ไหปีศาจ - บทที่ 412 กลับมา
บทที่ 412 กลับมา
บทที่ 412
กลับมา
ลั่วอู๋เลือกที่จะปล่อยเหวินเสี่ยวไป
เหวินเสี่ยวในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันและพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อจุดประสงค์นี้
“ถ้าเจ้าช่วยมันไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้า” เหวินเสี่ยวมองลั่วอู๋ อย่างดุร้าย
“กว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ มีหวังพระราชวังเป่ยหมิงของเจ้าได้จมลงก่อนแน่” ลั่วอู๋กล่าว
“ในโลกนี้มีหลายวิธีในการฆ่าคน ” เหวินเสี่ยวขู่
ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ “ข้าแนะนำให้เจ้าเคารพข้าสักหน่อยนะ เนื่องจากเจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้ความหวังเดียวของเจ้าคือข้า ถ้าเจ้าทำให้ข้ากังวล ข้าจะยกเลิกขอตกลงกับเจ้าโดยตรง และขอให้ผู้บัญชาการหลิงหลงฆ่าสัตว์วิญญาณแห่งพระราชวังเป่ยหมิงซะ”
เหวินเสี่ยวตกใจ
ผู้บัญชาการหลิงหลงยังคงติดหนี้บุญคุณลั่วอู๋อยู่ ซึ่งเขาก็รู้ดี
ดวงตาของเหวินเสี่ยวขุ่นมัวเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “โปรดช่วยข้ารักษาสัตว์วิญญาณแห่งราชวังเป่ยหมิงด้วยเถอะ”
ลั่วอู๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ลั่วอู๋ไม่แน่ใจเกี่ยวกับการช่วยสัตว์วิญญาณแห่งเป่ยหมิงว่าเขาจะทำได้รึเปล่า แต่เหวินเสี่ยวนั้นมีมิตรภาพที่ดีกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำมันได้หรือไม่ก็ต้องลองดู
เขารู้สึกไม่ดีเลยที่จะต้องถูกเฝ้าดู และถูกปองร้ายหวังฆ่า
แต่เขาก็ไม่สามารถทำใจฆ่าเหวินเสี่ยวได้
“นี่ยังไม่สายเกินไป เจ้ารีบไปกับข้าเถอะ” เหวินเสี่ยวกระตุ้น
ลั่วอู๋เหลือบมองเขา “ไม่ต้องกังวลน่า สำนักเฉียนหลงกำลังจะมีวันหยุดในอีกไม่กี่วัน ข้ากำลังจะกลับบ้าน เจ้ารอจนกว่าข้าจะกลับได้ไหม”
“นั่นมันไม่นานหลายเดือนเลยเหรอ?” เหวินเสี่ยวกำลังรีบ
ลั่วอู๋ บ่นว่า “เจ้ามีอะไรเร่งด่วนงั้นเหรอ? พวกเราต้องใช้เวลาหลายเดือนในการเดินทางไปที่ทะเลเหนือสุดขอบ ข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องทำก่อน”
เหวินเสี่ยว หันศีรษะของเขาอย่างไม่เต็มใจ
ด้วยสถานะของเขาตอนนี้ เขาทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วเขามีทางเลือกแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
ทันใดนั้นก็มีร่างที่ดูสบาย ๆเดินเข้ามาในประตูอย่างร่าเริง “ฮ่า ฮ่า ลั่วอู๋ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเพิ่งกลับมาจากหุบเขามรณะใช่ไหม ?”
เขาคือ ฉูจงฉวน ที่เดินเขามาอย่างไร้มารยาทผิดกฏของสำนักเฉียนหลงอย่างไม่แยแส
เขาเรียกสัตว์วิญญาณทั้งสามวิญญาณของตนออกมา ภูตไฟที่สง่างามด้วยรูปร่างแบบเดียวกับนางสนมหยู่ ภูตทะเลทรายที่น่ารัก และ คนสุดท้ายคือ อาชูร่า หญิงสาวที่มีสามหัวหกแขน และอารมณ์อันดุร้าย
ตอนนี้หลินยูหลัน ไม่ได้อยู่ในสำนักเฉียนหลง
ฉูจงฉวนจึงสามารถเรียกสัตว์วิญญาณทั้งสาม ที่เขาเรียกว่าตัวตนแห่ง “ความงาม” ออกมาได้อย่างไม่ต้องกังวล แม้จะดึงดูดสายตาที่อิจฉามากมายก็ตาม
เดิมทีเพื่อที่จะหนีจากนรกมนตรา อาชูร่าจึงได้ทำ พันธสัญญากับเขา แม้ช่วงแรกจะยังไม่ได้ยอมรับ ฉูจงฉวนเท่าไหร่ แต่ตอนนี้นางก็สงบลงมากแล้ว และไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธอะไร
ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข “เจ้ากลับมาแล้วเหรอ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลยนะ?”
