ไหปีศาจ - บทที่ 374 การกลับมาของ เฉินหมิงหยู
บทที่ 374 การกลับมาของ เฉินหมิงหยู
บทที่ 374
การกลับมาของ เฉินหมิงหยู
สองเดือนต่อมา
ภูเขาเทียนเฉินขนาดใหญ่ ซึ่งเดิมทีเป็นพื้นที่อันเงียบสงบ ปัจจุบันได้เต็มไปด้วยคลื่นลมอันรุนแรงและความปั่นป่วนของห้วงมิติที่เอ่อล้นไปทุกที่
การฉีกขาดของพื้นก่อนหน้านี้ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของห้วงมิติ คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวสักพัก
เพราะท้ายที่สุดแล้วที่นี่นั้นเป็นขอบของห้วงมิติที่กำลังทับซ้อนกันอยู่ทำให้พื้นที่บริเวณทั้งหมดมีความหนาแน่นไม่คงที่
กรร
บนภูเขามีเสียงของสัตว์วิญญาณอันน่ากลัวดังกึกก้อง
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภูเขาสั่นไหว แต่ใบหน้าต้าหวงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ลมปราณของมันแข็งแกร่งขึ้นมาก เหนือกว่าระดับทอง มิติ 3 ไปแล้ว
ลมปราณของต้าหวงนั้นรุนแรงขึ้น มิติวิญญาณของมันได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นระดับทอง มิติ 5 ขนสีขาวราวหิมะของมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือด
แต่นี่ไม่ใช่เลือดของมัน
มันคือเลือดของเหยื่อ
ไหลท่วมเขี้ยวอันดุร้ายสีขาวของมัน
ไม่ไกลนักในป่าใหญ่มีเสียงของกีบเท้าเหยียบย่ำ พื้นสั่นสะเทือน ต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกหักลงพร้อมกับฝุ่นตลบปลิวว่อน เผยให้เห็นร่างของสัตว์วิญญาณขนาดใหญ่หลายสิบตัววิ่งออกมา
สัตว์วิญญาณเหล่านี้มีรูปร่างเหมือนแรด พวกมันมีเขาสีเงินยาวบนหัว ร่างกายใหญ่โตเหมือนเนินเขา เหล็กกล้า ตาของพวกมันมีสีแดงและลมปราณที่แผ่ออกมาก็สัมผัสได้ถึงความดุร้าย พวกมันกำลังหนาวสั่นด้วยความกลัว
พวกมันคือสัตว์วิญญาณระดับทอง แรดยักษ์บอลเหล็กกล้า
ที่มาของชื่อนี้เป็นเพราะว่า ในตอนที่พวกมันเกิดมา มันจะอยู่ในสภาพขดตัวเป็นลูกบอลเล็ก ๆ เพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายจากโลกภายนอกด้วยผิวหนังอันแข็งแกร่ง
สัตว์วิญญาณชนิดนี้นั้นขี้หงุดหงิดมาก นอกจากนี้ยังอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม แม้แต่ผู้ใช้พลังวิญญาณที่อยู่ในระดับทองขั้นสูงก็ยังไม่กล้าท้าทายพวกมัน
แต่ลั่วอู๋กล้าที่จะทำ
เพราะต้าหวงชอบกินพวกมันมาก
พวกมันเหล่านี้ไล่ลั่วอู๋มาตลอดทั้งเดือน แต่ด้วยความสามารถในการต่อสู้ และการวางแผน ลั่วอู๋จึงสามารถสร้างความเสียหายให้กับกลุ่มแรดยักษ์บอลเหล็กกล้าได้เป็นอย่างมาก
จำนวนแรดยักษ์บอลเหล็กกล้าถูกลดลงจาก 83 เหลือ 50 ตัว แต่ดูเหมือนว่าพวกมันไม่เข้าใจว่าการยอมแพ้นั้นหมายถึงอะไร พวกมันจึงยังคงไล่ตามเขาอยู่
“ขนาดตอนพวกเจ้ามี 83 ตัวข้ายังไม่กลัวพวกเจ้า แล้วคิดว่าไล่ตามข้าตอนนี้ข้าจะกลัวรึไง?” ดวงตาของลั่วอู๋เย็นชาราวกับว่าเขากำลังมองไปที่กองศพ
หลายเดือนที่ผ่านมานี้เขาได้ผ่านการต่อสู้ติดต่อกันหลายครั้ง ลั่วอู๋ จึงคุ้นเคยกับการต่อสู้ที่ต้องเดินเดินเตร่อยู่บนเส้นของชีวิตและความตาย มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาของเขาไปแล้ว
