ไหปีศาจ - บทที่ 311 เทศกาลเสริมอายุยืนยาว
บทที่ 311 เทศกาลเสริมอายุยืนยาว
บทที่ 311
เทศกาลเสริมอายุยืนยาว
หลังจากนั้น ลั่วอู๋ก็ใช้เวลาอย่างสบายใจในสำนักโล่พิทักษ์
แร่วิญญาณและสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่ซื้อมาจากคฤหาสน์หวู่หยู่ถูกนำไปใช้ในการสังเคราะห์ แต่ผลลัพธ์นั้นไม่ได้มีอะไรที่สามารถทำให้ลั่วอู๋ตื่นเต้นได้
ลั่วอู๋จึงระดมสมองทั้งหมดของเขาไปที่เสี่ยวชาแทน
สำนักโล่พิทักษ์นั้นกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลล่าสุดในสมุดบัญชี กำไรสุทธิของแต่ละเดือนมีหินวิญญาณไหลเวียนร่วมหลายล้าน
ซึ่ง ลั่วอู๋ ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์ตามธรรมชาติ
เพียงคำสั่งเดียวสมุนไพรวิญญาณและแร่วิญญาณจำนวนมากก็จะถูกส่งมาที่หน้าประตูห้องของเขา แต่แน่นอนว่าลั่วอู๋นั้นไม่ได้โง่
เขารู้ดีว่าการใช้ทรัพยากรมากเกินไปนั้นจะส่งผลต่อการพัฒนาของสำนักโล่พิทักษ์ในอนาคต
เพราะยังไงซะท้ายที่สุดธุรกิจต้องมีการหมุนเวียนเงินทุน
ดังนั้นลั่วอู๋จึงหยิบสมุนไพรวิญญาณระดับสูงออกมาชุดหนึ่ง ซึ่งพวกมันมีมูลค่ารวมกันกว่าล้านหินวิญญาณ แต่พวกมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนักสำหรับสำนักโล่พิทักษ์
สิบวันผ่านไปอย่างไม่เร่งรีบ
สำนักโล่พิทักษ์กำลังเฟื่องฟู และเนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องจัดการสินค้าด้วยตัวเอง ลั่วอู๋ จึงไม่ออกไปสั่งการสุ่มสี่สุ่มห้าและปล่อยให้ เสี่ยวชาเป็นคนจัดการดูแลอย่างเต็มที่
ตอนนี้ลั่วอู๋นั้นพร้อมแล้วที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวง
เขาวางแผนที่จะไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว อย่างไรก็ตาม อาฟู นั้นยังไม่ได้ติดต่อกลับมาเขา เขาจึงต้องไปตรวจสอบสถานการณ์ของอาฟูที่อยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิเสียก่อน
ผู้คนของสำนักโล่พิทักษ์เป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับเขา พวกเขาต่างให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องกับลั่วอู๋มาตลอด ดังนั้นกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสำนักโล่พิทักษ์จึงต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างแรก
ก่อนที่จะเดินทางออกจากเมือง ลั่วอู๋ได้แวะไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉู
ฉูจงฉวน นั้นไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลฉู และเขาไม่ยังเคยแวะกลับมานับตั้งแต่วันที่เข้าไปในสำนักเฉียนหลง คนในตระกูลฉูจึงพากันถาม ลั่วอู๋ อย่างกังวลว่าฉูจงฉวนหายไปไหน
ดูเหมือนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉูจงฉวน
“มันเป็นเรื่องแปลกที่ฉูจงฉวนจะทำตัวไร้สาระแบบนี้ เขาจะไม่กลับมาที่บ้านของตัวเองเลยได้ยังไง?” ลั่วอู๋รู้สึกงงงวย
ในที่สุด ลั่วอู๋ ก็รับปากให้คำสัญญาว่า ถ้าเขาเจอ ฉูจงฉวน ลั่วอู๋จะพาตัวเขากลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลฉูอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น ลั่วอู๋ ก็เดินทางออกจากมณฑลหมิงหนานไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ตวนซีกลายร่างเป็นม้าผีควบไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ ด้วยความเร็วอันรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตามยิ่งพวกเขาเข้าใกล้เมืองหลวงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผู้คนมากขึ้นเท่านั้น
