โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ - ตอนที่ 586 - ศิลาศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย
เสียงกู่ก้องของฉินเฟิง กวาดสะท้อนไปทุกทิศทางพร้อมพลังงานอันน่าหวาดกลัว ทะลวงปราการปิดตายของมังกรทมิฬ
สภาพแวดล้อมโดยรอบ ภูเขาหิมะเปลี่ยนเป็นภูเขาลาวา เจิ่งนองไปด้วยแมกมา เดือดปุดๆราวกับมีไฟอันร้อนแรงคอยต้มผืนดินอยู่เบื้องล่าง
ทุกสรรพชีวิต ไม่ว่ากำลังหลบหนีหรือหลบซ่อน หากตกอยู่ภายใต้เพลิงบรรจบ สิ่งที่รอคอยพวกมัน คือความตาย ถูกหลอมละลายไม่มีเหลือ
กระทั่งแซด ภายใต้การโจมตีจากพลังงานของศิลาศักดิ์สิทธิ์เลเวล S ตัวตนอันคงกระพันของเขาที่อยู่ในกายมังกรทมิฬ ก็ถูกระเบิดปลิวออกไปเช่นกัน
ตูม!
โครม!
ครืนนนนน!
เสียงต่างๆสะท้อนกลับมา ฉินเฟิงเฝ้ามองอักษรรูนมืดที่กระจัดกระจาย และพลังงานอันน่าหวาดกลัวที่อาละวาด กวาดทำลายอยู่รอบๆ
ร่างมังกรทมิฬที่เคยบดบังผืนฟ้า ค่อยๆสลายไป เมื่อไร้สิ่งใดคอยบดบัง แสงอาทิตย์เริ่มสะท้อนลงมา ฉากหิมะจากเบื้องบนโปรยปรายคืนสู่วิสัยทัศน์ของฉินเฟิง
“ชนะแล้วหรอ? แซดตายแล้วใช่ไหม?”
ฉินเฟิงยังไม่อยากเชื่อ ขยายพลังสมาธิออกไปตรวจสอบ
แต่ก็ไม่พบอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง สภาพแวดล้อมที่เพิ่งกลับคืนสู่ความสงบ พลันพลิกตลบ กลับคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
“ที่รัก ระวัง!”
ไป๋หลีร้องเตือนด้วยความตกใจ อักษรรูนสีเงินล้อมรอบทั้งสอง ปรากฏกล่องเงินสามมิติปกคลุมฉินเฟิงกับไป๋หลี
ภายใต้อักษรรูนอันน่าสะพรึงที่โถมกระหน่ำเข้ามา ทั้งสองไม่ต่างจากเรือเล็กท่ามกลางมรสุมในมหาสมุทร ถูกกวาดกระเด็นออกไปไกลหลายร้อยหลายพันเมตร
เพียงชั่วพริบตาเดียว ฉินเฟิงปลิวออกจากเขตแดน เพลิงบรรจบในโหมดเสริมอำนาจร้อยพันเท่า ไม่อยู่ในการควบคุมของเขาอีกต่อไป ทว่ามันยังหลงเหลือพลังงานตกค้างของศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิง ดังนั้นพื้นดินแปรเปลี่ยนเป็นธารลาวาที่ไม่มีวันดับสูญ
แน่นอน ฉินเฟิงได้สูญเสียศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิงไปเป็นที่เรียบร้อย
ช่วงเวลานี้ ณ ใจกลางความมืดมิด พลังงานมหาศาลพวยพุ่ง เหวี่ยงโฉบออกมา แลคล้ายกับฝ่ามือยักษ์ คว้าจับกล่องเงินของฉินเฟิงและไป๋หลี
“นี่มันพันธนาการเงา!”
ฉินเฟิงสามารถระบุอบิลิตี้ตรงหน้าได้ทันที
เพียงแต่ว่า มิติสีเงินของไป๋หลีก็มิใช่อบิลิตี้ทั่วๆไปเช่นกัน มันเปี่ยมไปด้วยพลังงานมิติ การที่พันธนาการเงาสามารถจับมิติสีเงินได้แบบนี้ คงมีแต่ผู้ใช้พลังระดับสูงเท่านั้นจึงจะทำได้
หัวใจของฉินเฟิงเต้นครึกโครม
เพราะช่วงเวลานี้ ในที่แห่งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ ไอ้ผู้ใช้พลังระดับสูงที่ว่า มันยังจะมีใครอีก? แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด ณ ใจกลางความมืดมิด เงาร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้น
–เป็นแซด!
