ไหปีศาจ - บทที่ 453 คงต้องฆ่า
บทที่ 453 คงต้องฆ่า
บทที่ 453
คงต้องฆ่า
หมอกสีขาวโพลนส่งพวกลั่วอู๋ลอยขึ้นไป วิธีนี้นั้นเหนือธรรมชาติมาก ไม่เหมือนกับวิธีการของผู้ใช้พลังวิญญาณทั่ว ๆ ไป อย่างไรก็ตามแม้สีหน้าของนักบุญนั้นดูไม่ได้มีความสุขกับสถานการณ์นี้เท่าไหร่ แต่เขาก็ยังปล่อยให้พวกลั่วอู๋ลอยขึ้นไปต่อ
พรรคพวกลั่วอู๋ต่างมองหน้ากัน ด้วยสภาพที่ตื่นตกใจ
วิธีการแบบนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยทักษะใด ๆ
เมฆหมอกนั้นควรกระจายออกไปเมื่อถูกสัมผัส
แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาบินได้
เห็นได้ชัดว่า มันเป็นเพราะนักบุญคนนี้ได้ศึกษาทักษะอย่างลึกซึ้ง จนเข้าใจในแก่นแท้ของมันโดยสมบูรณ์จนสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของทักษะได้อย่างง่ายดาย
มีเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้
ผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับนี้ อย่างน้อยที่สุดก็เทียบเท่าได้กับอาจารย์ขั้นสูงของสำนักเฉียนหลง ผู้คนที่แข็งแกร่งระดับนี้มักจะมีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
ทว่านักบุญคนนี้เรียกตัวเองว่าทวารบาลไร้นาม
เมฆหมอกนั้นพาพวกเขาบินไปบนท้องฟ้า ให้พวกเขาได้เห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งเกาะ ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามที่แตกต่างจากราชวงศ์มังกรเร้นกายและของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งโดยสิ้นเชิง
แม้ส่วนกลางจะเต็มไปด้วยตึกสูงอันเจริญรุ่งเรือง ทว่ารอบข้างก็ไม่ได้แห้งแล้งแต่อย่างใด รอบข้างส่วนกลางนั้นมีหมู่บ้านมากมายทั้งสูงและต่ำเต็มไปด้วยลักษณะแปลกใหม่
“ท่านนักบุญ” ผู้คนต่างขึ้นไปยังเมฆซึ่งลอยขึ้นไปอย่างเอื่อย ๆ และส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น
ผู้คนจำนวนมากทยอยเดินออกมาจากอาคาร
พวกเขาต่างคุกเข่าลงมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความนับถือ
เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกเขานักบุญเป็นดั่งเทพเจ้าที่ควรค่าแก่การบูชา
“พวกเขาดู … ” หลี่หยินลังเล “อยากรู้อยากเห็น”
การกระทำเช่นนี้เป็นอะไรที่พวกลั่วอู๋แทบจะไม่เคยได้เห็นมาก่อน
หากกลับไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ แม้ว่าองค์จักรพรรดิของพวกเขาจะเสด็จออกมาจากพระราชวัง แต่ทิวทัศน์เช่นนี้ก็คงจะไม่มีวันเกิดขึ้น ต่อให้องค์จักรพรรดิจะเป็นที่เคารพนับถือมากในปัจจุบัน แต่คนทั่วไปในเมืองหลวงก็มักจะมีแต่ความกลัวมากกว่าความรัก
เหตุการณ์นี้จึงดูเกินจริงไปมากสำหรับพวกเขา
นักบุญกล่าวอย่างแผ่วเบา “นี่เป็นเพียงวิธีการรักษาความมั่นคงของอาณาจักรเรา จักรวรรดิของเจ้าปกครองประเทศด้วยอำนาจขององค์จักรพรรดิ ในขณะที่อาณาจักรภูเขาแห้งแล้งปกครองด้วยความสามัคคีของชนเผ่า ส่วนที่นี่ … ”
“ที่นี่เป็นประเทศแห่งความศรัทธา ที่สร้างความศิวิไลซ์ให้กับผู้คนด้วยศรัทธา” ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
นักบุญมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยความประหลาดใจ “ใช่แล้ว พวกเราปกครองด้วยความเชื่อ”
พระพุทธศาสนา?