ต่อมาลั่วอู๋ก็ได้รู้ว่าเหตุเกิดจาก ที่เมืองหลวงได้มีการจัดเทศกาลเสริมอายุยืนยาว ทางจักรวรรดิจึงมีการตรวจสอบเข้มงวดกับคาราวานต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความแออัดของฝูงชน
ทางข้ามพรมแดนไปสู่เมืองหลวงต่างก็แออัดไปกันเสียหมด
แต่ด้วยที่เขาขี่ม้าผี ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณหายากและโดดเด่น อีกทั้งยังมีคนโดยสารมาเพียงสองคนผู้ตรวจการจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบมากเท่าไหร่ อย่างราบรื่น
เมื่อผ่านไปประมาณสองวัน ลั่วอู๋ และ หลี่หยิน ก็มาถึงพื้นที่อันรุ่งเรืองในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
บรรยากาศนั้นช่างสมกับเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดอกไม้ไฟถูกจุดประกายขึ้นไปบนฟ้ามากมาย มีพ่อค้าแม่ค้าหลั่งไหลเข้ามาไม่สิ้นสุด กำแพงเมืองเองก็มีศิลปกรรมวิจิตรตระการตา ด้วยลวดลายของมังกร
ซงหลิน และ เฉินเสี่ยว เหล่าพ่อค้าระดับแนวหน้าเองก็มาที่นี่
ถนนอันกว้างใหญ่นั้นเต็มไปด้วยการจราจรอันคับคั่ง เรือหลายพันลำแล่นไปตามทางน้ำเข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
ในด้านของความเฟื่องฟูนั้น แม้แต่มณฑลทางใต้ที่มีชื่อเสียงก็คงไม่อาจจะเทียบเทียมได้
“ตอนที่ข้าอยู่ที่นี่ข้าไม่เคยได้มองมันอย่างละเอียดเลย ต่างจากตอนนี้ที่ข้าสงบลงแล้วพอมองไปรอบ ๆ ข้าก็ได้รู้ว่าเมืองหลวงของจักรวรรดินั้นรุ่งเรืองมากแค่ไหน” ลั่วอู๋รู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างช่วยไม่ได้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่ากองกำลังอันทรงพลังจำนวนมากได้ฝึกฝนฝึกปรือกันแก่งแย่งกัน เพื่อที่จะได้เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ มีเพียงผู้มีอำนาจที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิได้ตลอดศก
ลั่วอู๋เกรงว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว สำหรับสำนักโล่พิทักษ์ในการเข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
อีกอย่างตอนนี้พวกเขายังขาดข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ มากเกินไป
นอกจากนี้ไม่มีข้อได้เปรียบในแง่ของสินค้าอีกด้วย
ดวงตาของลั่วอู๋เป็นประกาย “แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก หากก้าวไปทีละขั้นตอนล่ะก็ สักวันก็คงจะตั้งหลักในเมืองหลวงของจักรวรรดิ และมันจะเป็นผลดีมากในระยะยาว”
แม้ว่าในที่อื่น ๆ จะมีการพัฒนารวดเร็วเพียงใด มันก็ยังมีขีดจำกัด แต่ก็ไม่ใช่กับเมืองหลวงของจักรวรรดิ ที่มีราชวงศ์มังกรเร้นกายอาศัยอยู่ มันคือสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดและพัฒนาอยู่ตลอด
ตามที่เสี่ยวชาแนะนำมา ลั่วอู๋ได้เดินทางไปติดต่อกับทางคฤหาสน์ชวนเทียน
……
……
ณ สำนักงานใหญ่ คฤหาสน์ชวนเทียน
อาฟูกำลังเฝ้ารออยู่ในห้องอย่างหดหู่
เขาอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือนแล้วโดยที่ยังไม่ได้ส่งข่าวคราว ใด ๆ กลับไปเลย
“ข้าเริ่มจะกังวลเกี่ยวกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตอนนี้ซะแล้วสิ” อาฟูรู้สึกน้อยอกน้อยใจ
เนื่องในงานวันคล้ายวันพระราชสมภพ 60 พรรษาขององค์จักรพรรดิ เมืองหลวงของจักรวรรดิจึงจัดเทศกาลเสริมอายุยืนยาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีนี้ มันเป็นเหมือนการแสวงบุญจากทั่วทุกมุมโลก
ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท ขุนนางในราชสำนัก ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจและ กองกำลังซูเซเรนที่ตั้งฐานอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ต่างออกมาเข้าร่วมงาน
พวกเขาต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากกับเทศกาลนี้
หอการค้ารายใหญ่ต่างก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการเสนอขายสินค้าต่างๆ โดยหวังว่าจะสามารถโอกาสทำกำไรได้จากพวกเขา
เหล่าผู้ที่ยังไม่ได้ตั้งถิ่นฐานในเมืองหลวงของจักรวรรดิต่างก็ต้องการหาโอกาสที่จะเข้าสู่สายตาของผู้คนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้
ในขณะเดียวกันผู้ที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวงก็ต้องการที่จะหารายได้เพิ่มเพื่อให้ตัวเองสามารถยืนหยัดต่อไปได้
แม้แต่ร้านค้าระดับสูงเช่นคฤหาสน์ชวนเทียนเองก็ยังให้ความสนใจวันพระราชสมภพของจักรพรรดิมาก ร้านค้าต่าง ๆล้วนมารวมตัวกันที่คฤหาสน์ชวนเทียน เพื่อหารือเกี่ยวกับการเสนอสินค้าเป็นของขวัญ
เดิมทีอาฟูได้นำสินค้ามาจำนวนหนึ่งและหวังว่าจะได้โอกาสดี ๆ ในการขายพวกมัน ผ่านความสัมพันธ์ที่มีระหว่างลั่วอู๋กับหวังฉี
มันจะดีกว่านี้มาก ถ้าเขาสามารถเข้าไปในเขตพระราชวังได้
น่าเสียดายที่มันบังเอิญไปตรงกับเทศกาลเสริมอายุยืนยาวพอดี
เทศกาลเสริมอายุยืนยาวในปีนี้ดูเหมือนจะสำคัญมากกว่าปกติ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สถานการณ์ของสำนักโล่พิทักษ์อยู่ในจุดที่น่าอับอายมาก เนื่องจากอาฟูไม่ได้เตรียมสินค้าหายากใด ๆ ติดมือมาด้วย อีกทั้งเขายังไม่สามารถติดต่อกลับไปยังเขต หมิงหนานได้เสียด้วย
เนื่องจากกองกำลังทั้งหมดได้มารวมตัวกันในเมืองหลวงของจักรวรรดิ และเส้นทางต่าง ๆ ในการเข้าออกเมืองหลวงต่างก็เต็มไปด้วยผู้คนแออัดมันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสามารถส่งข่าวกลับไปได้
“ ทั้งที่ นี่เป็นโอกาสอันดีในการเสนอสินค้าแท้ ๆ หากข้าสามารถนำสินค้าหายากที่นายน้อยทิ้งไว้ให้มาที่นี่ได้ล่ะก็ สำนักโล่พิทักษ์อาจจะแสดงความยอดเยี่ยมของเรา ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากในคฤหาสน์ชวนเทียน ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเราได้มาตั้งรกรากในเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้วแท้ ๆ” อาฟูรู้สึกเสียใจเป็นครั้งที่ 100
เมื่อนึกถึงการประชุมในคฤหาสน์ชวนเทียนที่จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน อาฟูก็รู้สึกโกรธ
ร้านค้าต่าง ๆ ได้เสนอสินค้าหายากหรือแปลกใหม่ออกมา จากนั้นคฤหาสน์ชวนเทียนก็จะคัดเลือกสินค้าเหล่านั้นจากร้านค้าต่าง ๆ และทำการติดป้ายชื่อร้านค้าเหล่านั้นเพื่อส่งไปยังพระราชวังของจักรวรรดิในนามของคฤหาสน์ซวนเทียน
แน่นอนว่าสำนักโล่พิทักษ์ในตอนนั้นไม่มีอะไรจะให้ เป็นผลให้เขาถูกเหล่าร้านค้ารายใหญ่เยาะเย้ย
อาฟูรู้สึกละอายใจ
ช่างน่าละอายที่เขาต้องทำให้นายน้อยเสียหน้า
“ขอข้าเข้าไปได้ไหม ? เจ้าของร้าน ฟู?” เสียงที่ดังมาจากด้านนอกเป็นเสียงของ เลขาเฉิน
เลขาเฉินคนนี้เป็นญาติโดยตรงของหวังฉี ตามหลักแล้วหวังฉีนั้นมีงานต้องทำมากมายและไม่สามารถเจียดเวลามาสนใจอาฟูได้ เขาจึงส่งเลขาเฉินคนนี้มาดูแลอาฟูแทน
อาฟูเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “เลขาเฉิน ท่านติดต่อสำนักงานใหญ่ของสำนักโล่พิทักษ์ได้ไหม?”
