ไหปีศาจ - บทที่ 434 ภูตสวรรค์
บทที่ 434 ภูตสวรรค์
บทที่ 434
ภูตสวรรค์
ทุกคนต่างกลั้นหายใจมองไปที่การต่อสู้ของลั่วอู๋ และ เอ๋าเฉียนจุน
นี่คือการต่อสู้ของนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของสำนักเฉียนหลง เอ๋าเฉียนจุนเหยียดหมัดขวาที่เต็มไปด้วยเลือด พุ่งเข้าใส่ดาบของลั่วอู๋เป็นทางตรงผ่านร่องนิ้วไปจนเลือดไหลทะลัก แต่ก็ยังไม่มีใครคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้
แม้ดาบในมือของลั่วอู๋จะมีความพิเศษมาก ทว่านับตั้งแต่การโจมตีครั้งแรกจนถึงตอนนี้ทุกคนต่างก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ได้ทำให้ร่างกายของเอ๋าเฉียนจุนได้รับบาดเจ็บหนักแต่อย่างใด เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันจึงยากที่จะนับว่าเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“เป็นวิชาดาบที่ดี แต่มันไม่ใช่ของเจ้า” ร่างกายของ เอ๋าเฉียนจุน ปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งแสง จากนั้นมือของเขาก็ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าเขามีทักษะในการรักษาตัวเองอยู่
ลั่วอู๋ถอนหายใจในใจ
นี่มันสัตว์ประหลาดชัด ๆ
การโจมตีของเขาทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้เพียงเล็กน้อย
วิชาดาบของจักรพรรดิดาบไม่ใช่อะไรที่จะสามารถใช้ได้ด้วยการจดจำเพียงเล็กน้อย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะปรับปรุงควบคุมพลังของทักษะนี้
“ มีใครเคยบอกว่าเจ้าน่ารังเกียจบ้างไหม?” ลั่วอู๋ถาม
เอ๋าเฉียนจุน กล่าวอย่างเฉยเมย “การที่คนอื่นคิดอะไร มันเกี่ยวอะไรกับข้า ?”
หลี่หวู่หยวน รีบเข้าไปหาหยู่เสี่ยวฉางและหยู่เฮา จากนั้นก็รีบพาพวกเขาออกไป โดยการเปิดช่องว่างมิติเพื่อส่งพวกเขาหนีไป
“ ไม่อย่างเพิ่งไป!” เอ๋าเฉียนจุนขมวดคิ้ว ทำให้แรงลมและฟ้าผ่า ฝนโหมกระหน่ำอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะทำลายช่องว่างมิตินั้น
ดูไม่พอใจกับการจากไปของหยู่เฮา
แต่เขาก็ยังไม่ได้โกรธ มันดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนั้นด้วย
ลั่วอู๋คำราม “จบกันที!”
ดาบในมือของลั่วอู๋เปล่งประกายแสงสว่างของพลังวิญญาณออกมา
ทักษะ ระดับ s [ดาบแห่งการทำลายล้าง]
พลังวิญญาณอันน่าสยดสยองแห่งการทำลายล้างรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ครอบงำใบดาบอันน่ากลัว เปลวไฟลุกไหม้ไปทั่ว ทำให้เมฆฝนฟ้าร้องในท้องฟ้าหายไป
พื้นที่ทั้งหมดกลับมาสว่างไสว
ลมที่พัดโหมกระหน่ำและสายฟ้าร้องกระจัดกระจายออกไปชั่วครู่ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่หยู่เฮาและหยู่เสี่ยวฉางจะสามารถหนีผ่านช่องว่างมิติไปได้
เอ๋าเฉียนจุน หันศีรษะอย่างไม่แยแส มองไปยังลั่วอู๋ “เจ้าหยุดข้าทำไม?”
