โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 558 - จุดสิ้นสุดของดวงดาวศักดิ์สิทธิ์
Ep.558 – จุดสิ้นสุดของดวงดาวศักดิ์สิทธิ์
เพียงพริบตา ความแข็งแกร่งของไป่หยู ยกระดับขึ้นมาถึงเลเวล C5 ยังไม่พอ บนกายเธอยังปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าอัศจรรย์ใจออกมา
คู่ปีกเบื้องหลังสยายออก ครั้งนี้ยาวกว่าสิบเมตร โผบินเข้าหาฉินเฟิง
“วาจาประกาศิต – จงดับสูญ!”
แสงไสวสาดทอลงมาจากฟากฟ้า โถมเข้าปกคลุมร่างของฉินเฟิงอย่างกะทันหัน
ฉินเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างต่อสู้ ถูกความปวดแสบปวดร้อนแทรกซึมเข้ามาอย่างกะทันหัน
นับตั้งแต่ต่อสู้มาเป็นเวลานาน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อบิลิตี้สามารถสร้างความเจ็บปวดให้แก่ฉินเฟิงได้
ฉินเฟิงมองผ่านแสงสีขาว จดจ้องไปยังไป่หยู ที่บัดนี้แววตาคลุ้มคลั่งเช่นเดียวกับดวงตาของเขา
“คิดว่าของแบบนี้ จะฆ่าฉันได้จริงๆหรอ? แกประเมินฉันต่ำไป!”
ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา
หากไม่มีฉินเฟิง บรรดาลูกรักของพระเจ้าที่สมคบคิดกัน อาจคว้าชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ไปครองจริงๆก็ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากคำนวณในแง่ของพลังงาน ฉินเฟิงต้องอาบพลังงานอันรุนแรงของเกราะศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลากว่า 15 นาที ถึงแม้ว่าลูกรักของพระเจ้าที่ถูกควบคุม คนหนึ่งทนได้แค่ราวๆ 3 วินาทีก็ตาม แต่หากส่งไปตายเรื่อยๆ สังเวยเพียง 300 ชีวิต ก็สามารถกำราบชุดเกราะลงได้แล้ว
คนกลุ่มนี้ไม่ได้คำนวณผิดพลาด แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ สิ่งที่ฉินเฟิงได้รับมาระหว่างอาบพลังงานนานกว่า 15 นาที
เขาได้รับอำนาจอันเบ็ดเสร็จ เป็นความแข็งแกร่งที่คนเหล่านี้เกินกว่าจะจินตนาการ
บนตัวฉินเฟิง สวมทับไว้ด้วยเกราะศักดิ์สิทธิ์สุดยอดเทคโนโลยี หนึ่งแขนค่อยๆวาดออกไป ปรากฏมีดยาวสีแดงบานเย็นในมือของเขา
“งั้นตอนนี้ ฉันจะแสดงให้พวกแกเห็นเอง ว่าพลังที่เกราะศักดิ์สิทธิ์มอบให้ฉัน มันน่าสะพรึงขนาดไหน!”
สำหรับฉินเฟิง เกราะศักดิ์สิทธิ์เป็นอะไรที่ใช้งานได้ง่ายมาก แต่สิ่งที่ดียิ่งกว่าของมันก็คือ กำลังภายในที่แปรเปลี่ยนมาจากพลังงานของมัน
และกำลังภายในที่ว่า กำลังถ่ายเทลงบนมีดกษัตริย์คราม!
มีดกษัตริย์ครามเวลานี้คืออาวุธระดับเทวะ ยามถูกอัดฉีดอย่างบ้าคลั่งโดยกำลังภายในของฉินเฟิง มันคล้ายมีชีวิต ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
คล้ายพร้อมระเบิดพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัว!
“มีดเปลวเพลิง!”
เพียงเสี้ยววินาที ช่วงเวลาที่คมมีดกำลังยืดขยาย ฉินเฟิงวาดสะบัดมีดกษัตริย์ครามออกไป
และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ ใบมีดที่กวัดแกว่ง สาดแสงพรั่งพราวสีแดงม่วง ลำแสงเส้นหนึ่ง พุ่งวูบขึ้นไปบนฟากฟ้า มองจากมุมนี้ราวกับว่ามันสามารถสะบั้นผืนฟ้าก็มิปาน
ลำแสงลาวายืดขยายราวกับไร้ที่สิ้นสุด ตัดอากาศที่ว่างเปล่าเป็นทางยาวกว่าร้อยเมตร
ในเสี้ยวพริบตา พื้นที่ใดก็ตามที่มันตัดผ่าน สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ล้วนถูกสะบั้นออกเป็นสองส่วน
“อั๊ก!” ไป่หยูที่กำลังฉีกยิ้มบ้าคลั่ง สีหน้าของเธอกลายเป็นแข็งกระด้าง เจ้าตัวก้มหัวลง และภาพที่เห็นทำให้เธอต้องตกตะลึง!
