ไหปีศาจ - ตอนที่ 4 เปิดกิจการร้าน
บทที่ 4 เปิดกิจการร้าน
“นายน้อย พวกเรากำลังจะเข้าตัวเมืองแล้ว”
คนคุมบังเหียนเลิกม่านของรถม้าขึ้นด้วยความเคารพพร้อมกระซิบบอก
เมืองแห่งความพินาศอยู่ข้างหน้าแล้ว
มันเป็นเมืองที่ดูทรุดโทรมและดูเหมือนจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว กำแพงเมืองดูเรียบง่ายทำจากอิฐเหลือง ซึ่งทำให้ทิวทัศน์รอบๆ ดูเหมือนอยู่ในแดนทะเลทรายไม่มีผิด
บริเวณใกล้เคียงก็เป็นเหมือนทรายสีเหลืองอันไม่มีที่สิ้นสุด เต็มไปด้วยต้นไม้รูปร่างคดเคี้ยวตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมารู้สึกหดหู่ใจเมื่อได้เห็น
เมื่อหลายพันปีก่อน มันเป็น ป่าเตียนวู ที่กว้างใหญ่และสวยงาม เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย ภูตและสัตว์ประหลาด อยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่ปรองดอง แต่เนื่องจากเกิดภัยพิบัติร้ายแรงขึ้น ในปัจจุบันมันจึงกลายเป็นทะเลทราย
ลั่วอู๋ที่หลับตานอนพักมาตลอดทาง เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเรียก เขาจึงลืมตาขึ้นและพยักหน้าเล็กน้อย
“นายน้อย ข้าขอถามท่านสักเรื่องได้ไหมขอรับ” ผู้ขับรถม้าลูบมือไปมาแล้วยิ้มด้วยความอับอาย
วันนี้คนคุมบังเหียน ไม่ได้ทำกิริยาอะไรแย่ ๆ เหมือนวันก่อน เขาทำตัวดีมาก ทำให้ทัศนคติของลั่วอู๋ที่มีต่อเขาจึงดีขึ้น
“ถามมาสิ” ลั่วอู๋พูด
“ท่านเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณใช่หรือไม่ขอรับ” คนคุมบังเหียนถามขึ้น
“เจ้าหมาสีน้ำตาลตัวนั้นเห็นได้ชัดว่ามันเคยเป็นแค่สุนัขแก่ตัวหนึ่งที่กำลังจะตาย “
เขาพูดพลางมองดูต้าหวงไปพลางอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าสุนัขตัวนั้นเข้าใจและกำลังโกรธ แต่สุดท้ายต้าหวงก็นอนหลับอย่างเกียจคร้านและเลือกที่จะไม่สนใจเขา
ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ หนึ่งในอาชีพที่โดดเด่นที่สุดในแผ่นดินใหญ่
ด้วยสารพัดวิธีการต่าง ๆ ทั้งที่ธรรมดาและล้ำเลิศ เขาสามารถปรับปรุงความแข็งแกร่งทางวิญญาณ เรียนรู้ทักษะและปรับปรุงคุณสมบัติของพลังวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นได้
ไม่มีใครขัดใจผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณได้เลย
ลั่วอู๋ หยุดคิดสักครู่ก่อนจะตอบกลับไป “ก็คงใช่”
“ข้าว่าแล้ว ที่ท่านบอกว่าโดนไล่ออกมาก็เพราะจริง ๆ แล้วท่านมีความทะเยอทะยานแต่ไม่สามารถทำได้หากอยู่ที่นั่น ท่านเลยออกจากตระกูลลั่วเองใช่ไหมขอรับ” คนคุมบังเหียนพูดอย่างตื่นเต้น
ลั่วอู๋ตะลึงในคำพูดของอีกฝ่ายก่อนยกยิ้ม
ดูท่าคนคุมบังเหียนคงมีจินตนาการมากมายและเพ้อฝันไปเรื่อย
ลั่วอู๋ หยิบหินวิญญาณสิบก้อนออกมาและโยนมันให้คนคุมบังเหียน จากนั้นพูดอย่างชัดเจนว่า
