ไหปีศาจ - บทที่ 480 ความลับ
บทที่ 480 ความลับ
บทที่ 480
ความลับ
สิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ในบันทึกนี้ คือความจริงที่มีผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของราชาหมอกซานเหริน ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะมีการบันทึกความเท็จใด ๆ เอาไว้
“เจ้ามัน ซื่อสัตย์เกินไปแล้ว ทำไมถึงได้ทิ้งประวัติอันดำมืดแบบนี้เหล่านี้เอาไว้กัน ?” ลั่วอู๋สับสนเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเนื้อหาในช่วงต่อไปก็เริ่มทำให้ ลั่วอู๋ เข้าใจถึงเหตุผลได้มากขึ้น
ราชาหมอกซานเหรินและประสบความสำเร็จอย่างมากในการฝึกฝน ในตอนที่เขาได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับทองขั้นสูง เขาก็สามารถสังหารผู้อาวุโสที่มีความแข็งแกร่งในระดับทองขั้นสูง และมีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทวีปได้สบาย ๆ
เขาได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่ในด้านของพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงสภาพจิตใจของเขาอีกด้วย
เขาไม่มีความลังเล
เขาฆ่าศัตรูทุกคนที่ขวางหน้า
ใครก็ตามที่ทำให้เขาขุ่นเคืองจะถูกฆ่าในทันที
แม้แต่คนชราและสตรีมีครรภ์ เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้รอด ทุกคนต่างถูกฆ่า จนความหวาดกลัวถูกแผ่ไปทั่ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา เขาจึงไม่เคยมีเพื่อนเลย
“ยังไง ๆ โลกใบนี้ก็จะต้องถูกทำลายสักวันอยู่แล้ว ข้าจะส่งเจ้าลงนรกไปก่อนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยนี่นา ฮ่า ๆ ”
ในเวลานั้นเขาเคยตกอยู่ในความบ้าคลั่งของการเข่นฆ่า
อย่างไรก็ตามสภาพจิตใจของเขานั้นไม่ได้แปรปรวนแต่อย่างใด กลับกันแล้วสภาพจิตใจและแก่นวิญญาณของเขากลับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
“ในตอนแรกเขาเต็มไปด้วยความแค้นต่อโลกและเห็นด้วยกับความคิดภูตไหที่จะทำลายล้างโลก ถ้าไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ของนางผู้นั้น ข้าเกรงว่าเขาคงจะกลายเป็นปีศาจไปในสักวันแน่” นี่คือสิ่งที่บันทึกเล่มนี้กำลังบอกลั่วอู๋เกี่ยวกับราชาหมอกซานเหริน
“นางชื่อชิงหยู เป็นหญิงสาวที่มาจากเมืองอันเงียบสงบทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี”
“ตามชื่อของนาง นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนราวกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา ร่างกายของนางให้บรรยากาศอันแผ่วเบาสงบสวยงามราวกับความฝัน”
“นางรักโลกใบนี้มาก”
“และข้าก็รักนางเช่นกัน”
“ข้าสามารถรักโลกใบนี้เพื่อนางได้”
“ตอนนั้นภูตไห ไม่ได้ติดต่อข้ามาห้าปีแล้ว ข้าจึงคิดอย่างไร้เดียงสาว่าเขาล้มเลิกความคิดในการทำลายล้างโลกไปแล้ว”
“แต่ในวันที่ข้าได้รับการเลื่อนขั้นสู่มิติวิญญาณระดับเพชร เขาก็กลับมา เขาต้องการพาข้าไปยังที่แห่งหนึ่ง นั่นก็คือป่าเตียนวู”
ลั่วอู๋ตะลึง
ป่าเตียนวู
นั่นมันป่าหวงชา ในอดีตไม่ใช่เหรอ !