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเขาเผชิญกับประสบการณ์เฉียดตายถึง 7 ครั้ง แน่นอนว่าหากปราศจากความช่วยเหลือจากประสบการณ์ของเขา เขาก็คงจะไม่รอดมาถึงตอนนี้
เมื่อมันเป็นการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ศักยภาพสูงสุดของผู้คนก็ย่อมจะถูกบีบออกมา
ระดับความเชี่ยวชาญในทักษะ กลืนกินสวรรค์ ของเขาพัฒนาขึ้นไปถึง 35% และระดับความเชี่ยวชาญของทักษะ ลมหายใจมังกร ก็พัฒนาขึ้นไปถึง 32%
“ผสานพลังวิญญาณระหว่างสัตว์วิญญาณ!”
ทันทีที่ลั่วอู๋ยกมือขึ้นต้าหวงก็กลายเป็นแสงสีขาวหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของเขา เผยให้เห็นเงาของสุนัขสีขาวตัวใหญ่ส่งเสียงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า
กรร!
พลังแห่งการทำลายล้างเข้ามาบรรจบกันอย่างรวดเร็ว
พลังของมังกรคือพลังอันทรงพลัง
เพียงชั่วพริบตา ลมหายใจมังกรก็พร้อมสำหรับการใช้งาน พลังทำลายล้างถูกปล่อยออกมากลายเป็นเสาแสงขนาดใหญ่ฟาดลงกับพื้นแล้วระเบิดออก
มันทรงพลังขึ้นเป็นอย่างน้อยสองเท่าหากเทียบกับในอดีต
ตูม ตูม
แผ่นดินแตกแยกออก ภูเขาถูกถล่มด้วยเสาไฟทำลายล้าง
พลังวิญญาณที่แผ่ออกทำให้แรดยักษ์บอลเหล็กกล้าแปดตัวบาดเจ็บสาหัสในทันที มันกระจัดกระจายกันออกไปทุกทิศทุกทาง
แม้ว่าการป้องกันของพวกมันจะแข็งแกร่งมาก แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานลมหายใจมังกรของลั่วอู๋ได้
ลั่วอู๋หัวเราะ จากนั้นก็ใช้ “กลืนกินสวรรค์” กลืนแรดยักษ์บอลเหล็กแปดตัวเข้าไป
พวกมันถูกเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์รวมเข้ากับร่างกายของลั่วอู๋และต้าหวงอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณที่หายไปจะถูกเติมเต็มในทันที อาการบาดเจ็บเล็กน้อยบางส่วนตามร่างกายของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าการสูญเสียพลังกายนั้นไม่สามารถกู้คืนได้
การใช้ทักษะระดับ SS สองอันอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะมีระดับความเชี่ยวชาญสูง แต่มันก็ต้องใช้แรงกายเป็นอย่างมาก ลั่วอู๋จึงไม่สนใจที่จะต่อสู้ต่อไปให้ยืดเยื้อและพร้อมที่จะหลบหนี
การต่อสู้แบบกองโจรเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับสัตว์วิญญาณที่อยู่เป็นกลุ่มก้อนแบบนี้
ทางด้านแรดยักษ์บอลเหล็กกล้าเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าการเลือกคู่ต่อสู้ของพวกมันในครั้งนี้ไม่ถูกต้อง พวกมันต่างเหยียบกีบด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นก็สะอื้นเสียงเบาหันศีรษะวิ่งหนีกลับเข้าไปในภูเขา
พวกมันเข้าใจแล้ว
พวกมันรู้แล้วว่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าพวกมันนั้นไม่ใช่ตัวตนที่สามารถจะยั่วยุได้
“เฮ้ย อย่าเพิ่งกลับไปสิ” ‘ลั่วอู๋กู่ร้อง
ทว่าทันทีที่แรดยักษ์บอลเหล็กกล้าเหล่านี้ได้ยินเสียงของ ลั่วอู๋ มันก็วิ่งหนีด้วยความเร็วที่มากขึ้น
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก
การเก็บเกี่ยวตลอดเวลาสองเดือนนี้น่าจะเพียงพอแล้ว