ฝูงชนรอบ ๆ ต่างมองไปที่เขาด้วยสายตาเอือมระอา
ทุกคนต่างรู้ว่าทำไม แต่เอ๋าเฉียนจุนกลับไม่เนี่ยนะ
“ต่อให้เจ้าไม่อยากจะสู้กับข้า ข้าก็จะสู้กับเจ้า” ลั่วอู๋พูดด้วยความโกรธ
นี่ไม่ใช่การประมือในเวทีศิลปะการต่อสู้
นี่ไม่ใช่สังเวียนแห่งชีวิตและความตาย
ทั้งสองคนต้องการจะต่อสู้กันจริง ๆ พวกเขากำลังทำผิดกฎของสำนักเฉียนหลง แต่ก็ไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้ ทั้ง ๆ ที่อาจารย์หลายคนกำลังดูพวกเขาอยู่ที่นี่
เพราะพวกเขาต่างรู้ว่า เอ๋าเฉียนจุนเป็นคนบ้าแบบไหน
ในบรรดานักเรียนในรุ่นเดียวกันของพวกเขาไม่มีใครสามารถเอาชนะเอ๋าเฉียนจุนได้ มันจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีบุคคลแบบนั้นอยู่ ส่วนอาจารย์พิเศษเองก็ไม่สามารถเข้าต่อสู้กับนักเรียนได้
“ ข้าไม่สนใจหรอกนะว่ากฎหรือข้อบังคับจะเป็นอย่างไร แต่วันนี้ข้าจะเอาชนะเจ้าที่นี่” ลั่วอู๋พูดออกมา
จากนั้นแสงสีขาวก็เปล่งออกมาจากมือขวาของเขา
ทันใดนั้น นายพลผีไป่ฉีผู้ถือหอกปราบมังกร ซึ่งเป็นดั่งอาวุธลับของเขาก็ปรากฏตัวออกมา ใบหน้าของเขาดูไม่แยแส ลมปราณหนักอึ้งราวกับภูเขา เขายืนสง่าปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างภาคภูมิใจ
ทุกคนต่างประหลาดใจ นี่คือใครกัน?
เขาดูไม่เหมือนผู้ชายธรรมดา
หลี่หวู่หยวนหรี่ตาลงด้วยความสงสัย นายพลผีระดับทองขั้นสูง? มันเป็นเรื่องแปลกมากที่ผีนายพลคนนี้มีอุปกรณ์อย่างชุดเกราะสีดำและหอกปราบมังกร แต่ยังคงเชื่อฟังคนอื่น
เนื่องจากนี่ไม่ใช่การแข่งขัน ลั่วอู๋จึงไม่ลังเลที่จะใช้ทุกวิถีทางในการเอาชนะ
เหวินเสี่ยวมองไปที่ใบหน้าของไป่ฉีด้วยความโกรธ เขาเคยถูกนายพลผีคนนี้แทงตายบนหน้าผาของภูเขาแห้งแล้ง โชคดีที่ทักษะของเทพตกสวรรค์ช่วยให้เขาฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
แต่การต้องสูญเสียชีวิตสำรองไปนั้น ทำให้เขาเสียใจมาก
เอ๋าเฉียนจุน มองไปที่ไป่ฉี และพร้อมที่จะต่อสู้ในทันที “เป็นนายพลผีที่ดี แม้จะตายไปนานแล้วแต่ความแข็งแกร่งเขาก็ยังดูแข็งแกร่งมาก นายพลผีระดับทองขั้นสูงตนนี้นั้นคุ้มค่าแล้วที่ข้าจะประมือด้วย”
เขาลืมเรื่องของหยู่เฮาไปในพริบตา
นายพลผีระดับทองขั้นสูงนั้นต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน
“เจ้าคิดว่าข้าเรียกเขาออกมา เพื่อให้มาเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้างั้นเหรอ!” “ไม่เลย ข้าเรียกเขามาที่นี่เพื่อเอาชนะเจ้าต่างหาก” ลั่วอู๋พูดอย่างเย็นชา
จากนั้นลั่วอู๋ก็รีบใช้ “รวมพลเทวดา” เพื่อเรียกภูตแห่งปัญญาออกมา
เขาเคยใช้งานทักษะนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จนเคยกับมันมาก ถึงขนาดที่ความเร็วในการร่ายนั้นเร็วขึ้นมามาก และระดับความเชี่ยวชาญในทักษะเองก็ได้ไปถึง 40% แล้ว
