โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 552 - ดาวศักดิ์สิทธิ์
Ep. 552 – ดาวศักดิ์สิทธิ์
คราวก่อนที่ตัวตนทรงพลังของเผ่าหินเหล็กจบชีวิตลง แต่ไป่หยูกลับไม่มีท่าทีเดือดร้อนเลย ตรงกันข้าม การร่วมมือในครั้งนั้น กลับทำให้ทีมของไป่หยู ขยับขยายขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เทคนิคในการหว่านล้อมของผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกชื่นชมเล็กน้อย
แน่นอน ว่านอกจากการหว่านล้อมแล้ว ยังมีเรื่องความสามารถเข้ามาเกี่ยวข้อง ไป่หยูเป็นคนเผ่าสวรรค์ เธอเกิดมาพร้อมกับธาตุแสง และตัวตนดังกล่าว ในพันธมิตรมนุษย์ นอกเหนือไปจากสถานะผู้ใช้อบิลิตี้แล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่ง นั่นคือผู้รักษา!
ความสามารถของรูนแสงของเธอทรงพลังมาก ต่อให้ถูกทำร้ายจนเนื้อตาย บาดลึกถึงกระดูกก็ยังสามารถรักษาได้ แม้ลูกรักของพระเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่มิใช่เป็นอมตะ ดังนั้นเลยมีหลายคนตัดสินใจติดตามไป่หยู ร่วมมือกัน
และในเวลานี้ ทีมที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ที่เพิ่งจบลง กำลังพักผ่อนอยู่
“คนพวกนี้ เป็นคนกลุ่มรุ่นเยาว์ธรรมดา ไม่รู้ข้อมูลที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับมิติล่มสลายของเผ่าวิญญาณ” พลังสมาธิของไป่หยูส่งคำพูดออกมา สายตาของเธอจ้องมองไปยังเผ่าพันธุ์ในค่าย
อีกฝ่ายที่เหมือนจะเป็นลูกรักของพระเจ้าเผ่ามังกร ครอบครองความแข็งแกร่งในเลเวล C4 ส่งเสียงฮึฮะผ่านพลังสมาธิสวนกลับไป
“มิติล่มสลายของเผ่าวิญญาณ สามารถอยู่ได้แค่ 15 วันเท่านั้น พอผ่านไปครบ 15 วัน ช่องว่างมิติจะถูกปิดกั้น ถึงเวลานั้น อยากจะออกไปแค่ไหนก็ทำไม่ได้ และคืนนี้ ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้ว!”
“แต่ก่อนหน้านั้น เกราะศักดิ์สิทธิ์จะทำการเลือกเจ้าของใหม่ แต่ฉันไม่รู้ว่าในครั้งนี้ จะมีคนสามารถทำได้สำเร็จรึเปล่า”
“ไม่สำเร็จสิดี เกราะศักดิ์สิทธ์จะได้ตกเป็นของเรา”
ฉินเฟิงที่ใช้โอบกอดทมิฬปิดซ่อนตัวตนและกลิ่นอาย พอได้ยินข้อมูลนี้ สองคิ้วก็ขมวดมุ่น
เพราะข้อมูลของคนพวกนี้ ฉินเฟิงไม่เคยได้ยินมันมาก่อน
เขาหันไปพยักหน้าให้ไป๋หลี ทั้งสองเทเลพอร์ตอีกครั้ง หายวับไปจากที่ซ่อน มาโผล่อีกทีในตึกร้างแห่งหนึ่ง หลังจากกวาดพลังสมาธิออกไป และพบว่าไม่มีคนอื่นอยู่ ฉินเฟิงจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
“พวกคนจากเมืองหลวงมังกร ไม่น่าไว้ใจจริงๆด้วย” ไป๋หลีเปิดปากกล่าว พลังสมาธิที่ไป่หยูส่งออกมาสื่อสารกับคนเหล่านั้น เธอย่อมได้ยินมันเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ไป่หยูกับเผ่ามังกรมิได้พูดภาษาเดียวกัน ดังนั้นทำได้เพียงสื่อสารผ่านพลังสมาธิ
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่น่าไว้ใจ แต่ตลอดมา ไม่เคยมีใครเลยต่างหาก ที่สามารถอยู่มาได้จนถึงตอนนี้” ฉินเฟิงกล่าว “แม้ลูกรักของพระเจ้าในเมืองหลวงมังกรจะเป็นอัจฉริยะ แต่เก่งสุดก็อยู่แค่เลเวล D และไม่มีทางก้าวขึ้นสู่เลเวล C ก่อนอายุยี่สิบได้ และสิ่งที่พวกเขานำมันออกไปภายนอก น่าจะเป็นเทคโนโลยีของประเทศเราในปัจจุบัน แถมเทคโนโลยีระดับสูงบางอย่าง พวกเขายังไม่คิดให้ใครได้ศึกษามัน”
