละปี
เทคโนโลยีและวิธีการฝึกฝนพลังสมาธิของพวกเขาเป็ฯอะไรที่ยอดเยี่ยม แต่สิ่งสำคัญก็คือ เกราะศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่ามังกรกับเผ่าทะเลพูดถึง
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าไอ้เกราะศักดิ์สิทธิ์นั่นมันเป็นเรื่องบ้าอะไร ไม่แน่ว่าตัวฉันก็คงไม่สามารถได้รับมันเช่นกัน แต่เทคโนโลยีอื่นๆของที่นี่ คงจะดีถ้านำมันกลับไป”
หากนำวิธีการฝึกฝนพลังสมาธิ , วิธีฝึกกระบวนท่าวรยุทธหรืออบิลิตี้กลับไป ก็คงมีคนไม่มากที่สามารถเรียนรู้มันได้ แต่หากนำเทคโนโลยีกลับไป คงสามารถใช้มันเกิดความเปลี่ยนแปลงได้มากมาย
อย่างน้อยในตอนนี้ฉินเฟิงก็เป็นประธานกลุ่มเฟิงหลี ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับเทคโนโลยีและอาวุธปืนเป็นอย่างมาก
เพราะสุดท้ายสิ่งต่างๆเหล่านี้ หากได้รับการศึกษา ฉินเฟิงสามารถนำมันไปขายได้ทั่วโลก แต่สำหรับวิธีการฝึกฝน แม้จะเป็นของดี แต่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้อย่างเต็มที่
อย่างหลังล้ำค่ามากเกินไป มันอาจไปกระตุ้นเส้นสมอง ดึงดูดความสนใจของพวกระดับสูงก็ได้
ระหว่างขบคิด ฉินเฟิงค่อยๆก้าวเดินตรงไปยังเครื่องจักรที่ดูหรูหรา ก่อนเริ่มกระชากมันที่จมลึกขึ้นจากพื้นอย่างแรง
เขาพบว่าเครื่องจักรนี้ยาวอย่างน้อยสิบเมตร ปรากฏว่ามันมีรูปลักษณ์ทรงไข่
อีกปลายด้านหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าแตกออก
‘นี่อาจเป็นยานอวกาศหรืออะไรสักอย่าง แต่ที่แน่ๆมันสามารถบรรทุกคนได้’ เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินเฟิงก็ขอให้ไป๋หลีเก็บสิ่งนี้ไป
แนวสายตาของฉินเฟิงกวาดสำรวจต่อ ก่อนตกลงในมุมๆหนึ่งของซากปรักหักพัง เขามิได้กล่าวคำใด สุดท้ายเดินไปอีกทาง
ขณะนั้นเอง หลายสิ่งมีชีวิตที่ซุ่มซ่อนอยู่ที่นั่น ใบหน้าพลันกลายเป็นซีดขาว
“อย่าบอกนะว่าเจ้ามนุษย์นั่นเห็นพวกเรา?”
“ไม่ผิดแล้ว ต้องเห็นแน่ๆ มนุษย์คนนั้นทรงพลังถึงขั้นสามารถฆ่าเผ่ามังกรได้เชียวนะ จะไม่รู้สึกถึงพวกเราได้ยังไง!”
“แต่เขาไม่สนใจพวกเรา นับว่าโชคดีแล้ว!”
“รีบไปกันเถอะ และจากนี้ถ้าเจอเขา พยายามอยู่ห่างๆเอาไว้”