ดังนั้นลั่วอู๋จึงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังวิญญาณที่กำลังเกินขึ้น
ลั่วอู๋รู้สึกในถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ได้เบ่งบานออกมาเป็นหมู่ดาวหกดวงที่ควบแน่นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นร่างของภูตสวรรค์ที่ดูลึกลับปรากฏตัวขึ้น
มันมีปีกหกปีก แต่กลับไม่ใช่ภูตแห่งปัญญา รูปร่างดูสง่างามและมีดวงตาอันลึกล้ำ ซึ่งแสดงถึงภูมิปัญญาและความศักดิ์สิทธิ์ มันมีแววตาที่ดูเฉยเมยไร้อารมณ์ ราวกับเป็นผู้ที่คอยดูแลปกปักรักษาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเป็นตัวแทนของภูตสวรรค์แห่งการเกิดใหม่และการทำลายล้าง
มันเป็นภูตธาตุแสงเช่นเดียวกับภูตแห่งปัญญา
แต่เมื่อพูดถึงประสิทธิภาพในการต่อสู้จริงภูตสวรรค์ตนนี้นั้นมีความสามารถที่ดีกว่ามาก
ในขณะภูตแห่งปัญญานั้นมีความเร็วในการร่ายทักษะอันรวดเร็ว และทักษะวิญญาณอันน่าตื่นตา ทำให้สามารถตอบสนองด้วยทักษะที่ถูกต้องที่สุดในทุกสถานการณ์
แต่ภูตสวรรค์แห่งการเกิดใหม่และการทำลายล้าง นั้นแตกต่างกัน ทักษะของมันมีไม่มากนัก แต่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อันน่ากลัว ซึ่งที่มีพลังทำลายล้างและประสิทธิภาพการต่อสู้อันแข็งแกร่ง
ทุกคนต่างประหลาดใจ หลายคนนั้นเคยได้เห็นการเรียกภูตแห่งปัญญาออกมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็น ภูตสวรรค์แห่งการเกิดใหม่และการทำลายล้าง หลายคนก็ไม่เคยได้รู้จักสัตว์วิญญาณแบบนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ลั่วอู๋ดีใจมาก
มันเป็นไปได้จริง ๆ ที่เขาจะสามารถเรียกภูตที่มีพลังมากกว่าเดิมออกมาได้
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาจึงเพิ่มขึ้นมามาก
“ มาเถอะ เจ้าชอบการต่อสู้ไม่ใช่รึไง ?” ลั่วอู๋ชักดาบระบำแห่งความตายขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่เอ๋าเฉียนจุน เลือดแห่งการต่อสู้เริ่มเดือดปะทุ พร้อมกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชนสูงตระหง่าน
การสู้แบบสามต่อหนึ่งนี้ ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรม
แต่ เอ๋าเฉียนจุน ไม่ได้คิดเช่นนั้น
เนื่องจากสัตว์วิญญาณเหล่านี้ถูกเรียกโดยลั่วอู๋ มันจึงเป็นพลังของเขา
ในความเป็นจริงลั่วอู๋คิดที่จะเรียกกองกำลังในการต่อสู้ทั้งหมดของมิติไหออกมา แต่พวกเขาส่วนใหญ่นั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ระดับนี้ได้
แม้แต่เจ้านกโง่เองก็ด้วย
“ข้าชังเจ้าเหลือเกิน” ดวงตาของเอ๋าเฉียนจุนสว่างไสวด้วยเปลวไฟ “เจ้าช่างเป็นคนที่คู่ควรกับความคาดหวังของข้ามากที่สุดจริง ๆ”
หลังจากนั้นเอ๋าเฉียนจุนก็คำราม เมฆฝนฟ้าคะนองในท้องฟ้ารวมตัวกันอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็กลืนพวกมันลงไป
ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยสายฟ้าอันน่ากลัวราวกับว่าเป็นเทพเจ้าที่ควบคุมสายฟ้า สายฟ้าเหล่านั้นส่องแสงเรื่องอย่างทรงพลังและเต็มไปด้วยการทำลายล้าง
ตามกฎของสำนักเฉียนหลงแล้ว สัตว์วิญญาณอย่าง นายพลผีไป่ฉีที่ไม่ได้ทำพันธสัญญากับลั่วอู๋นั้นไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้นี้ได้
เพราะมันไม่มีความหมายในการประเมินความแข็งแกร่งส่วนตัว
แต่ลั่วอู๋นั้นไม่ได้พยายามที่จะเอาชนะอีกฝ่าย เขาแค่ต้องการอัดเอ๋าเฉียนจุนให้เละ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องยกระดับมิติวิญญาณหรอก ข้าจะจบระดับมิติวิญญาณของเจ้าวันนี้เอง เจ้าจะต้องอยู่ในมิติวิญญาณระดับทองไปตลอดนับจากนี้” ลั่วอู๋ลุกขึ้นมา
ทักษะดาบแห่งการทำลายล้างและลมหายใจมังกร เข้าปะทะกับพลังของเทพเจ้าสายฟ้าตรง ๆ พลังของมังกรอันยิ่งใหญ่และพลังของเทพเจ้าสายฟ้าอันน่ากลัวบรรจบกันเป็นดั่งเส้นขอบฟ้า
ไป่ฉีวิ่งติดตามพวกเขาไปอย่างใกล้ชิด พลังวิญญาณของหอกปราบมังกรแผ่ออกมาอย่างทรงพลัง ราวกับจะทำลายภูเขาหลายร้อยลูกให้สูญสิ้น เงามังกรเก้าตัวพันรอบปลายหอกแสดงให้เห็นถึงอำนาจสูงสุดของมัน
ภูตสวรรค์แห่งการเกิดใหม่และการทำลายล้างลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
มันหลับตาลง จากนั้นคลื่นพลังวิญญาณที่อธิบายไม่ได้ก็เริ่มแผ่ออกมา
ภูตสวรรค์แห่งการเกิดใหม่และการทำลายล้างมีทักษะที่เป็นเอกลักษณ์สองอย่างก็คือทักษะระดับ s [แสงแห่งการถือกำเนิด] และอีกทักษะหนึ่งคือทักษะระดับ SS [แสงแห่งการกวาดล้างสรรพสิ่ง]
แสงแห่งการถือกำเนิด เป็นทักษะที่สามารถจัดระเบียบสิ่งที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการฟื้นฟูบาดแผลหรือแม้กระทั่งทำให้ร่างกายกลับมาสมบูรณ์
แต่ก็เป็นร่างกาย มันไม่สามารถชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วได้
ส่วนทักษะ แสงแห่งการกวาดล้างสรรพสิ่ง ก็มีผลตามชื่อของมัน มันมีความสามารถในการทำลายล้าง ทำให้สสารทั้งหมดสลายเป็นผุยผง
ปีกทั้งหกของภูตสวรรค์แห่งการเกิดใหม่และการทำลายล้างสั่นเล็กน้อย จากนั้นพลังวิญญาณอันทรงพลังก็เริ่มแผ่ออกมา สายตาของผู้คนมองไปยังคลื่นพลังนั้นที่พุ่งเข้าใส่สายฟ้าที่กระโจนไปมา
ทำให้ร่างของเอ๋าเฉียนจุนเริ่มละลายกระจายหายไปเหมือนกับการละลายของน้ำแข็ง
“ไม่เลวเลย”
ดวงตาของ เอ๋าเฉียนจุน เต็มไปด้วยความสดใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ด้านหลังเขาเริ่มปรากฏเงาขนาดใหญ่อันคลุมเครือมองเห็นได้ไม่ชัด ทำให้ไม่มีใครจำได้ว่าเงาเสมือนนั้นเป็นของสัตว์วิญญาณอะไร ราวกับว่ามันไม่ใช่สัตว์วิญญาณใด ๆ ที่อยู่ในการรับรู้ของผู้คน