ไหปีศาจ - บทที่ 484 ดูเหมือนปกติ
บทที่ 484 ดูเหมือนปกติ
บทที่ 484
ดูเหมือนปกติ
ลั่วอู๋ไม่ได้พูดอะไร
ตามปกติแล้วไม่มีใครรู้เรื่องนี้
จูกู่เฉิงพาลั่วอู๋ออกจากปลาตัวใหญ่ ให้กลับมาได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง ทว่ามันไม่ได้ทำให้ลั่วอู๋รู้สึกดีใจอะไรเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่ในโลกไหมานาน
“อย่าเสริมพลังผนึกในเร็ว ๆ นี้ล่ะ” ลั่วอู๋เป็นห่วงเลยต้องเตือน
จูกู่เฉิงพยักหน้า “จะจำให้ขึ้นใจเลย”
ตราผนึกต้องไม่ถูกเสริมกำลังตามใจชอบ และต้องมีการซ่อมแซมเพิ่มเติมอีกในอนาคต
หลังจากกลับไปที่พระราชวังเป่ยหมิงแล้ว ลั่วอู๋ก็ปล่อย ฉูจงฉวน
“ข้าไม่รู้ว่าฝึกอยู่กี่ปีจริง ๆ” ฉูจงฉวนยืดเส้นสาย ลมหายใจของยอดระดับทองเผยให้เห็นอย่างช้า ๆ “เราอยู่มานานขนาดไหน?”
ลั่วอู๋มองไปที่ฉูจงฉวนและตอบว่า “สี่เดือน”
“โอ้” ฉูจงฉวนรับรู้ถึงสายตาของลั่วอู๋และพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามันผ่านมานานมากจริง ๆ นะ เหมือนข้าอยู่ในนั้นมา 1 ปีเลย”
จูกู่เฉิงมองไปที่คนทั้งสี่ตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
ความแข็งแกร่งของพวกเขาได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก
รวมถึงลั่วอู๋ด้วยแม้มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอัจฉริยะ แต่การที่ผู้มีฝีมือทั้งห้ามีความเร็วในการฝึกฝนอันน่ากลัวนั้นดูจะแปลกไปเล็กน้อย
เพียงสี่เดือนก็พัฒนาไปได้ถึงสามมิติเล็ก ๆ ?
จูกู่เฉิงรู้สึกแปลกใจ
แม้ว่าเหวินเสี่ยวจะรู้ว่าคนเหล่านี้มาจากสำนักเฉียนหลง แต่ก็ยังน่ากลัวเกินไปหน่อย
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือพวกลั่วอู๋ทั้งห้าคนอยู่มานานมากกว่าหนึ่งปีแล้ว
ในปีที่ผ่านมามิติของลั่วอู๋ได้รับการยกระดับเป็นระดับทองขั้น 9 ของฉูจงฉวนเป็นระดับ 10 ขององค์หญิงเจียโรวเป็นระดับทองขั้น 7 ของหลี่หยินเป็นระดับทองขั้น 6 และของ หลินยูหลันเป็นระดับทองขั้น 7
ลั่วอู๋ถามฉูจงฉวนว่าเขาพร้อมที่จะเข้าใจแก่นแท้ใดเพื่อเข้าสู่ระดับทองขั้นสูง
คำตอบของฉูจงฉวนนั้นเรียบง่ายมาก “แน่นอนว่าต้องแก่นแท้แห่งไฟสิ เรื่องแบบนี้ต้องเลือกทักษะที่คุ้นเคยมากที่สุดมาทำความเข้าใจก่อน ถึงจะสามารถศึกษาสิ่งใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น”
แก่นแท้ทักษะนั้นมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่ทุกแก่นแท้ล้วนมีพลังอันน่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อเชี่ยวชาญแล้ว
แม้การทำความเข้าใจแก่นแท้ในระดับทองขั้นสูงเริ่มแรกนั้น จะไม่สามารถใช้งานได้จริงในการต่อสู้เพราะพลังของแก่นแท้ยังไม่ได้แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ การโจมตีด้วยการใช้แก่นแท้ทักษะนั้นจึงยังมีพลังน้อยกว่าการใช้ทักษะออกไปตรง ๆมาก
ดังนั้นในมิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการเข้าในแก่นแท้ก็คือการพัฒนาความสมบูรณ์ของพลังทักษะ
การทำความเข้าใจแก่นแท้สามารถปรับปรุงทักษะที่ฝึกฝนสำเร็จแล้วได้ดีขึ้น
ลั่วอู๋พยักหน้า
ตอนนี้เขายังไม่สามารถเลือกแก่นแท้ทักษะที่เขาต้องการจะเข้าใจในอนาคตได้
ทักษะที่คุ้นเคยมากที่สุด?