“ แน่นอน เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นใคร” ฉูจงฉวน ขมวดคิ้ว “ต้องขอบใจ แร่วิญญาณบริสุทธิ์ที่เจ้ามอบให้กับข้าในวันนั้นมาก ตอนนี้ข้าเลยไปถึงมิติวิญญาณระดับทอง มิติเจ็ดแล้ว”
เขาพัฒนาก้าวกระโดดไปถึงสองระดับมิติวิญญาณติดต่อกัน ซึ่งถือว่าเร็วมาก
อีกทั้งระดับมิติวิญญาณของสัตว์วิญญาณทั้งสามเองก็ไม่ได้ต่ำเลย อาชูร่า นั้นได้ไปถึงระดับทอง มิติ 9 แล้ว คาดว่าคงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเดียวกันเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถต่อสู้กับ ฉูจงฉวนได้
“ว่าแต่ผลลัพธ์การไปหุบเขามรณะของเจ้าเป็นยังไงบ้าง ? เจ้าได้พบภูตไหที่เจ้ากำลังมองหารึเปล่า?” ฉูจงฉวน ถามด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่ายหัว “ก็เจออยู่หรอก แต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยดีนัก”
“ช่างน่าสมเพชนัก” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องเป็นเพราะข้าไม่ได้ไปกับเจ้าแน่ ๆ ดาวโชคดีของเจ้ามันอยู่กับข้า ข้าจะติดตามเจ้าไปในครั้งต่อไปที่เจ้าเดินทางแน่ ข้าสัญญาเลย”
ลั่วอู๋กล่าวว่า “บังเอิญจริง ข้ากำลังจะไปเป่ยไห่ในเดือนนี้พอดี”
“ไม่จริงน่า ? เจ้าจริงจังใช่ไหม ? เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ คราวนี้เจ้าจะไปทำอะไรในทะเลเหนือสุดขอบ?” ฉูจงฉวน ถาม
“ช่วยเหวินเสี่ยวน่ะ เจ้าจะไปด้วยกันไหม?”
“แน่นอนสิ แม้ว่าทะเลเหนือจะรกร้าง แต่ก็ยังมี สัตว์วิญญาณที่หายากมากมาย มันเป็นสถานที่ที่ดีในการเพิ่มพูนความรู้ของข้า”
“ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าอยากเห็นเงือกแห่งห้วงลึกใช่ไหมล่ะ ?” ลั่วอู๋ถาม
นางเป็นหนึ่งในสามของสัตว์วิญญาณที่ฉูจงฉวนต้องการมากที่สุด
“ไม่หรอก ข้าแค่อยากไปกับเจ้า” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยคำพูดที่ชอบธรรม “มันเป็นอีกวิธีที่ข้าจะได้เห็นความงามของเงือกแห่งห้วงลึก เจ้าเป็นคนชอบสะสมสัตว์วิญญาณใช่ไหมล่ะ เก็บมันไว้สักตัวสิ แล้ว เดี่ยวข้าจะแวะไปดูสักครั้ง”
“ฮึ่ม”
ฉูจงฉวน สังเกตเห็นสีหน้าของเหวินเสี่ยว ดูเหมือนว่าเขาจะตระหนักได้ถึงท่าทีที่แปลกประหลาดไปของเขา
“เหวินเสี่ยวเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า? ถ้าเจ้าอารมณ์ไม่ดี ข้าจะทำอย่างไรให้เจ้าสบายใจได้ ?” ฉูจงฉวน พูดอย่างอยากรู้อยากเห็น
เหวินเสี่ยวเหลือบมองเขา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ อะ..อะไรกัน?” ฉูจงฉวน สับสนและหันไปถาม ลั่วอู๋ “เขาเป็นอะไรไป? ดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาการต่อสู้อยู่ ยังไงอย่างนั้นแหละ ?”