ประเด็นก็คือ เทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้ พวกเขาสามารถได้รับมันมาปีละครั้ง แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็ยังเป็นเหตุผลให้เทคโนโลยีของเมืองหลวงมังกร ก้าวหน้ากว่าของภูมิภาคอื่นๆหลายเท่า
และหากเทคโนโลยีเหล่านี้หลุดรอดไปถึงสี่ภูมิภาค เกรงว่าทั้งหมดคงเป็นของเหลือจากเมืองหลวงมังกร
“แบบนี้ก็หมายความว่า คนที่อ่อนแอ จะไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ถึงความลับพวกนี้เลย!” ไป๋หลีกล่าวอย่างไม่พอใจ เมื่อเติบโตจนมาถึงปัจจุบัน เธอก็เริ่มมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง แม้จะมีความทรงจำที่ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่สิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเธอจริงๆ คือสภาพแวดล้อมโดยรอบ
และตอนนี้ ไป๋หลีเองก็รู้เช่นกัน ว่าอะไรคือเกียรติยศของผู้แข็งแกร่งที่สุด สิ่งใดที่พวกเขาควรทำ และต้องทำอย่างไรถึงมีสามารถมอบโอกาสรอดชีวิตให้คนอื่นๆได้มากที่สุด ซึ่งคนในเมืองหลวงมังกร ทำตรงกันข้ามทั้งหมด
“ฟังจากข้อมูลที่เราได้มา ฉันว่าคืนนี้ น่าจะมีโชว์สนุกๆให้พวกเราดู”
ตลอดทั้งช่วงบ่ายวันนั้น ฉินเฟิงไม่ออกล่าวิญญาณต่างมิติ เขาตัดสินใจพักผ่อน
แต่บางคนเห็นได้ชัดว่ายังคงตื่นเต้นคึกคัก ผลาญพลังงานตนอย่างเปล่าประโยชน์ รอให้ถึงตอนกลางคืนแล้วค่อยพักผ่อน แต่ทำแบบนั้น เกรงว่าเมื่อถึงเวลา คงไม่มีทางไปต่อสู้แย่งชิงอะไรกับคนอื่นๆได้
ท้องฟ้าเริ่มสลัว และวันนี้แตกต่างจากในทุกๆคืน ผืนฟ้าที่ปกติมืดสนิท วันนี้กลับเติมเต็มไปด้วยแสงดาวอันแปลกประหลาดที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้น และมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับสิ่งที่ฉินเฟิงเคยประสบบนโลก
แม้นี่จะเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ด้วยแสงที่สาดทอลงมา ทำให้มันแทบจะไม่ต่างไปจากตอนกลางวัน
วิญญาณต่างมิติที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด เริ่มปรากฏกายขึ้นอย่างช้าๆ รวมไปถึงวิญญาณยักษ์ใหญ่ มันเตร็ดเตร่ไปรอบๆ ไม่ทราบแน่ชัดว่ากำลังคิดทำอะไร
ฉินเฟิงยืนอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองไปยังฉากอันน่าอัศจรรย์ใจด้านนอก ตั้งแต่คืนแรก นี่ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว และตำแหน่งที่ฉินเฟิงพักอยู่ มันใกล้กับใจกลางเมืองมาก ใกล้มากจริงๆ
ณ ตอนนี้ เขารู้สึกว่า เพียงแค่เหยียดมือออกไป ก็สามารถสัมผัสวิญญาณยักษ์ต่างมิติได้แล้ว
เจ้าสิ่งนี้ใหญ่โตจริงๆ ความสูงเสียดแทงถึงท้องฟ้า ยามมองใกล้ๆแล้วแหงนขึ้นไป มิอาจเห็นจุดสูงสุดของอีกฝ่าย ตรงกันข้าม มันไม่ต่างไปจากป้อมปราการยักษ์
ในส่วนของความกว้าง อย่างน้อยน่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามร้อยเมตร เมื่อมนุษย์ยืนต่อหน้าการดำรงอยู่ดังกล่าว ไม่ต่างอะไรจากมด!
นี่คือวิญญาณต่างมิติตนที่หลอมรวมเข้ากับชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่มีเพียงหนึ่งเดียว!