ดวงตาของเขายังคงลึกล้ำอย่างหาผู้ใดเปรียบ สีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงต้องประหลาดใจก็คือ ตามผิวหนังของอีกฝ่าย คล้ายมีใครเอาดินสอไปขีดเขียนเล่น มองไปเหมือนกระจกที่ปริร้าว ทั้งบางจุดยังมีรอยแตกปรากฏขึ้น แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา
ไม่ว่าจะเป็นตรงสองมือ หรือตรงลำคอ ทั้งหมดล้วนเกิดร่องรอยปริร้าว
ฉากนี้ยิ่งทำให้แซดดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม
แซดในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธมาก แต่คนที่ยิ่งโกรธ แต่กลับยิ่งมีท่าทีสงบลงกว่าเดิมในยามปกติ คนกลุ่มนี้จะสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารอันน่าหวาดกลัวได้มากกว่าคนทั่วๆไป
เขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่การกระทำกลับชัดเจน หลังปลดปล่อยพันธนาการเงา อักษรรูนมืดรอบทิศทาง ก็เริ่มบีบคั้น บดขยี้มิติสีเงิน
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
รูนมิติสีเงินค่อยๆถูกบดขยี้จนบุบบี้ พื้นที่ภายในยิ่งมายิ่งคับแคบ
“กรี๊ด!” ไป๋หลีอดกรีดร้องออกมาไม่ได้
“เทคนิคลับกลืนดารา!”
กำลังภายในของฉินเฟิงเริ่มหมุนวน ระหว่างมิติสีเงินกำลังถูกกดดัน ฉินเฟิงก็ระเบิดปราณกำลังภายในออกมา
ทว่าปราณกำลังภายในนี้ มันมิอาจต้านทานรูนมืดโดยรอบได้เลย
“ดี ดีมาก ช่างดีนัก อยากสู้ก็จงสู้ให้ถึงที่สุด จงดิ้นรนให้หนำใจ!”
ฉินเฟิงไม่แน่ใจว่าแซดได้รับบาดเจ็บจริงๆหรือไม่ ยังหลงเหลือเรี่ยวแรงอยู่อีกเท่าไหร่ แต่เมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ฉินเฟิงย่อมไม่สามารถเก็บงำไพ่ในมือได้อีกต่อไป
บนหน้าผากของฉินเฟิง บังเกิดกระแสวังวนอีกครั้ง
นอกจากศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิงแล้ว ฉินเฟิงยังมีศิลาศักดิ์สิทธิ์เลเวล S อยู่อีกก้อนหนึ่ง นั่นคือศิลานรก!
นี่คือสิ่งที่เผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาซึ่งเป็นเจ้าของดั้งเดิมของมัน เรียกขานว่าศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด!
และสภาพของมันสมบูรณ์ พลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในไม่น้อยกว่าศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิงเมื่อครู่เลย
สูญเสียศิลาเปลวเพลิงไปแล้วก็จริง ทว่าศิลานรกยังคงอยู่!
ฉินเฟิงคิด ในเมื่อไม่เหลือหนทางแล้วจริงๆ งั้นทำไมไม่ระเบิดทั้งหมดในลมหายใจเดียว หากกำจัดแซดได้ ด้วยพลังงานที่แซดครอบครอง หากมันสลายออกมา เมื่อดูดซับ อาจช่วยให้ฉินเฟิงยกระดับ ทะยานขึ้นไปสู่เลเวล B เลยก็เป็นได้
“ถ้ายังไงฉันก็ไม่รอด งั้นก็มาเสี่ยงดวงกันซักตั้ง!”
“พลังพิเศษ — ดูดกลืน!”
ฉินเฟิงมิได้ใช้ออกด้วยอบิลิตี้มืดของเขา แต่กลับเปิดใช้งานอบิลิตี้ติดตัวที่ได้มาตั้งแต่แรก เร่งเร้ามันถึงขีดสุด ดูดกลืนเต็มพลัง!