“เขาผ่านอะไรแปลก ๆ มาทั้งปีแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะหงุดหงิดที่จะได้พักเพียงครึ่งปีน่ะ” ลั่วอู๋ตอบ
“เขาน่าจะไม่ได้พักมานานมาก” ฉูจงฉวน มองไปที่ เหวินเสี่ยว อย่างเห็นอกเห็นใจ “น่าสังเวชเกินไปแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนให้ดีนะ อย่าฝืนหักโหมหนักเกินไป เดี๋ยวก็ไปทะเลเหนือสุดขอบไม่ไหวหรอก”
เหวินเสี่ยวหมดความอดทน “นี่คือธุระของข้าจะไม่ไปได้ยังไงล่ะ ?”
“ดี ดี ไปกัน ๆ” ฉูจงฉวน กล่าวขณะพยายามเกลี้ยกล่อม
ใบหน้าของเหวินเสี่ยวเปลี่ยนเป็นสีดำด้วยความหงุดหงิด
ในเวลานี้เสียงระฆังอันไพเราะก็ดังขึ้นในสำนักเฉียนหลง
ระฆังนี้จะดังก็ต่อเมื่อผู้คนจากสำนักชั้นนอกเข้ามาในสำนักชั้นใน อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในสำนักชั้นนอก ดังนั้นระฆังนี้จึงมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง
นั่นหมายความว่านักเรียนบางคนได้กลับมาที่สำนักเฉียนหลง แล้ว
ซึ่งช่วงเวลานี้ ผู้ที่ออกจากสำนักเฉียนหลงไปนั้น มีเพียงแค่กลุ่มนักเรียนที่เดินทางเข้าสู่นรกมนตราเท่านั้น
ลั่วอู๋ และ ฉูจงฉวน มองหน้ากันในทันที “ไป ดูกันเถอะ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งไปที่ลานจัตุรัสของสำนัก
หลี่หยิน และ หลินยูหลัน ต่างมีส่วนร่วมในการเดินทางไปยังนรกมนตรา บางทีพวกเขาอาจจะกลับมากันแล้วก็ได้ ฉูจงฉวน เก็บสัตว์วิญญาณทั้งสามของเขากลับไปที่แหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขณะที่วิ่ง
เมื่อพวกเขามาถึงที่จัตุรัส
มีนักเรียนราว ๆ 134 คนกลับมาถึงสำนักเฉียนหลงผ่านช่องว่างห้วงมิติ
ในหมู่พวกเขามี หลินยูหลันอยู่ด้วย
หลินยูหลัน และ เฉินหมิงหยู ดูเหมือนจะหมดสิ้นแรงกายและพลังวิญญาณ ใบหน้าของพวกนางดูเหนื่อยล้า เสื้อผ้าของพวกนางขาดรุ่ยเล็กน้อยและเปื้อนไปด้วยความสกปรกและเลือด
แสดงให้เห็นว่าพวกนางไม่เต็มใจที่จะใช้พลังวิญญาณเพื่อทำความสะอาดมัน
ดูเหมือนว่าพวกนางเพิ่งจะประสบปัญหาใหญ่กันมา เรียกได้ว่าโชคดีที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย
ที่น่าแปลกที่สุดก็คือหลี่หยินที่ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าเลย นางดูอารมณ์ดี ขณะเดินกลับมาพร้อมกับ หลินยูหลัน และ เฉินหมิงหยู
“ยูหลัน!” ฉูจงฉวน วิ่งเข้าไปหาหลินยูหลันอย่างรวดเร็ว
หลินยูหลันไม่ได้ดิ้นขัดขืนอะไร นางล้มลงในอ้อมแขนของฉูจงฉวน ด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ข้ากลัวปางตายเลยล่ะ”
“หลังจากนี้ ข้าจะไปกับเจ้าทุกที่ที่เจ้าไป” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยความรัก แล้วใช้พลังวิญญาณอย่างรวดเร็วเพื่อชำระคราบเลือดที่สกปรกบนร่างกายของ หลินยูหลัน
“เจ้าพูดจริงใช่ไหม”
“แน่นอน”
คนสองคนต่างรักกันดี การจากกันไม่นานย่อมดีกว่าการต้องจากกันตลอดไป
ลั่วอู๋เองก็เดินมาหาหลี่หยิน หลี่หยินเรียกนายน้อยของนางอย่างตื่นเต้นจากนั้นก็รีบวิ่งไปหาเขา แต่สงวนตัวไว้มากกว่าหลินยูหลัน
“อืม ไม่ได้บาดเจ็บอะไรใช่ไหม ?” ลั่วอู๋ลูบหัวของหลี่หยินและถามด้วยความห่วงใย
หลี่หยิน เงยหน้าขึ้น “ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บเลยเจ้าค่ะ ต้องขอบคุณ เฉินหมิงหยู และ หลินยูหลัน พวกเขาดูแล ข้าตลอดการเดินทาง ทำให้ข้าได้เรียนรู้มากมายจากประสบการณ์ครั้งนี้”
“ขอบใจมาก ที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย” ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หยินยิ้ม “และข้าก็ได้ฝันร้ายกลับมาด้วยเจ้าค่ะ”
“จริงเหรอ ?”