น่าจะไม่มีทักษะใดที่เขาเข้าใจได้ดีไปกว่าทักษะ [กลืนกิน] ของต้าหวง หลังจากความก้าวหน้าหลายครั้งมันก็กลายเป็นทักษะระดับ SS [กลืนกินสวรรค์] แม้พลังของมันได้รับการพัฒนาจนดีขึ้นมาก แต่จริง ๆ แล้วแก่นแท้ก็ยังคงเหมือนกัน
มันยังใช้แก่นแท้ของการกลืนกินเป็นแกนหลักของทักษะ
อีกด้านหนึ่ง ทักษะลมหายใจมังกรเองก็แสดงถึงแก่นแท้แห่งการทำลายล้าง
ลั่วอู๋มักใช้พลังของภูตสงคราม ซึ่งพลังของภูตสงครามประกอบด้วยแสงและการทำลายล้างซึ่งมีแก่นแท้แห่งการทำลายล้างแฝงอยู่ด้วย
“นอกจากนี้ทักษะ รวมพลเทวดาก็ใช้แก่นแท้แห่งการอัญเชิญ” ลั่วอู๋อดคิดไม่ได้
เขาคุ้นเคยกับทักษะระดับ SS ทั้งสามอย่างนี้มากที่สุด แต่เมื่อระดับความเชี่ยวชาญพัฒนาไปถึง40% ความเร็วในการพัฒนาก็ช้าลงอย่างมาก
เขาต้องการพัฒนาทักษะทั้งสามนี้พร้อม ๆ กัน
แต่ดูเหมือนมันจะเป็นทางเลือกที่โลภไป
ลั่วอู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าต้องการมันทั้งหมด! ข้าจะรู้สึกถึงแก่นแท้ทั้งสามในเวลาเดียวกันได้อย่างไร”
เขามีมิติไหที่ซึ่งเวลาในนั้นไหลเร็วขึ้นกว่าสามเท่า แล้วทำไมเขาจะเข้าใจแก่นแท้ทั้งสามอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้!
เมื่อคิดเรื่องนี้ ลั่วอู๋ก็รู้สึกสบายใจและหัวโล่ง
เขาเดินเข้าไปในวิหาร ตลอดทางมักจะมีคนก้มหัวเคารพลั่วอู๋และกล่าวสวัสดี “คารวะท่านผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์”
ฉีโปจิงหัวหน้าเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ เขามองไปที่ลั่วอู๋อย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“ข้าช่วยเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลั่วอู๋สับสนเล็กน้อย
ต่อมาฉีโปจิงจึงอธิบาย ลั่วอู๋ถึงตระหนักได้ว่าเมื่อตอนที่เขายังอยู่ในร่างของปลาตัวใหญ่ จูกู่เฉิงได้มอบตำแหน่งดังกล่าวให้กับเขา
และเนื่องจากการที่เขาสามารถช่วยพระราชวังเป่ยหมิงให้พ้นจากวิกฤตได้ จูกู่เฉิงจึงได้นิรโทษกรรมให้กับเขาและฉีโปจิง ที่เกือบจะต้องเข้าไปในพระราชวังฉิงหมิงและถูกสำเร็จโทษ
มองจากท่าทีของฉีโปจิง เขาก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าพระราชวังฉิงหมิง เป็นสถานที่ที่น่ากลัว
ฉูจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ใช่ นอกจากนี้เจ้ายังได้เป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์อีกด้วย ถ้าเจ้าไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจจนไม่สามารถอยู่ในจักรวรรดิได้ล่ะก็ เจ้าก็สามารถหนีมาที่นี่เพื่อหลบภัยได้”
“เห้อ” ลั่วอู๋กลอกตา “เจ้าคิดว่าข้าจะก่อเรื่องแบบไหนกัน จนทั้งแผ่นดินไม่มีที่สำหรับข้า คิดว่าข้าจะไปสังหารองค์จักรพรรดิรึไง?”