“ในเวลานั้นความแข็งแกร่งของข้านั้นไร้เทียมทาน มีเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณอันดับต้น ๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่ประมือกับข้าได้ ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของข้า แม้แต่ผู้อาวุโสระดับเพชร ข้าก็สามารถใช้ดาบต้านสวรรค์ ปราบเขาได้สบาย ๆ”
“ เมื่อรู้ว่าภูตไห แค่อยากไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าก็ยอมตอบตกลงตามธรรมชาติ ทุกอย่างที่ข้ามีในวันนี้มันก็เป็นเพราะเขา”
“มันไม่มากเกินไปสำหรับภูตไห หากข้าจะกล่าวว่าเขาเป็นดั่งพ่อ แม่ คนใหม่สำหรับข้า”
“แม้ว่า ป่าเตียนวู จะอันตรายมาก มันเต็มไปด้วย ภูต สัตว์วิญญาณ และสัตว์วิญญาณมนตรามากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่ผู้ใช้พลังวิญญาณชั้นยอดก็ยังไม่กล้าเข้าไปในป่าด้วยซ้ำ”
“ แต่ข้าก็เข้าไปในนั้นกับเขาโดยไม่ลังเล”
“ข้าปราบปัญหาทั้งหมดระหว่างทาง โดยระหว่างที่กำลังพาเขาเข้าไปยังใจกลางป่าเตียนวู ข้าก็รู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นของภูตไหในการทำลายโลก”
“ข้าไม่รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในส่วนลึกของป่าเตียนวู มันมืดราวกับว่ามีเพียงหมอกสีดำ มันเต็มไปด้วยลมปราณที่รบกวนจิตใจของข้า”
“ภูตไหกล่าวว่ามันเป็นบาปที่เขาฟูมฟักมากว่า 40,000 ปี”
“ ข้าไม่เข้าใจ”
“ แต่สัญชาตญาณของข้าบอกให้ข้าต้องทำลายมันทิ้งในทันที”
“ ดังนั้นเมื่อภูตไหบอกให้ข้าทำลายมัน ข้าก็ไม่รีรอแต่อย่างใด”
“เพียงแต่ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า การฟาดฟันดาบเล่มนี้ในครั้งนั้น จะเป็นการเปิดฉากนำไปสู่หายนะของมนุษยชาติ”
“เวลาต่อมาข้าก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เขาเรียกว่าบาปนั้นเป็นเพียงพลังวิญญาณอันชั่วร้าย แต่เดิมแล้วพลังวิญญาณอันชั่วร้ายนั้นเป็นเพียงพลังวิญญาณมนตรา พลังวิญญาณนั้นเดิมทีแล้วไม่มีความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว และสัตว์วิญญาณเองก็ไม่ได้มีความกระหายเลือดโดยธรรมชาติ พวกมันจึงไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณนี้ได้โดยตรง พวกมันต้องเปลี่ยนพลังวิญญาณเหล่านั้นเป็นพลังวิญญาณมนตราเพื่อดูดซับมัน ”
“แต่หลังจากวันนั้นพลังวิญญาณอันชั่วร้ายไม่ได้เป็นพลังวิญญาณง่ายๆอีกต่อไป เนื่องจากมันได้ดูดซับอารมณ์เชิงลบของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้ามา”
“สิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่ติดเชื้อจากพลังวิญญาณอันชั่วร้าย จะสูญสิ้นสติชื่นชอบความรุนแรงเป็นอย่างมาก เพียงชั่วพริบตาทั้งโลกก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย”
“พลังวิญญาณอันชั่วร้าย กลายเป็นความหมายเดียวกันกับความชั่วร้าย”
“จากนั้นคำว่า ปีศาจ ก็เริ่มทำให้ผู้คนทั้งทวีปหวาดกลัว”
“มันเป็นช่วงเวลาแห่งความมืดมนอันปั่นป่วน”
“ภูตในป่าทั้งหมดถูกฆ่าอย่างรวดเร็ว”
“อย่างไรก็ตามในป่าเตียนวู นั้นมีสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิห้าตัวอาศัยอยู่ที่นั่น พวกมันก็คือ พยัคฆ์ขาว อีกาทองสามขา เสือบูรพา เฟ็งเฉิน นางพญานกยูง ”
“แต่มีเพียง พยัคฆ์ขาว และ เสือบูรพา เท่านั้นที่เลือกที่จะอยู่ต่อสู้ ส่วนสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิอีกสามตัวนั้นเลือกที่จะจากไปยังมิติอื่น เพราะพวกมันไม่ได้เกิดที่นี่”
“เพื่อช่วยมนุษยชาติให้พ้นจากความตาย เสือบูรพาจึงเป็นที่รู้จักในนามสัตว์วิญญาณผู้พิทักษ์”
“ส่วนพยัคฆ์ขาวนั้นพลาดท่าแปดเปื้อนพลังวิญญาณชั่วร้าย และได้ทำการกวาดล้างสังหารครั้งใหญ่ จนถูกเรียกว่าสัตว์ร้ายแห่งความล่มสลาย เหล่าผู้อาวุโสที่ซ่อนอยู่ต่างออกมาจากภูเขา เพื่อหยุดมันและตายไปด้วยกัน”