–ช่วงเอวของเธอลงไปถูกสะบั้น ครึ่งร่างไร้การควบคุม ร่วงหล่นลงจากฟ้า ทั้งยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าตรงรอยตัดมันเรียบเนียนขนาดไหน หยดเลือดราวกับลูกปัดปลิวว่อน
“ไม่!!!”
ไป่หยูกรีดร้องโวยวายด้วยความไม่อยากจะเชื่อ กระตุกปีกอย่างแรง โฉบบินไล่ตามลงไป คว้าจับครึ่งท่อนล่างของเธออย่างรวดเร็ว พร้อมปลดปล่อยอบิลิตี้แสงปกคลุมตนทันที
เพียงพริบตา ร่างที่แยกเป็นสองของเธอได้รวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง
ฉินเฟิงที่อยู่ไกลออกไป สามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ในแววตาของเขาสะท้อนถึงความอัศจรรรย์ใจ
“ร้ายกาจจริงๆ สมกับเป็นเผ่าสวรรค์ผู้ครอบครองธาตุแสง ต่อให้บาดเจ็บถึงแก่ชีวิต แต่ก็สามารถรักษาได้ คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริง … แต่ถ้าเจอแบบนี้ล่ะ!”
มีดกษัตริย์ครามของฉินเฟิง ระเบิดลำแสงลาวาขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ ราวกับโกรธเคืองสวรรค์และโลกหล้า มันปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้าง เพียงพริบตา สับวูบบบ! จากบนลงล่าง ฟันผ่ากลางร่างของไป่หยู
ใบหน้าอันละเอียดละออของไป่หยู บัดนี้ตรงกลางเริ่มปรากฏรอยเส้นโลหิต และยามแรงลมจากผลพวงของการโจมตีพัดกระพือ ร่างของเธอก็ไม่สามารถแนบชิดติดกันได้อีกต่อไป แยกออกเป็นสองซีก ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า
ลูกรักของพระเจ้าเผ่าสวรรค์ อนาคตตัวตนทรงอำนาจ ที่อาจถึงขั้นสามารถปลุกปั่นชายชาตรีทั้งอาณาจักรได้ ถูกฉินเฟิงสับแยกเป็นซีก ตกตายไปอย่างน่าเสียดาย!
และในตอนนี้ แม้สังหารลูกรักของพระเจ้าระดับสูงไปหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉินเฟิงจะพอใจ
แนวสายตาของเขา กวาดหาเป้าหมายต่อไป และตรึงลงบนร่างๆหนึ่งทันที
ปีศาจเสพวิญญาณกุ่ย!
“ตาย!”
กำลังภายในของฉินเฟิงเสมือนน้ำตกที่พรั่งพรูลงมา ในแง่คุณภาพเทียบเท่าได้กับมหาสมุทรของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล A
“ระบำดอกไม้ไฟ!”
แสงรังสีจากคมมีดอันน่าหวาดกลัว สะท้อนผ่าผืนฟ้า ร่างวิญญาณของกุ่ยที่คิดเข้าหาฉินเฟิง ถูกกวาดครั้งเดียว ละเอียดเป็นซาก
กุ่ยแม้แข็งแกร่ง แต่มันจะแข็งแกร่งไปกว่ากำลังภายในของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล A ได้อย่างไร?
“ตายซะให้หมด!”
ฉินเฟิงแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ตะโกนกู่ก้อง พุ่งทะยานขึ้นไปอย่างวีรชนผู้กล้า
“ไม่ดีแล้ว!”
“เขาแข็งแกร่งมากเกินไป ไม่นะ พวกเราจะให้เขาประชิดถึงตัวไม่ได้”
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้เขาปิดซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ตลอดมา? รีบหนีไปจากที่นี่เถอะ!”
การโจมตีครั้งล่าสุดทั้งสามของฉินเฟิง ส่งแรงกดดันน่าหวาดกลัวเกินไป ในที่สุดลูกรักของพระเจ้าก็เริ่มค้นพบถึงความผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงใช้ออกเพียงมือและเท้าต่อกรกับพวกเขา สังหารผู้คนสะเปะสะปะ และพลังที่ใช้โจมตีในตอนแรก เดิมพวกเขาคิดว่ามันคือพลังงานที่หลงเหลืออยู่ของเกราะศักดิ์สิทธิ์ ทำได้เพียงปล่อยออกมา ส่วนฉินเฟิงเปรียบดั่งเต่าที่อยู่ในกระดอง ทำได้เพียงตอบโต้ไปเรื่อยๆ ไม่งั้นก็ถูกตีจนตาย
แต่บัดนี้ พวกเขาค้นพบแล้วว่า ฉินเฟิงคร้านเกินไปจะทุ่มเต็มกำลังต่างหาก อีกฝ่ายปีศาจที่กำลังละเล่นเท่านั้น!