คำนามแวบผ่านเข้ามาในจิตใจของลั่วอู๋
พระพุทธเจ้าเป็นสัตว์วิญญาณลึกลับที่เกิดขึ้นมาในแดนอื่น ผู้คนเรียกพระพุทธเจ้าองค์แรกที่ทรงพลังที่สุดว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ซึ่งก็น่าจะเป็นสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิอันทรงพลังอย่างแน่นอน
ในตอนที่พระพุทธเจ้าที่แท้จริงปรากฏต่อหน้าสายตาชาวโลก เขาได้เปลี่ยนชีวิตผู้อื่นไปตลอดกาลด้วยศรัทธา ถ่ายทอดพลังของเขาผ่านทักษะ ระดับ SS [ชาวพุทธ]
เฉพาะผู้ที่เชื่อในพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะได้รับพลังนี้ สัตว์วิญญาณดังกล่าวจึงถูกเรียก พระพุทธเจ้า
นี่ทำให้อาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนาถูกก่อตั้งขึ้น
ว่ากันว่าในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในอาณาจักรพุทธศาสนา สัตว์วิญญาณนับพันล้านในอาณาเขตล้วนได้รับพลังจากพระพุทธเจ้า ทุกคนต่างสรรเสริญพระสัทธรรม เข้าใจในพลังแห่งพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ท้องถนนเต็มไปด้วยแสงแห่งพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตามเมื่อหลายหมื่นปีก่อนในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของศิลปะการต่อสู้โบราณจะเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าที่แท้จริงก็ได้จากไป ส่งผลให้ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธดังกล่าวล่มสลาย
ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีพระพุทธเจ้าในโลกอีก
แม้ในบางครั้งจะมีสัตว์วิญญาณที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ที่เหลือจากพระพุทธเจ้าที่แท้จริงบนโลกและเข้าใจถึงอำนาจแห่งพุทธศาสนา แค่มันก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก โดยสัตว์วิญญาณหนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือสัตว์วิญญาณเพชรสิงโตผู้กล้าหาญ
มันเป็นสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายและกระหายเลือด
ต่อมามันก็ได้เข้าใจในหลักพลังของพุทธศาสนา และสำเร็จรูปแบบพลังแยกออกมาเป็นสองรูปแบบคือความเมตตาและการฆ่าอันดุร้าย กลายเป็นตัวตนที่มีพลังวิญญาณอันลึกลับ
เรื่องนี้นั้นถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณ จึงเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ แต่เป็นเพียงการให้ความรู้กับประชาชน แล้วให้ปฏิบัติตามความเชื่อ จะเห็นได้ว่าผู้คนที่นี่ต่างอยู่อาศัย และ ทำงานด้วยความสงบอย่างพึงพอใจ ที่นี่ไม่มีระบบชนชั้นอันเข้มงวด ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ
ยิ่งพวกลั่วอู๋ลอยสูงเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเห็นพระวิหารลึกลับบนหมู่เมฆมากขึ้น
“ นั่นคือพระราชวังเป่ยหมิงงั้นหรือ?” ลั่วอู๋ ถาม
นักบุญส่ายหัว “ไม่ ๆ เกาะทั้งเกาะนี้ต่างหากคือ พระราชวังเป่ยหมิง นั่นเป็นเพียงวิหารที่อยู่สูงกว่า ซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าผู้มีอำนาจ”
“แล้วนั่นมันไม่เหมือนพระราชวังตรงไหน?” องค์หญิงเจียโรว ถามด้วยรอยยิ้ม
นักบุญพยักหน้า “ก็แค่เกือบเหมือน”
จู่ ๆ พวกเขาก็ได้รู้ความจริงว่า
ทั้งทวีปนี้ถูกเรียกว่าพระราชวังเป่ยหมิง
นามนั้นไม่ใช่แค่สำหรับกลุ่มเล็ก ๆ แต่เป็นทั้งอาณาจักร
ถ้าแบบนั้น ผู้ปกครองของพระราชวังนี้ ก็ถือว่าเป็นองค์จักรพรรดิอย่างนั้นเหรอ?
“หรือว่าเหวินเสี่ยวไม่ได้เป็นแค่ข้าราชการระดับสอง แต่เป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิอย่างงั้นเหรอ?” ฉูจงฉวนกล่าวว่า “ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้”
นายน้อยของพระราชวัง ย่อมเปรียบได้กับการเป็นองค์ชายของจักรวรรดิ
แต่ทำไมเข้ากลับดูไม่มีราศีเลย เขาดูธรรมดาเกินไป
นักบุญอธิบาย “พระราชวังเป่ยหมิงไม่ได้ใช้ระบบการสืบทอด แต่เป็นระบบการสละราชสมบัติที่แท้จริง มีคนอย่างน้อยเจ็ดคนที่มีบรรดาศักดิ์ เป็นนายน้อยของพระราชวัง พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเด็กที่มีความสามารถสูง แม้พวกเขาจะไม่ใช่บุตรของผู้ปกครองพระราชวังและไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ทุกคนต่างก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะชิงตำแหน่งผู้ปกครองพระราชวัง”
นี่มันต่างจากราชวงศ์มังกรเร้นกายนี่ใช้ระบบการสืบทอดอำนาจ
ราชวงศ์มังกรเร้นกายนั้นเป็นระบบการสละราชสมบัติให้คนลูกหลานรุ่นต่อไป
ในขณะที่อาณาจักรภูเขาแห้งแล้งจะใช้ระบบการต่อสู้กันระหว่างชนเผ่า เพื่อเลือกคนจากเผ่าผู้นำ จากนั้นก็เลือกผู้ชนะมาเป็นผู้นำของชนเผ่าทั้งหมด
แต่ในความจริงแล้วนั้นเผ่าผู้นำของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายพันปีแล้ว เพราะเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้เผ่าอื่นได้ และหัวหน้าเผ่าก็มักจะถูกเลือกจากลูกชายของหัวหน้าเผ่าคนก่อนที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
“นี่มันยอดมาก” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยความตื่นเต้น “แม้แต่อัจฉริยะอย่างข้าเองก็สามารถเข้าชิงตำแหน่งของนายน้อยแห่งวังหลวง ได้งั้นเหรอ?”