“ ใกล้ถึงเวลาออกจากที่นี่แล้วสินะ” ลั่วอู๋ มองไปรอบ ๆ ภูเขาเทียนเฉิน พื้นที่มีความปั่นป่วนของห้วงมิติ เต็มไปด้วยการกระเพื่อม ซึ่งเป็นสัญญาณของความไม่มั่นคงทางห้วงมิติ
บางส่วนคงเป็นผลกระทบที่เกิดจากการใช้ทักษะกลืนกินสวรรค์หลายต่อหลายครั้งที่นี่ของเขา
แต่ในขณะที่ลั่วอู๋กำลังจะเดินจากไป ก็มีเสียงร้องอันน่าตกใจดังมาจากบนท้องฟ้าคล้ายกับเสียงของนกหรือเสียงของสิงโต
ลั่วอู๋เงยหน้าขึ้นไป
เขาเห็นบางอย่างเหมือนกับงูสีดำที่มีปีกบาง ๆ บนหลังและบิดตัวไปมาระหว่างรอยแตกในอวกาศ
สัตว์วิญญาณที่มีส่วนโค้งสีขาว หลายตัวกระโดดไปมาบนรอยแตกห้วงมิติ ราวกับว่ารอยแตกนั้นเป็นเหมือนสระว่ายน้ำสำหรับมัน
เดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า!
แม้แต่ในความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด ก็ยังมีสัตว์วิญญาณ พวกมันเหล่านี้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางความปั่นป่วนของห้วงมิติ ดังนั้นพวกมันจึงถูกมนุษย์เรียกว่าเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า
เดรัจฉานแห่งความว่างเปล่าเป็นชื่อทั่วไปหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในความว่างเปล่า
พวกมันมีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งและร่างกายที่อ่อนแอ เป็นสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากมาก แต่โดยธรรมชาติแล้วพวกมันเป็นผู้ควบคุมพลังห้วงมิติที่ทรงพลัง
“โชคดีจริง ๆ” ดวงตาของลั่วอู๋สว่างขึ้น
ลั่วอู๋ดูข้อมูลเกี่ยวกับมันอย่างรวดเร็ว
เผ่าพันธุ์: เดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า
ระดับ: ทองขั้นสูง
มิติวิญญาณ: ระดับทอง มิติ 1
ทักษะ: ทะลวงมิติ (ระดับ SS), การรับรู้ทิศทาง (ระดับ A), ตัดห้วงมิติ (ระดับ s), ทลายช่องว่าง (ระดับ s)
พื้นเพ: สัตว์ลึกลับอาศัยอยู่ในความว่างเปล่า
เดรัจฉานแห่งความว่างเปล่าเกิดขึ้นจากรอยแยกห้วงมิติ พวกมันมักจะไม่ได้พบใครอีกเป็นครั้งที่สองตลอดชีวิตของพวกมัน เพราะห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุดนั้นกว้างใหญ่เกินไป
“เป็นสัตว์วิญญาณที่น่าสนใจมาก ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เก็บเกี่ยวอะไรแบบนี้” ทันทีที่ลั่วอู๋พร้อมที่จะจับเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ มันเป็นของข้า ข้าไม่สามารถยอมให้ท่านโจมตีมันได้”
น้ำเสียงดูขี้เล่นเล็กน้อย
ลั่วอู๋เงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียง
หญิงสาวที่กำลังขี่นกอมตะสีเงินขนาดใหญ่ ปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่าพร้อมกับรอยยิ้มอันมั่นใจราวกับไข่มุกที่ส่องแสงพราว
หญิงสาวที่เป็นดั่งดวงจันทร์ดวงน้อยของตระกูลเฉิน รู้จักกันในนาม เฉินหมิงหยู ผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับอัจฉริยะ ระดับที่ว่าหาได้ยากในรอบพันปี
หนึ่งปีที่แล้ว เฉินหมิงหยู ออกไปพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเอง
ตอนนี้นางกลับมาจากความว่างเปล่า ด้วยสีหน้าอันสดใสแพรวพราว
“เฉินหมิงหยู!”