“วิ่ง!”
“ช่างหัวเกราะศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตสำคัญกว่า!”
“ไม่ อย่า อย่าฆ่าฉัน!”
เหล่าลูกรักของพระเจ้าราวกับสุนัขถูกน้ำร้อนลวก วิ่งแตกกระเจิง ส่วนฉินเฟิงไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง
ฉินเฟิงไม่สนไม่แคร์คนอื่นๆ อันดับแรกเลย เขาต้องกำจัดกลุ่มลูกรักของพระเจ้าที่สมคบคิดกันให้หมด ฉินเฟิงจะไม่ยอมไว้ชีวิตพวกมัน เพราะเจ้าพวกนี้ ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง
และหากเป็นไปได้ ฉินเฟิงหวังว่าจะสังหารอัจฉริยะต่างมิติพวกนี้ให้หมด
เนื่องจากเผ่ามังกรล่วงรู้แล้วว่าตัวเขาคือมนุษย์เลือดบริสุทธิ์ ดังนั้นลูกรักของพระเจ้าคนอื่นๆจะไม่รู้ได้อย่างไร? แล้วถ้าพวกมันเกิดนึกค้นหามิติของฉินเฟิงขึ้นมาเล่า?
ในอนาคต มันไม่เท่ากับเป็นต้นกำเนิดของหายนะหรอกหรอ?
“ไป๋หลี ปิดกั้นมิติแห่งนี้ อย่างให้พวกเผ่าพันธุ์ต่างมิติ หนีรอดกลับไปได้”
ไป๋หลีไม่ตอบ แต่ลงมือทำทันที
เพียงพริบตา รังสีแสงสีเงินกลายเป็นโดม กวาดปกคลุมศูนย์กลางเมืองล่มสลายของเผ่าวิญญาณ กินรัศมีหนึ่งกิโลเมตร
และรัศมีเท่านี้ มันมากพอแล้วที่จะครอบคลุมลูกรักของพระเจ้าทั้งหมด
ดังนั้นตอนนี้ พวกเขาคือหนูติดจั่น มิอาจหลบหนีได้อีกต่อไป
ฉินเฟิงฉีกยิ้มกระหายเลือด ไล่สังหารคลั่ง!
…
ดวงดาวศักดิ์สิทธิ์ยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่ภายในเมืองล่มสลายของเผ่าวิญญาณ กลับเจิ่งนองไปด้วยเลือด และมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ที่ปรากฏคลื่นความผันผวนอันน่าหวาดกลัวของพลังสมาธิส่งผ่านออกมา แต่ไม่นานมันก็สงบลง
ตลอดทั้งสี่ชั่วโมงเต็มของการไล่ล่า ณ ศูนย์กลางเมือง นอกไปจากฉินเฟิงกับไป๋หลีแล้ว ไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใดอยู่อีกต่อไป
ขณะเดียวกัน ดวงดาวศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ก็เริ่มหดตัวลง มองด้วยตาเปล่า ราวกับว่าดาวดวงนี้กำลังค่อยๆถอยหลังห่างออกไป
เมื่อดวงดาวถดถอย คล้ายบังเกิดความผันผวนแปลกๆขึ้นโดยรอบ ผู้คนมากมายที่อยู่รอบนอกรู้สึกงงงวย แต่ก็ย้อนนึกไปถึงคำเตือนที่เคยได้ยินก่อนมาที่นี่
“ก่อนที่ดวงดาวศักดิ์สิทธิ์จะจางหางไป อย่าลืมออกจากสถานที่แห่งนี้ มิฉะนั้น จะต้องติดอยู่ในมิติล่มสลายของเผ่าวิญญาณ และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ คนที่ติดอยู่ในมิตินี้ จะค่อยๆกลายเป็นวิญญาณต่างมิติ ร่างกายไม่ได้รับอนุญาตให้ไปยังมิติอื่นอีกต่อไป”
ส่วนฉินเฟิงไม่ได้มีใครเตือน แต่เขาเคยได้ยินข้อมูลนี้จากปากเผ่ามังกรมาก่อน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีก รู้ดีว่าควรทำอย่างไร
“มิติแห่งนี้กำลังจะถูกปิดแล้ว” ไป๋หลีเอ่ยเตือน แต่ต่อให้มิติปิดลง อาศัยความสามารถของไป๋หลี ยังไงก็ออกจากที่นี่ได้อยู่ดี และถ้าฉินเฟิงต้องการอยู่เพื่อเก็บรวบรวมเทคโนโลยีต่อไป หรือสำรวจมิติลี้ลับแห่งนี้ให้มากขึ้น ไป๋หลีก็ไม่รังเกียจเช่นกัน