“เจ้าค่ะ”
หลี่หยินเรียกฝันร้ายออกมา แต่ฝันร้ายนั้นไม่ได้อยู่ในร่างของอัศวินเงามืด มันเป็นสัตว์วิญญาณสีดำที่มีรูปร่างเหมือนเด็กน้อยที่ไม่มีขามี แต่เป็นเมฆหมอกสีดำแทน
“เจ้าหนูที่วิ่งเร็วมากในตอนนั้นสินะ” ลั่วอู๋ต้องการดึงใบหน้าของฝันร้าย “ดูเหมือนว่าตอนนั้นจะยังไม่ถึงเวลาที่จะทำให้เจ้าเชื่อง”
ฝันร้าย ยื่นลิ้นออกมาและทำหน้าตาบูดบึ้ง จากนั้นก็กลายเป็นเงาดำหนีไปอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่ามันจำลั่วอู๋ได้เช่นกัน
ลั่วอู๋หัวเราะและไม่ได้เดินตามมันไป เขาหันกลับไปมองที่หลี่หยินพลางกล่าว “ไม่เลวเลย ข้าได้ยินมาจากรองเจ้าสำนักว่าฝันร้ายคือสัตว์วิญญาณ ที่แข็งแกร่งมากสำหรับมือสังหาร มันเหมาะกับความสามารถของเจ้ามาก”
“เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำชมหลี่หยินก็หัวเราะคิกคัก
จังหวะนั้นเฉินหมิงหยู ที่กำลังเหนื่อยล้าก็เรียกลั่วอู๋ออกมา “ท่านอาจารย์ช่วยมาที่นี่สักครู่ได้ไหม? ข้าต้องการจะพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง”
“ได้สิ ข้าเกือบลืมเจ้าไปแล้ว ขอบใจเจ้ามากเลยนะ ถ้าการเดินทางครั้งนี้ไม่มีเจ้าคอยช่วยดูแลหลี่หยิน นางคงจะไม่สามารถรอดกลับมาจากนรกมนตราคนเดียวได้แน่ ๆ” ลั่วอู๋เดินไปและพูดขอบคุณ
เฉินหมิงหยู ยิ้มอย่างเบามือ “ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว คราวนี้ข้าเกรงว่าพวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณหลี่หยิน”
ลั่วอู๋ ตะลึง “เจ้าหมายความว่ายังไง ?”
“ เจ้าไม่พบว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสาวใช้ของเจ้าเลยเหรอ? เฉินหมิงหยู ถาม
ลั่วอู๋สับสนเล็กน้อย “ก็ไม่นะ”
“ข้าจะบอกเจ้าเอง” เฉินหมิงหยู หายใจเข้าลึก ๆ โดยมีร่องรอยของความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แม้ว่านางจะยังคงกลัวฉากนั้นในความทรงจำของนาง แต่นางก็ยอมเล่าออกมา “สาวใช้ตัวน้อยของเจ้าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน นางต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวในช่วงครึ่งชั่วโมงสั้น ๆ หลบหลีกในเงามืดและเข่นฆ่าค้างคาวโลหิตทิ่มแทงเกือบ 700 ตัวติดต่อกัน พวกมันทั้งหมดถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว โดยที่พวกมันเหล่านั้นไม่มีโอกาสที่จะได้ต่อสู้กลับด้วยซ้ำ”
ลั่วอู๋สูดหายใจ
สัตว์วิญญาณระดับทอง ค้างคาวโลหิตทิ่มแทง?