วินาทีถัดมา อักษรรูนรอบตัวเขาเริ่มก่อตัวเป็นวังวน พวกมันถูกกดดันโดยพลังงานจากศิลานรก เริ่มแปรสภาพเป็นเส้ยใย วิ่งผ่านปราณกำลังภาย ไหลเข้าสู่หน้าผากของฉินเฟิง
ที่ฉินเฟิงกำลังคิดทำ คือการดูดซับพลังงานจากภายนอกอย่างบ้าคลั่ง เพื่อลดทอนอำนาจของอบิลิตี้มืดนี้ กดดันให้มันสลายไป
ดาวเคราะห์เพชรหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ศิลานรกระเบิดอำนาจอันน่าหวาดกลัว ช่วยเสริมพลังแก่พลังพิเศษดูดกลืน
ภายในจักรวาลแห่งจิตสำนึก ด้วยความเร็วที่สามารถ ‘เห็น’ ได้ด้วยพลังสมาธิ ศิลานรกกำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ทะเลอักษรรูนที่อยู่รอบๆ หากอาศัยเพียงพลังพิเศษของฉินเฟิง แน่นอนย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือดูดซับมันเข้ามาได้ แต่ด้วยศิลานรกคอยเสริมกำลัง ส่งผลให้พลังพิเศษดูดกลืนของเขา กลายเป็นอบิลิตี้อันที่น่าหวาดกลัว สูบกลืนได้ทุกสิ่ง
ก็เหมือนกับในตอนศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งเปลวเพลิง ที่มันช่วยส่งเสริมให้เทคนิคที่เกิดจากธาตุไฟรุนแรงขึ้นหลายเท่า
ศิลานรกเริ่มหดขนาดลงเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากมันก็คือ อักษรรูนที่อยู่ใกล้กับฉินเฟิง ที่เดิมทีไม่สามารถควบคุม หรือไหลเข้าสู่จักรวาลแห่งจิตสำนึกของฉินเฟิงได้ เริ่มถูกสูบเข้าไปในดาวเคราะห์เพชรอย่างต่อเนื่อง
“นี่ … นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
กระทั่งแซดที่เดิมทีโกรธจัด ตอนนี้ยังตะลึงลานกับฉากตรงหน้า ไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงจะสามารถทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจอีกครั้ง และอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น รูนมืดที่แซดปลดปล่อยออกมา บัดนี้ดันถูกครอบงำโดยฉินเฟิง การที่มันถูกสูบกลืนไปเรื่อยๆแบบนี้ ก็ไม่ต่างไปจากในตอนที่ฉินเฟิงใช้ทักษะลับกลืนดาราดูดกลืนกำลังภายในของคนอื่นเข้าสู่ตนเอง และผลลัพธ์ของการถูกสูบพลัง มันร้ายแรงมาก
แน่นอน แซดเองก็ไม่คิดปล่อยให้อักษรรูฯมืดที่ตนสั่งสมมานานนับร้อยปี สลายไปกับอากาศธาตุ
“จงกลับคืน!”
ไม่มีทางเลือกอื่นอีก แซดทำได้เพียงหยุดการโจมตี
พันธนาการเงาเริ่มสลายไป รูนมืดที่อยู่ในมันเริ่มลอยกลับสู่ร่างของแซด แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่ง ไหลเข้าสู่ร่างของฉินเฟิง
“อ๊ากกกกกก”
ฉินเฟิงร้องโหยหวน สองมือกุมศีรษะ เขารู้สึกปวดแปล่บอย่างรุนแรง ราวกับว่าสมองจะระเบิดออกมา
การดูดซับรูนในปริมาณที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ต่อให้เป็นดาวเคราะห์เพชรก็รองรับมันไม่ไหวเช่นกัน
“ที่รัก! ฉินเฟิง อย่าทำให้ฉันกลัวสิ อดทนเอาไว้ก่อน” ไป๋หลีกระวนกระวาย แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ขณะนี้ เธอเกลียดตัวเองว่าทำไมถึงเธอถึงไม่ใช่จักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล B ทำไมตัวเองถึงไม่อยู่ในเลเวล A ระดับเทวะ เพราะถ้าเป็นกรณีทั้งสองที่กล่าวมา คงสามารถเอาชนะเจ้าคนเลวนี่ได้
ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงได้สูญเสียอำนาจในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิง โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ เขาสามารถปัดป้องการโจมตีนี้ของแซดได้อีกครั้ง
แต่ทุกอย่างมันจบแล้ว ไม่อาจทำอะไรได้อีกต่อไป
แซดเหยียดมือ ปลดปล่อยคคลื่นพลังงานออกมาอีกครั้ง
กรงเล็บมังกรเริ่มปรากฏ ก่อร่างบนอากาศที่บางเบา
พลังงานที่ก่อร่างเป็นกรงเล็บมังกร ดูไปดูมาคล้ายกับกระบวนท่าวรยุทธมังกรตะปบที่ฉินเฟิงมี มันคล้ายกับกรงเล็บมังกรทมิฬที่โฉบลงมาจากฝืนฟ้าในตอนแรก แค่คราวนี้มันเล็กกว่าเดิมมาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังคงว่องไว และฉินเฟิงกับไป๋หลี ไม่มีกำลังมากพอที่จะหลบเลี่ยง
“ไม่ยอมเด็ดขาด!”
ไป๋หลีร้องคำรามเกรี้ยวกราด แสงสีเงินปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเธอ รอยแยกมิติปรากฏขึ้นทันใด กรงเล็บมังกรทมิฬถูกส่งหายไปยังมิติอื่นโดยไป๋หลี
ทว่าแม้กรงเล็บมังกรจมหายเข้าไป แต่ปลายเล็บของมันกลับไม่ตามไปด้วย ปลายแหลมตัดเฉือนรอยแยกมิติ จากนั้นกรีดตรงเข้าหาไป๋หลี
ไป๋หลียกแขนขึ้นป้องกัน เกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นรองปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอ
เพล้ง!
เกราะศักดิ์สิทธิ์ชั้นรองแตกเป็นเสี่ยงๆ
อันตรายร้ายแรงคืบคลานเข้าหาเธอ และคราวนี้ไม่เหลืออะไรคอยปกป้องอีกต่อไป!