องค์หญิงเจียโรวหยิกลั่วอู๋ “อย่าพูดเรื่องพล่อย ๆ สิ”
“ข้าก็แค่พูดเอง” ลั่วอู๋อธิบายอย่างเร่งรีบ
องค์จักรพรรดิอาจจะเป็นพ่อตาของเขาในอนาคตก็ได้ เขาจะมาพูดล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้
จูกู่เฉิงเดินออกไป
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ปกครองสูงสุดของพระราชวัง เป่ยหมิง เขาจะต้องผู้ดูแลจัดการทุกอย่าง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีเวลาไปสนใจการละเล่นของพวกเด็กซนแน่
“แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันต่อดีเจ้าคะ” หลี่หยินถาม
ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ ก็ต้องไปช่วยเหวินเสี่ยวไง”
ทั้งห้าไปที่ห้องโถงแสงเหนือ ซึ่งเป็นตำหนักของ เหวินเสี่ยว
ที่นี่มีภาพของแสงเหนือปรากฏอยู่ มันมีท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอันกว้างและสดใส ฉายแสงเหนืออันสวยงามเป็นครั้งคราว ราวกับว่าพระราชวังบนท้องฟ้าที่ตกลงมาสู่ผืนโลก
มีเพียงพื้นที่เช่นนี้เท่านั้นที่สัตว์วิญญาณลึกลับอย่างภูตปีกแสงจะถือกำเนิดขึ้น มันช่างเป็นสัตว์วิญญาณที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับแสงสว่างโดยแท้จริง
เหวินเสี่ยวนั้นได้ปราบภูตปีกแสงและเปลี่ยนชื่อตำหนักเฟิงเทียนของเขา เป็นห้องโถงแสงเหนือ
อันที่จริงพฤติกรรมของเหวินเสี่ยวในช่วงนี้นั้นผิดปกติไปมากจนทุกคนต่างก็สังเกตเห็น
ซึ่งในที่สุดลั่วอู๋ก็ได้เล่าความจริงทั้งหมดออกมา
จนพวกเขาเข้าใจพอที่จะคิดว่า”เรื่องแบบนี้มันก็เป็นไปได้แหละ”
ลั่วอู๋กล่าวขึ้น “พวกเราต้องไปช่วยเหวินเสี่ยว เพราะ เหวินเสี่ยวตัวจริงที่เราผูกมิตรด้วยนั้น ตอนนี้เขาอาจถูกกักขังอยู่ในห้วงภวังค์แห่งสติอันมืดมิด”
ทุกคนพยักหน้า
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าทำไมลั่วอู๋ถึงยอมเสี่ยงมาที่ทะเลเหนือสุดขอบแห่งนี้
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงห้องโถงแสงเหนือ
แต่ก่อนที่จะได้เคาะประตู ประตูห้องโถงก็เปิดออก พร้อมกับคนใช้หลายคนที่เข้ามาแสดงความเคารพ “ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์และแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายท่าน นายน้อยรอพวกท่านอยู่นานแล้ว”
เหวินเสี่ยวนั้นเป็นถึงว่าที่ผู้ปกครองสูงสุดในอนาคต มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีคนใช้
“นำทางไปเลย” ลั่วอู๋กล่าว
ภายใต้การนำทางของคนใช้ พวกเขาจึงได้เข้ามาห้องโถงสว่างจ้า ห้องโถงนั่นโล่งมากจนแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากแสงไฟสีขาวสว่างจ้า
ร่างที่คุ้นเคยกำลังรอพวกเขาอยู่ข้างใน
ใบหน้าของเหวินเสี่ยวมีรอยยิ้มอันอ่อนโยน จนผู้คนอดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้ “มาแล้วสินะ”
“กลับมาแล้วเหรอ?” เมื่อมองไปที่รอยยิ้มที่คุ้นเคยลั่วอู๋ก็ถามด้วยความประหลาดใจ
เหวินเสี่ยวพยักหน้า “ใช่”
“แล้วเขาล่ะ?”