ทันทีที่ได้เห็นคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนาน ลั่วอู๋ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า เจ้ากลับมาแล้วสินะ ในเมื่อมันเป็นของเจ้า ข้าก็จะไม่ลงมือ” ลั่วอู๋หัวเราะ
นกอมตะร่อนลงจอด จากนั้นเฉินหมิงหยู ก็เดินเข้าไปหาเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า ร่างกายของนางดูเหนื่อยเล็กน้อย
เฉินหมิงหยู มองไปที่ ลั่วอู๋ ด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันคืออะไร?”
“เดาดูสิ” สีหน้าของลั่วอู๋ไม่เปลี่ยนแปลง
เฉินหมิงหยู สงสัยเล็กน้อย นางรู้ดีว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นสัตว์วิญญาณชนิดนี้ มันแตกต่างไม่เหมือนใคร ระดับที่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นมันจากหนังสือโบราณเล่มใด ๆ
แม้นางจะไม่รู้ว่าเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่านั้นมีชื่อว่าอะไร แต่ลั่วอู๋กลับรู้
แต่นางไม่สนใจ นางเห็นเรื่องความรู้ที่เหนือกว่าผู้อื่นของลั่วอู๋มานานมากแล้ว
“ข้าได้เดินทางเข้าสู่ความว่างเปล่า เพื่อทำความเข้าใจกับวิชาลับซึ่งเป็นมรดกของตระกูล แต่ข้านั้นเกือบหลงทางไปในความว่างเปล่า โชคดีที่ข้าได้พบกับมันจึงรอดมาได้” เฉินหมิงหยู กล่าวด้วยความกลัว
การหลงเข้าไปในความว่างเปล่า มันเป็นเรื่องน่ากลัวมาก
ถ้านางไม่สามารถเอาชนะ เดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า นางคงจะต้องหลงอยู่ในความว่างเปล่าตลอดกาล
จากนั้น เฉินหมิงหยู ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ข้าจะยังไม่เข้าใจในวิชาลับของตระกูลดี แต่เมื่อได้รวมมันเข้ากับประสบการณ์ในชีวิตของข้า ข้าก็สามารถสร้างวิชาการปรับแต่งใหม่ขึ้นมาได้ ตอนนี้ข้าได้ยกระดับเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับสูงจริง ๆแล้ว”
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
ความสามารถที่นางพูดถึงเป็นแบบไหนกัน
บางทีนางอาจจะอยู่ห่างจากเซียนผู้แข็งแกร่งเพียงก้าวเดียว
มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะอธิบายว่านี่เป็นการค้นพบระดับประวัติการณ์
ฉายาของอัจฉริยะระดับปีศาจนั่นย่อมเป็นข้อการันตีในเรื่องนี้
เฉินหมิงหยู จ้องมองไปที่ ลั่วอู๋ ด้วยดวงตาอันสดใส “ข้าสามารถพยุงตัวเองกลับมาจากความว่างเปล่าอันน่ากลัวได้ นั้นก็เพราะแรงผลักดันสนับสนุนที่ทำให้ข้าต้องยังมีชีวิตอยู่ หรือก็คือท่าน!”
“ท่านอาจารย์!”
“ได้โปรด.”
“โปรดรับคำท้าทายของข้าทีเถอะ”