ใบหน้าของนักบุญดูแปลก ๆ ไปครู่หนึ่ง “ใช่”
“ข้าจะไปเข้าร่วม เข้าชิงตำแหน่งของพระราชวังเป่ยหมิงแน่นอน” ฉูจงฉวน เลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม “มันดูน่าสนใจมาก หากข้าจะได้เป็นดั่งองค์ชายจากต่างแดน ข้าคงสามารถที่จะเลือกนางสนมที่นี่ได้ตามใจชอบเลยสินะ ?” “เดี๋ยวใจเย็นก่อนหลินยูหลัน ข้าแค่ถามเฉย ๆ แบบ ทำความรู้จักกับประเพณีท้องถิ่น ไง อย่าเพิ่งโกรธสิ ไม่เอาแส้ ข้าจะไม่ถามแล้ว”
ฉูจงฉวน ปิดปากของเขาในทันที
“ฮึ่ม” หลินยูหลัน ฮัมสองครั้งแล้วโบกแส้เหมือนกำลังขู่
นักบุญยิ้ม เขาอดสงสัยไม่ได้เลยว่าเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นกันใคร และเหวินเสี่ยวได้รับความช่วยเหลือเหล่านี้มาจากที่ไหน
พวกเขาทั้งหมดนั้นยังเด็กมาก
แต่พวกเขาทั้งหมดตรงนี้ต่างมีศักยภาพเพียงพอที่จะท้าชิงตำแหน่งนายน้อยแห่งวังหลวง
องค์หญิงเจียโรว พูดอย่างสงสัย “พวกเราควรจะทำอะไรกันต่อ ข้าได้ยินเหวินเสี่ยวบอกว่าเขาต้องการจะไปฆ่าใครสักคนหนึ่ง เราควรจะไปหยุดเขาใช่ไหม?”
หากหยุดเขาได้ เรื่องก็คงจะสงบลง
เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการบังคับช้างมังกรทะเล นั่นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นนายน้อยแห่งวังหลวงเช่นเดียวกับเหวินเสี่ยว
“ตอนนี้ข้าว่าวิธีที่ดีที่สุดคือรวบรวมหลักฐานแล้วมอบมันให้กับ ผู้ปกครองสูงสุดของพระราชวังเป่ยหมิง เพื่อจัดการใครก็ตามที่กำลังปองร้ายเหวินเสี่ยว” องค์หญิงเจียโรว กล่าวอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างมองไปที่นักบุญ
เพราะเขาน่าจะเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงของพระราชวังเป่ยหมิง
นักบุญนิ่งเงียบพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ราวกับจะกล่าวว่าเขาเป็นเพียงแค่คนเฝ้าประตู ทุกอย่างในพระราชวังเป่ยหมิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาและเขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
ลั่วอู๋ส่ายหัว “ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้านะ แต่เราคงทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?” ทุกคนต่างประหลาดใจ
“ เพราะเหวินเสี่ยวผูกพันกับการฆ่าคน พวกเราจึงไม่น่าจะหยุดเขาไว้ได้ทัน” ลั่วอู๋ถอนหายใจจากนั้นค่อยๆดึงดาบระบำแห่งความตายออกมา “ในเมื่อเราไม่สามารถหยุดเขาได้ พวกเราก็คงทำได้เพียงช่วยเขาฆ่าศัตรูไปด้วยกัน”
ตามที่เหวินเสี่ยวกล่าว
ถ้าเขาตายหรือพ่ายแพ้ พรรคพวกลั่วอู๋ที่เข้ามาในฐานะ “คนนอก” จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้รุกราน ซึ่งก็จะทำให้มีปัญหาตามมาชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีสิ้นสุด
ในกรณีนี้ พวกเขาจึงทำได้แค่ช่วยเหวินเสี่ยวฆ่าศัตรูให้หมดเท่านั้น