“ข้าเป็นคนที่ให้รางวัลและลงโทษอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าเจ้าไม่เคารพข้า ข้าก็จะฆ่าม้าเพื่อเป็นการลงโทษ แต่วันนี้เจ้าทำดีมากและวางตัวได้ดี นี่เป็นรางวัลสำหรับเจ้า มันเพียงพอที่เจ้าจะซื้อม้าได้อีกตัว “
“ขอบคุณ นายน้อย ขอบคุณ” คนคุมบังเหียนรีบโค้งคำนับเพื่อรับรางวัล หัวใจของเขาเต้นระรัวด้วยความดีใจ
หลังจากได้รับรางวัลคนคุมบังเหียนก็เลี้ยวรถม้าเข้าไปในเมือง
เมืองแห่งความพินาศ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของราชวังหยินหลง โดยมีอีก 23 เมืองใกล้เคียงกันกับทะเลทรายสีเหลืองแห่งนี้ มันตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกลและมีผลผลิตที่ไม่ดีนัก
หลังจากที่เข้าไปในตัวเมืองแล้ว เขาก็พบว่าเมืองแห่งความพินาศไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิด เพราะถ้ามันไม่สามารถอยู่รอดได้จริง ๆ ละก็ คนที่นี่คงย้ายกันออกไปหมดแล้ว
ในตัวเมืองทั่วไป ผู้คนต่างก็เลี้ยงนก สุนัข และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ แต่ที่นี่ตามท้องถนนของเมืองแห่งความพินาศแห่งนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง บางคนมีงูพันอยู่รอบเอว บางคนก็มีกิ้งก่าอยู่บนบ่าและบางคนก็เดินไปมาพร้อมกับแมงมุมและแมงป่อง เห็นได้ชัดว่าประเพณีพื้นบ้านและชาวบ้านที่นี่ดุร้ายมาก
หลี่หยินกระซิบ “นายน้อย เราให้หินวิญญาณเขาไปตั้งสิบก้อน มันจะมากเกินไปรึเปล่าคะ? เราได้หินวิญญาณมา 100 ก้อนเองนะเจ้าคะ”
แม้ว่าเขาจะถูกผลักไสไล่ส่ง แต่ยังไง ๆ ตามบริบทแล้ว เขาก็เป็นลูกชายคนหนึ่งของตระกูลลั่ว ที่ออกเดินทางมาเพื่อดำเนินกิจการร้านค้า เขาจึงได้รับเงินติดตัวมาบ้าง
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงไปหรอก” ลั่วอู๋ส่ายหัว
“ตั้งแต่ข้ากลายเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณ ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องให้ความสนใจกับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว อีกอย่างข้ามาที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ข้าต้องกล้าได้กล้าเสียกล้าจ่าย ไม่ให้มากไม่ให้น้อยเกินไป”
หลี่หยินพยักหน้าเข้าใจ
แม้นางจะยังอ่อนต่อโลก แต่ก็มีสองสิ่งที่นางรู้ก็คือ ข้อแรกคำพูดของนายน้อยนั้นเชื่อถือได้ และข้อที่สองก็คือถ้านายน้อยพูดผิดให้กลับไปคิดถึงข้อแรก
ในที่สุดรถม้าก็หยุดลงที่ประตูของร้านค้าร้านหนึ่ง
“ถึงที่หมายแล้วขอรับ นายน้อย” คนคุมบังเหียนพูดขึ้น
เมื่อเปิดม่านขึ้น เขาก็เห็นร้านค้าขนาดทั่ว ๆ ไปที่เรียกว่า “ศาลาไป่หยู่”
ศาลาไป่หยู่ เป็นหนึ่งในกิจการของตระกูลลั่ว ที่มีสาขาทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ในร้านค้าจะขายผลึกวิญญาณ ตราวิญญาณ และรายการอื่น ๆ เป็นการให้บริการสนับสนุนผู้ใช้พลังวิญญาณ