700 ตัวถูกสังหารโดยไม่มีโอกาสได้โต้กลับ?
“ที่เจ้าพูดถึง ไม่ได้หมายถึงค้างคาวโลหิตทิ่มแทงที่ยังไม่ได้เติบโตเต็มที่ใช่ไหม ?”
“ พวกมันโตเต็มวัยแล้วแน่นอน”
ลั่วอู๋ตกใจมาก การที่ค้างคาวโลหิตทิ่มแทงเหล่านั้นโตเต็มที่แล้ว หมายความว่าพวกมันอยู่ในมิติวิญญาณระดับทองเป็นอย่างต่ำ
หลี่หยินแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่สิ แม้ว่านางจะมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง แต่ด้วยนิสัยของนาง นางก็คงไม่ลงมือฆ่ากลุ่มสัตว์วิญญาณที่ไม่สามารถคุกคามนางได้แน่
“แต่ … ” ลั่วอู๋หันหน้าไปมองหลี่หยินซึ่งอยู่ไม่ไกล “หลี่หยินไม่เห็นจะดูน่ากลัวอย่างที่เจ้าพูดเลย”
เฉินหมิงหยู ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถ้าข้าไม่ได้เห็นด้วยตาของข้าเอง ข้าก็คงไม่เชื่อหรอก นางเป็นคนละคนเลยในตอนนั้น แต่ถือว่าโชคดีเลยที่นางกลายเป็นแบบนั้น นางเลยช่วยข้ากับหลินยูหลันเอาไว้ได้ ”
“ ดีข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” ลั่วอู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ งั้นข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนล่ะ”
เฉินหมิงหยู พูดสิ่งนี้และจากไป
ลั่วอู๋เดินกลับมา เขามองไปที่หลี่หยินพลางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่ฉูจงฉวนเคยบอกเขาเกี่ยวกับหลี่หยิน ในตอนที่นางได้รับรางวัลที่หนึ่งในการทดสอบเข้าสู่สำนักชั้นใน
ในการทดสอบนั้นมีผู้ถูกโจมตีและเสียชีวิตอย่างน้อย 30 คน โดยวิธีการนั้นโหดร้ายมาก การโจมตีทั้งหมดต่างมีความสำคัญและแม่นยำ
อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของผู้โจมตีนั้นไม่ได้แข็งแกร่ง เหมือนกับการลอบสังหาร
ความแข็งแรงไม่ได้สูง
ในช่วงเริ่มต้นนั้น คนที่มีระดับต่ำสุดน่าจะเป็นหลี่หยิน
แต่หลังจากนั้น นางก็ทดสอบได้เป็นที่หนึ่งในการทดสอบเข้าสู่สำนักชั้นใน
การทดสอบในมิติเหนือเมฆในโลกมักจะทิ้งเงามืดเอาไว้ในสามัญสำนึก ซึ่งฉูจงฉวนก็เคยสงสัยว่าหลี่หยินนั้นยังไม่สามารถเอาจิตใจของตัวเองออกมาจากมิติเหนือเมฆได้
แต่นางก็ดูทำตัวปกติดีนี่นา ?
ลั่วอู๋จมอยู่ในห้วงความคิดไปชั่วขณะ ทำให้หลี่หยินก็ร้องถามออกมาอย่างสงสัย “นายน้อยมีอะไรรึเปล่าเจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร” ลั่วอู๋จับมือหลี่หยิน “กลับบ้านกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ!” หลี่หยินพยักหน้าอย่างหนัก
เมื่อมองไปที่สีหน้าของหลี่หยินที่ดูมีความสุขลั่วอู๋ก็คิดกับตัวเองว่าเขาไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องการฆ่าหรือเงามืดในจิตใจของนาง
ต่อให้นางฆ่าคนไป 30 คน ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
ต่อให้นางฆ่าค้างคาวโลหิตทิ่มแทงไปเป็นจำนวนมาก ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
หลี่หยินนั้นยังคงเป็นหลี่หยินคนเดิม เป็นคนที่สนิทที่สุดในโลกสำหรับเขา
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้