“ข้าเกรงว่าจะยังไม่ได้ขอรับ” เลขาเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว“ท่านก็รู้สถานการณ์ปัจจุบัน ทุกที่นั้นแออัดไปหมดด้วยผู้คนที่มารวมตัวกัน สถานีไปรษณีย์ใหญ่แต่ละแห่งเองก็ตกอยู่ในสภาพที่แทบจะเป็นอัมพาต”
อาฟูทำอะไรไม่ถูก
น่าเสียดายที่สำนักโล่พิทักษ์ ไม่ใช่หนึ่งในสาขาของทางคฤหาสน์ชวนเทียนมันจึงเป็นเรื่องยากในการส่งข่าว อีกทั้งเขายังไม่สามารถติดต่อกับหวังฉีได้ ตอนนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่ลำบากมาก
เขาไม่ได้คิดจะตำหนิท่านหวังฉี เพราะเดิมทีแล้วเขาก็ให้ความสำคัญกับทางสำนักโล่พิทักษ์ถึงขั้นที่ส่งคนมารับรอง
อย่างไรก็ตามด้วยสภาพในตอนนี้เขางานยุ่งเกินกว่าจะมีเวลามาสนใจสำนักโล่พิทักษ์
“ตอนนี้เมืองหลวงของจักรวรรดินั้นกำลังยุ่งเหยิง อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้เหล่าลูกหลานผู้มีพรสวรรค์ก็ได้ทยอยกลับมาจากสำนักเฉียนหลงกันทำให้สถานการณ์ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก” เลขาเฉิน กล่าว
ทันใดนั้นเลขาเฉินก็พูดว่า “อย่างไรก็ตามมีชายคนหนึ่งด้านนอกคฤหาสน์ชวนเทียน กำลังตามหาท่าน ข้าก็เลยคิดว่าบางทีทางสำนักโล่พิทักษ์อาจจะส่งคนมาก็ได้ และพาเขาเข้ามาที่นี่”
“มันไม่มีประโยชน์แล้วที่จะส่งคนมาในเวลานี้ มันเป็นโชคร้ายของข้าที่ทำให้สำนักโล่พิทักษ์ต้องเสียชื่อ” อาฟูพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
แต่มันก็ไม่เป็นไร
ถ้าอีกฝ่ายมาจากสำนักโล่พิทักษ์ จริงๆ อย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่เหงาเกินไป ในเมืองหลวงของจักรวรรดิแห่งนี้เต็มไปด้วยความกดดันจากรอบข้าง หากเขาผลีผลามทำอะไรก็ยิ่งทำให้พลาดโอกาสไปมากกว่าเดิม
ลั่วอู๋เดินออกมาจากด้านหลังของเลขาเฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วจะเป็นประโยชน์ไหม หากเป็นข้าที่มาที่นี่?”
อาฟู ตกตะลึง จนตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขากระโดดขึ้นแล้วร้องออกมา ” นายน้อย! ท่านกลับมาแล้ว งั้นเหรอ ?”
และแล้ววันนี้ความกดดันและความคับแค้นใจทั้งหมดของอาฟูก็ถูกระบายออกไปจนหมดในทันที