ศาลาไป่หยู่ ในสาขาอื่น ๆ นั้นน่าประทับใจมากโดยเฉพาะสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวง ซึ่งอยู่ตรงใจกลางถนนหยินหลง ซึ่งร้านนั้นใหญ่โตและครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งถนน มันทั้งรุ่งโรจน์และงดงาม นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้พลังวิญญาณชั้นนำทั้งสามคนของเมืองหลวงอยู่ที่นั่น
อย่างไรก็ตาม ศาลาไป่หยู่สีขาวที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว สภาพมันแย่เสียจนสีที่ทาอยู่บนตัวอาคารลอกออกมาเป็นเศษเล็กเศษน้อย
“นี่คือร้านค้าที่ทางตระกูลส่งข้ามาให้ทำงานสินะ เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างธรรมดากว่าที่คิดไว้เยอะ”
ลั่วอู๋ ส่ายหัว หลังจากที่คนคุมบังเหียนส่งพวกเขาลงแล้วขับรถม้าออกไป
“เอาล่ะ ไหนขอเข้าไปดูข้างในหน่อยสิ” ลั่วอู๋เดินเข้าไปในร้านก่อน ตามด้วยหลี่หยิน
ร้านค้านั้นไม่ได้ใหญ่มาก มันประกอบไปด้วยห้องโถงด้านหน้าอันกว้างขวาง ซึ่งมีเคาน์เตอร์มากกว่าสิบเคาน์เตอร์อยู่ด้านในและมีลานด้านหลัง ซึ่งใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์วิญญาณ
ส่วนการตกแต่งนั้นค่อนข้างเก่าแต่ก็ดูทนทาน
นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ชายสามคนประจำการอยู่ในร้าน
แต่เมื่อทั้งสามคนเห็น ลั่วอู๋ เข้ามา พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวทักทายอะไร เพียงแต่ตะโกนไปว่า
“ดูทุกอย่างได้ตามสบาย แล้วเลือกของที่ต้องการได้เลย แต่ถ้าอยากซื้อ สัตว์วิญญาณ ต้องจองล่วงหน้า”
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว ‘นี่คือมันอะไรกัน?’
กล้าละเลยลูกค้าแบบนี้ ถ้าเป็นร้านอื่นละก็คงถูกไล่ออกไปแล้ว
“ไม่สิ”
ตอนนี้ลั่วอู๋เป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณแล้ว ทำให้การสังเกตของเขานั้นดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก เขารู้สึกว่าถึงแม้ว่าทั้งสามคนนี้จะดูขี้เกียจ แต่พวกเขาก็สังเกตการทำงานของกันและกัน
น่าสนใจไม่น้อย
ทว่าพวกเขายังไม่รู้ว่าลั่วอู๋เป็นใคร
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเปิดเผยตัวซะแล้ว
“ข้าชื่อ ลั่วอู๋ เป็นบุตรจากตระกูลลั่ว ตระกูลของข้าส่งข้าให้มาทำธุรกิจในเมืองแห่งความพินาศนี้”
ลั่วอู๋ หยิบของที่ระลึกและหนังสือแนะนำของตระกูลลั่วออกมาและพูดอย่างใจเย็น
“เรียกเจ้าของร้านออกมาสิ”
ชายทั้งสามมองหน้ากันราวกับว่าพวกเขากำลังขยิบตาให้กันและอยู่ จากนั้นก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้า
“เขาคือนายน้อย”
“นายน้อยช่างหล่อเหลาจริงๆ”
“ข้าได้ยินมานานแล้วล่ะว่ามีจะคนมา และวันนี้เขาก็มาจริง ๆ”
“นายน้อย ลั่วเดินทางเหนื่อยหน่อยนะขอรับ พักก่อนสักหน่อยไหมขอรับ?”