พอได้ลองมองใกล้ๆ ฉินเฟิงถึงสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน ว่าเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร
มันมีทั้งหมวกเกราะ , เสื้อ , กางเกง , รองเท้า และถุงมือ
ดูๆไปแล้วคล้ายชุดเกราะล้ำสมัย มีรูปลักษณ์ไม่ต่างไปจากเกราะของหุ่นยนต์ และมีแสงสีเงินสว่างวาบไปทั้งตัว มองยังไงก็เหมือนก้อนพลังงานเคลื่อนที่
อันที่จริง ในช่วงเช้าของวันก่อนๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉินเฟิงเคยบุกเข้าไปยังพื้นที่ศูนย์กลาง แต่เขากลับไม่พบชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์นี้
ดูเหมือนว่าเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น ที่ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้น
วิญญาณยักษ์ต่างมิติเดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องมัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นพลังที่กระทั่งลูกรักของพระเจ้าก็มิอาจต้านทาน
วิญญาณยักษ์ตนนี้คอยพิทักษ์เกราะศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันเลยทรงพลังกว่าวิญญาณต่างมิติตนอื่นๆอย่างก้าวกระโดด คาดว่าน่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล S
ฉินเฟิงกล้าที่จะใช้ความแข็งแกร่งในเลเวล C ของเขา ต่อกรข้ามระดับกับผู้ใช้พลังเลเวล B ก็จริง แต่เขาไม่กล้าใช้มันต่อกรกับสิ่งมีชีวิตเลเวล S แน่นอน
ความแข็งแกร่งมันห่างชั้นกันมากเกินไป
ฉินเฟิงคอยสำรวจมันด้วยความสนใจ แต่ไม่ลดความระมัดระวังลง
หลังจากช่วงเวลากว่า 2 ชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป แสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นในความมืดมิดอีกครั้ง
คราวนี้เป็นแสงจากในแนวตั้ง กระจายลงมาจากฟากฟ้า แหวกผ่ามม่านเมฆอันมืดมน ราวกับว่าต่างมิติแห่งนี้ มีการดำรงอยู่ดั่งเช่นดวงจันทร์อยู่ด้วย
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ตลอดมาท้องฟ้ามีแค่สีดำมืดสนิท ทว่าปัจจุบันเมฆหนาได้เปิดออก เผยแสงจากดวงจันทร์ส่องไสวลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่มันดูไม่เหมือนดวงจันทร์ซะทีเดียว ฉะนั้นถ้าให้เรียกดวงจันทร์ก็คงจะแปลกเกินไป
ในเวลานั้นเอง วิญญาณต่างมิติทั้งหมดเริ่มกลายเป็นคลุ้มคลั่ง พวกมันปรี่เข้าหาตำแหน่งที่มีแสงจันทร์สาดถึง
กระทั่งในหูของฉินเฟิง ยังได้ยินเสียงคำรามของวิญญาณเหล่านี้ส่งเสียงมา
“ดวงดาวศักดิ์สิทธิ์!”
“ดวงดาวศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว!”
“แสงเอ๋ย ฉันอยากจะแข็งแกร่ง … แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้!”
เหล่าวิญญาณต่างมิติวิ่งเบียดเสียดกันอย่างบ้าคลั่ง ตรงเข้าอาบลำแสงนี้ และร่างโปร่งใสของพวกมันก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น มีแสงจรัสสว่างมากขึ้น
ฉินเฟิงผงะตกใจกับฉากนี้
“เจ้าแสงนั่นมันคืออะไรกัน? จากที่เห็น เหมือนว่ามันจะสามารถช่วยเพิ่มพลังสมาธิของวิญญาณต่างมิติได้ อ้างอิงจากแสงบนตัวพวกมันที่สดใสมากขึ้น ถ้าอย่างนั้นพลังงานแสงนั่นจะมีผลกับฉันด้วยรึเปล่า?”
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แต่มันคือของดีแน่นอน
กระทั่งหัวใจของฉินเฟิงก็ยังไม่อาจเต้นอย่างสงบ เขาเฝ้ามองออกไปภายนอก ไม่อยากพลาดสิ่งใดแม้เพียงเล็กน้อย
วิญญาณต่างมิติทั้งเล็กใหญ่พยายามดิ้นรนเพื่อเข้าหาแสงจันทร์เพื่ออาบมัน แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าวิญญาณต่างมิติเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนไม่อาจแก่งแย่งกับวิญญาณยักษ์ได้ เพราะมันคือสิ่งที่คอยพิทักษ์ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์
วิญญาณยักษ์ต่างมิติ เขี่ยวิญญาณอื่นๆออกไปจนพ้นทาง ชนิดที่ว่าบางตัวหากไม่อาจต้านทาน ก็ถูกมันกลืนหายไปทันที
นี่เองสินะเหตุผลที่วิญญาณยักษ์ใหญ่กว่าตนอื่นๆ เพราะนอกจากมีชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างในแล้ว มันยังกลืนกินอีกหลายสิ่งได้อย่างง่ายดาย
สุดท้าย วิญญาณยักษ์ก็สามารถมาหยุดยืนอยู่ภายใต้ลำแสง บดบังไว้แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นแสงบางอย่างก็เริ่มแทรกซึมลงในตัวมัน วิญญาณยักษ์นิ่งงันไม่ไหวติง ราวกับถูกแช่แข็ง
“ถึงเวลาแล้ว!” ในพริบตา ท่ามกลางความมืดมิด ลูกรักของพระเจ้านับไม่ถ้วนโผล่พรวดออกมา
ลูกรักของพระเจ้าพวกนี้ มีท่าทีอาจหาญราวกับไม่หวั่นเกรงความตาย หลบเลี่ยงวิญญาณต่างมิติตนอื่นๆ กระโจนพุ่งศีรษะเข้าไปในร่างวิญญาณยักษ์ ตรงเข้าหาชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์
แต่วิญญาณยักษ์ยังคงนิ่งงัน ไม่ได้โจมตีใดๆ เหล่าลูกรักของพระเจ้า ทยอยกันเข้าไปเรื่อยๆ
และในบรรดาทั้งหมด ฉินเฟิงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่ามีปีกแสงบนแผ่นหลังไป่หยู นำพาคนนับร้อย โผบินเข้าหาวิญญาณยักษ์ต่างมิติ