“เจ้าทำตามสัญญาแล้ว เขาจึงเลือกที่จะทำลายตัวเอง” เหวินเสี่ยวถอนหายใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนตรงไปตรงมาได้ขนาดนี้ อันที่จริงเขายกการควบคุมครึ่งหนึ่งให้ข้าก็ได้ด้วยซ้ำ”
ลั่วอู๋ตะลึง
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเหวินเสี่ยว ผู้ซึ่งมีความสามารถอันเหนือขีดจำกัด ทำทุกอย่างได้เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายอย่างไม่เลือกวิธีการ นั้นเลือกที่จะทำลายตัวเองง่าย ๆ เช่นนี้
เพื่อที่จะทำตามสัญญาของเขา?
เมื่อรู้สึกถึงการกลับมาของเหวินเสี่ยว พวกเขาต่างก็พากันดีใจ
“แล้วเจ้าเอายังไงต่อ?” ลั่วอู๋ถาม
“ข้าว่า ข้าจะอยู่ที่พระราชวังเป่ยหมิงต่อ” เหวินเสี่ยวมองไปที่พวกลั่วอู๋อย่างรู้สึกผิด “ข้าไม่สามารถกลับไปกับพวกเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นนายน้อยแห่งวังหลวงคนเดียวที่เหลืออยู่ในพระราชวังเป่ยหมิง และข้าต้องแบกรับความผิดชอบของตัวเอง”
พวกลั่วอู๋ต่างเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
ไม่มีทางเลยที่ทางพระราชวังเป่ยหมิงจะหานายน้อยแห่งวังหลวงคนใหม่มาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
แม้ว่าเหวินเสี่ยวจะไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุด แต่เขาก็ต้องรอผู้สืบทอดคนใหม่อีกเกือบร้อยปีกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้
พวกเขาคุยกันเป็นเวลานาน
บรรยากาศเป็นไปอย่างกลมกลืน
เหวินเสี่ยวกล่าว “ข้าจะส่งคนนำทางพาพวกเจ้าไปชมพื้นที่ต่าง ๆ ของทะเลเหนือสุดขอบ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้พวกเจ้าพอใจกับการเดินทางครั้งนี้ และเพื่อที่จะขอบคุณพวกเจ้าทุกคน พวกเรามีสมบัติมากมายในพระราชวังเป่ยหมิงให้พวกเจ้าเอากลับไป”
ทะเลเหนือแห่งนี้คือขุมทรัพย์
อัญมณี ไข่มุก และวัตถุวิญญาณนับไม่ถ้วนล้วนมีต้นกำเนิดมาจากทะเล
เมื่อนึกถึงคำว่าไข่มุกและอัญมณี แม้แต่หลี่หยินก็ยังรู้สึกคล้อยตาม ซึ่งนางเองก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ที่ตัวเองรู้สึกคล้อยตามไปด้วย
หลังจากคุยกันสักพักลั่วอู๋และคนอื่น ๆ ก็พร้อมที่กลับออกไป
แต่ขณะนั้นเอง ลั่วอู๋ก็ถามคำถามขึ้น “เหวินเสี่ยว แล้วภูตปีกแสงของเจ้าล่ะ?”
“แน่นอนว่ามันอยู่ในแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้า” เหวินเสี่ยวตอบด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋ตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงค่อย ๆ หันกลับไปจ้องหน้า เหวินเสี่ยว “แต่เจ้าไม่เคยใส่ภูตปีกแสงของเจ้าเข้าไปในแหวนสัตว์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เลยนี่นา”