ลั่วอู๋ ถอยกลับมาหนึ่งก้าวแล้วพูดว่า
“มาคุยกันทีหลังเถอะ เรียกเจ้าของร้านมาเดี๋ยวนี้ ข้าอยากจะทำเรื่องรับช่วงต่องานนี้ก่อน”
“ฮ่าฮ่า เจ้าของร้านตอนนี้ไม่อยู่ขอรับ กว่าจะกลับมาถึงร้าน อย่างเร็วคงแปดหรือเก้าวัน ช้าสุดครึ่งเดือนก็เคยมีมาแล้ว”
ผู้ชายคนหนึ่งพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สิ่งนั้นทำให้ลั่วอู๋ขมวดคิ้วในทันที
“แล้วเขาออกไปทำอะไรกัน ถึงต้องไปนานขนาดนี้”
“ อย่างที่ท่านเห็นธุรกิจในร้านของเรานั้นไม่ค่อยจะดีนัก เจ้าของร้านเลยเดินทางไปหลิงฉวน เพื่อไปเอาเม็ดยาสัตว์วิญญาณ” ชายผู้นั้นกล่าว
เม็ดยาสัตว์วิญญาณเป็นยาชนิดหนึ่งที่มีผลดีต่อสัตว์วิญญาณ มันสามารถปรับปรุงความเร็วของการใช้พลังวิญญาณและเป็นที่นิยมในหมู่มวลชน
ลั่วอู๋ขำเบา ๆ
บังเอิญเกินไปรึเปล่า จากไปทันทีที่เขามาถึงอย่างนั้นหรือ
เขารู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของร้านคนเก่าคิดอย่างไร
หลังจากเปิดร้านมาหลายปีได้ตั้งหลักในดินแดนแห่งนี้ แต่จู่ ๆ เจ้าของร้านคนใหม่ก็ถูกส่งมา ใครมันจะไปรับได้กัน
อย่างไรก็ตาม ลั่วอู๋ ผู้กลายมาเป็นเจ้าของร้านคนใหม่ของร้านค้าจะต้องเชี่ยวชาญมันให้ได้และที่นี่คือรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาฝีมือของเขา
“เอาสมุดบัญชีมาให้ข้าซิ ข้าจะตรวจสอบมันด้วยตัวเอง” ลั่วอู๋พูด
ถ้าอยากจะครอบครองร้านละก็เขาจะต้องเข้าใจร้านก่อน ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการเริ่มต้นจากตรวจดูสมุดบัญชี
ชายผู้นั้นเหยียดยิ้มช้าๆ
“ขออภัยด้วยนายน้อย แต่เจ้าของร้านบอกว่านอกจากเขา ห้ามไม่ให้ใครอ่านสมุดบัญชีได้”
ดวงตาของลั่วอู๋แคบลงเล็กน้อยและเสียงของเขาดูเย็นชาลง
“ต่อจากนี้ไป ข้าเป็นเจ้าของร้านและข้าบอกว่าข้าต้องการตรวจสอบสมุดบัญชี!
“ไม่ได้อย่างแน่นอน.” ทั้งสามคนตื่นตระหนก
ถ้าพวกเขาถูกเรียกเก็บเงินเพราะการทำบัญชีปลอมละก็พวกเขาจบสิ้นแน่
ลั่วอู๋ พูดต่อในทันที “เอาสมุดบัญชีมา”
“อันที่จริงแล้วเราไม่รู้ว่าสมุดบัญชีอยู่ที่ไหนนี่สิ เจ้าของร้านนำมันติดตัวอยู่เสมอ” ทั้งสามคนหัวเราะอย่างขมขื่น
ลั่วอู๋พบว่ามันฟังดูแปลก ๆ ผิดปกติ
ดูเหมือนความเป็นปรปักษ์ของเจ้าของร้านคนเก่าที่มีต่อเขาจะลึกเกินไป ก็เป็นที่เข้าใจได้ที่จะหาทางให้เขาออกไปโดยอ้อม ๆ ซึ่งก็อาจจะเป็นการใช้วิธีกำจัดหนังสือบัญชีออกไป น่าทึ่งจริง ๆ
ลั่วอู๋ไม่ได้พูดอะไรอีก เขานั่งอยู่ตรงนั้นและหลับตา ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ แต่นั่นทำให้ศาลาไป่หยู่มีบรรยากาศที่หม่นหมองขึ้นมา
ชายทั้งสามมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
หรือว่าร้านนี้จะเป็นขยะที่ถูกส่งต่อกันมาแบบนั้นหรือเปล่า
ไม่สิ จะสร้างแรงกดดันให้กับพวกเขาได้อย่างไรเพื่อให้เป็นแบบเดียวกับที่เจ้าของร้านคนเก่าทำ
เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ทั้งสามคนนี้น่าจะมีปัญหา พวกเขาดูต่อต้าน “เจ้านายใหม่” ที่มาจากที่อื่นแบบเขาเพราะพวกเขาสนับสนุนเจ้าของร้านเก่า
แต่ตอนนี้เจ้าของร้านเก่าไม่อยู่ที่นี่และเขาก็มีของส่งมอบจากตระกูลลั่วอยู่ในมือ พวกเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร
ทันใดนั้นชายคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับมีดยาวพาดอยู่บนหลังของเขาและมีงูหลามทองคำพันรัดอยู่ที่แขน ชายผู้นั้นพูดเสียงดัง เขาตบเคาน์เตอร์แล้วตะโกนด้วยเสียงดังหยาบคายว่า
“เฮ้ย! เรียกเจ้าของร้านออกมาเร็วเข้า”
Related