“ฤๅษี นักบุญ ผู้ใช้พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนถูกบังคับให้ต้องแสดงตัวออกมา”
“แต่ภัยพิบัติก็ยังไม่หยุด มันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น”
“สิ่งที่แปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น สำหรับมนุษย์แล้ว มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะติดเชื้อพลังวิญญาณอันชั่วร้าย แต่ดูเหมือนว่าทางสัตว์วิญญาณนั้นกลับมีแนวโน้มที่จะถูกรุกรานโดยพลังวิญญาณอันชั่วร้ายมากกว่า”
“ผลที่ตามมาก็คือมนุษยชาติ กลายเป็นกลุ่มแรกที่ตกเป็นเป้าหมายของเหล่าสัตว์วิญญาณกลายพันธุ์นับไม่ถ้วน”
“ในที่สุด ข้าก็เข้าใจ”
“ภูตไห ไม่ต้องการทำลายล้างโลกเลย เขาแค่อยากจะทำลาย มนุษยชาติ”
“แต่ข้าก็ไม่ได้ลุกขึ้นสู้กับเขา ข้าไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับเขาได้ เพราะเขาเป็นคนที่มอบทุกอย่างให้กับข้า”
“ นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้คิดจะฆ่าข้าเลยเช่นกัน”
“ แต่ชิงหยูนั้นตายไปแล้ว”
“นางไม่สามารถยืนอยู่บนโลกนี้ได้ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะต่อสู้กับมัน”
“ หัวใจของข้าเองก็ตายไปแล้วพร้อมกับนาง”
“ประเทศ มนุษยชาติ นอกจากนี้ยังมี สัตว์วิญญาณบางส่วนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังวิญญาณชั่วร้าย ทุกคนรวมตัวกันเพื่อจัดตั้งพันธมิตรต่อสู้กับการโจมตีของเหล่าปีศาจ ทว่าตอนนั้นเองกลุ่มของมนุษยชาติ กลุ่มหนึ่งกลับทำการก่อกบฏ ทำให้กองกำลังพันธมิตรหลายสิบล้านคนถูกสังหารที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ผลก็คือฝ่ายพันธมิตรได้อ่อนแอลงอย่างมาก เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น และมนุษยชาติก็เกือบจะสูญสิ้น ”
“ตอนนั้นในที่สุดข้าก็เข้าใจในสิ่งที่ตัวข้าต้องการ”
“ข้าต้องการช่วยโลกที่ชิงหยู ครั้งหนึ่งเคยรักมันมาก”
“ ข้าทรยศภูตไหและช่วยมนุษยชาติ ภูตไหไม่รู้ว่าข้าทำไปทำไม แต่เขากลับมีท่าทีที่ใจเย็นมาก ดูเหมือนว่าเขาจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าข้าจะทรยศเขา”
“โชคดีที่ความแข็งแกร่งของข้าเหนือกว่าภูตไหและเขาไม่สามารถฆ่าข้าได้”
“ทว่ามนุษยชาติก็ยังคงลดลง พวกเรายังคงเผชิญกับอันตรายจากการกวาดล้าง ข้าจึงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นและเลือกที่จะช่วยพวกเขาอย่างเงียบ ๆ ”
“ภัยพิบัตินี้กินเวลาเกือบร้อยปี ทั่วทั้งทวีปถูกปกคลุมไปด้วยดินทรายและซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียม”
“ข้าเห็นผู้คนที่เก่งกาจมากมายอุทิศชีวิต เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“แม้ว่าข้าจะจำชื่อของพวกเขาไม่ได้ แต่ข้ายังจำใบหน้าอันเด็ดเดี่ยวที่เต้มไปด้วยความมุ่งมั่นพร้อมจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันของพวกเขาได้”
“ในความหายนะครั้งนั้น แม้แต่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับจักรพรรดิก็ยังสูญสิ้นไปหลายต่อหลายคน”
“ความแข็งแกร่งของเหล่าปีศาจ ได้บดขยี้มนุษยชาติลงไปครั้งหนึ่ง แต่มนุษยชาติก็ได้อาศัยความเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อต่อต้านมัน”
“ตอนนั้นเองที่ข้าได้ประสบความสำเร็จในการ เลื่อนขั้นขึ้นไปสู่ระดับจักรพรรดิ และด้วยความช่วยเหลือของดาบต้านสวรรค์ ข้าได้บังคับมันให้เปิดพื้นที่ห้วงมิติขนาดใหญ่ รวมพลังกับเหล่าพันธมิตรเพื่อผลักเหล่าปีศาจส่วนใหญ่ลงไปในห้วงมิตินั้น พร้อมผนึกพื้นที่ห้วงมิติแห่งหายนะเอาไว้ หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปีในที่สุดหายนะก็ปิดฉากลง”
“ส่วน ห้วงมิตินั้นก็ถูกเรียกว่า นรกมนตรา”