ไหปีศาจ - บทที่ 501 แย่งชิงเสี่ยวกง
บทที่ 501 แย่งชิงเสี่ยวกง
บทที่ 501
แย่งชิงเสี่ยวกง
เรื่องที่เสี่ยวกงมีทักษะศิลปะแห่งจักรพรรดิดาบเป็นอะไรที่หมู่คนของตระกูลลั่วรู้กันดีอยู่ก่อนแล้ว
แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นกันเท่าไหร่
แม้ว่าทักษะการใช้ดาบจะเป็นสิ่งที่หายาก แต่มันเป็น ลิงเผือก การใช้ดาบได้จะไปมีประโยชน์อะไร? นอกจากนี้มันยังมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอมาก ถ้ามันตายไปก่อนวัยอันควร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเนื่องจากมันอ่อนแอ และต่อให้มันโชคดีพอที่จะอยู่รอดได้มันก็ยังคงอ่อนแออยู่ดี
เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีใครสนใจเสี่ยวกง พวกเขาสนใจ ลิงเผือกตัวน้อยอีกสองตัวมากกว่าว่าพวกมันจะเติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัยได้รึเปล่า
แต่ใครจะไปคิดว่า เสี่ยวกง สามารถบินได้ด้วยความช่วยเหลือของทักษะ “ศิลปะแห่งจักรพรรดิดาบ” ตั้งแต่ตอนที่มีมิติวิญญาณอยู่เพียงแค่ระดับทองแดง ความสามารถนี้ร้ายกาจเกินไปมาก
มันเกิดมาเพื่อวิชาดาบอย่างแท้จริง
ไม่ต้องพูดถึงนัยน์ตาปีศาจ ยิ่งลิงเผือกทำความเข้าใจทักษะนี้ได้เร็วเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสามารถพิสูจน์คุณค่าและความสามารถของตัวมันได้มากขึ้นเท่านั้น
ดวงตาของปังชิเย่สบเข้ากับลั่วอู๋ชั่วขณะ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ชี้ไปที่เสี่ยวกงแล้วพูดว่า “ท่านผู้นำตระกูลลั่ว ข้าเลือกลิงเผือกตัวนี้”
เขาตัดสินใจเลือกมัน
ลิงเผือกน้อยตัวนี้ไม่ธรรมดาเลย เขาจึงคิดว่าเสี่ยวเว่ย นายพลเทพเจ้าอันดับหนึ่งคงจะไม่ปฏิเสธมันแน่ เพราะมันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ได้ในระยะสั้น ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อ แผนการอันสำคัญยิ่งขององค์ชายเล็ก
ยิ่งไปกว่านั้นลิงเผือกตัวน้อยนี้ยังสนิทสนมกับลั่วอู๋มาก ลั่วอู๋เคยยั่วโมโหเขาสามหรือสี่ครั้งมาก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาโกรธมาก เขาจึงอยากใช้โอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนให้กับลั่วอู๋
ลั่วฮันเชียง ประหลาดใจ “เจ้านี่เหรอ … ”
“มีอะไรหรือเปล่า? ท่านมีปัญหางั้นเหรอ ท่านบอกให้ ข้าเลือกได้ตามสบายนี่นา” ปังชิเย่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ตระกูลลั่ว ไม่ต้องการความร่วมมือจากคฤหาสน์ขององค์ชายแล้วหรือ?”
ตอนนี้ลั่วฮันเชียงถึงคราวที่ต้องหน้ามืด
เขาต้องการความร่วมมือจากทางคฤหาสน์ขององค์ชาย เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้นำตระกูลที่มั่นคงยิ่งขึ้นเพื่อท่านบรรพบุรุษจะได้มองเขาแตกต่างไปจากเดิม
หากความร่วมมือถูกขัดจังหวะในตอนนี้ ความพยายามที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ของเขาก็จะไร้ผล
“ ข้าขอคุยกับลั่วอู๋ก่อน” ลั่วฮันเชียง ลังเลพลางพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ปังชิเย่ไม่พอใจมาก“ท่านเป็นถึงผู้นำตระกูลลั่ว ท่านจะไปปรึกษาเรื่องแบบนี้กับรุ่นน้องของท่านได้อย่างไร ลืมมันไปเถอะ ข้าจะไปพูดกับเขาเอง”
พูดจบ ปังชิเย่ ก็บินตรงไปหาลั่วอู๋
ลั่วฮันเชียงเองก็พุ่งตามเขาไป
เสี่ยวกง สามารถเอาชนะพี่น้องทั้งสองตัวด้วยความเร็วที่สูงกว่าอย่างท่วมท้น ในตอนนี้มันเกาหูด้วยความรู้สึกอันตื่นเต้น ความสุขของมันนั้นยากที่จะซ่อนเอาไว้ได้
แน่นอนว่ามันสามารถชนะพี่น้องของมันได้ในเรื่องความเร็ว แต่ก็ยังยากหากวัดกันในแง่มุมอื่น ๆ ถ้าพวกมันต่อสู้กันจริง ๆ ร่างกายอันอ่อนแอที่ขาดซึ่งพลังวิญญาณของมันหากใช้เป็นเวลานาน เสี่ยวกงก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชแน่
ถึงอย่างนั้นแล้วลั่วอู๋ก็ยังคงมีความสุขกับเสี่ยวกง
ตามที่คาดไว้การกลายพันธุ์ของ เสี่ยวกง มีลักษณะเฉพาะที่พิเศษมาก มันไม่ได้กลายพันธ์ุไปในทิศทางที่อ่อนแอ แม้มันจะเบี่ยงเบนไปจากทิศทางของสายพันธุ์โดยสิ้นเชิงจนทำให้ดูเหมือนอ่อนแอมาก
แต่สัตว์วิญญาณที่ต้องการอาวุธจะไม่อ่อนแอได้อย่างไร
ทันใดนั้นปังชิเย่ก็บินมาแล้วพูดว่า “ข้าเลือกลิงเผือกตัวนี้แล้ว ข้าจะเอามันกลับไป”
“เอามันกลับไป?” ใบหน้าของลั่วอู๋จมลง “เจ้าบอกว่าจะเอามันกลับไปงั้นเหรอ พูดบ้าอะไรของเจ้า”
ปังชิเย่ ไม่ได้โกรธ แต่กลับตอบด้วยความเยาะเย้ย “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า การตัดสินใจเกี่ยวกับลิงเผือกเป็นสิทธิ์ของตระกูลลั่ว ไม่ใช่สำหรับเจ้า”
ในขณะนี้ลั่วฮันเชียงก็ได้บินมา
เมื่อมองไปที่ลั่วฮันเชียง ลั่วอู๋ไม่ได้เรียกเขาว่าผู้นำตระกูลด้วยซ้ำ “เจ้าต้องการยกเสี่ยวกงให้เขางั้นเหรอ?”
“มันเป็นความจริง.” ลั่วฮันเชียง พยักหน้าและกล่าวว่า “นี่เป็นข้อตกลงระหว่างตระกูลลั่ว และคฤหาสน์ขององค์ชาย แน่นอนว่าเจ้าสามารถเอาดาบของเจ้าคืนไปได้”
ลั่วอู๋โกรธมาก เขาขมวดคิ้วและถาม “เจ้าคิดว่าข้าสนใจดาบนั่นมากหรือไง ? เจ้าไม่เห็นเหรอว่าเขาเลือกมันเพราะคิดว่าเสี่ยวกงใกล้ชิดกับข้า เขาจงใจยั่วยุข้าอย่างน่ารังเกียจ ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีข้อตกลงอะไรกันระหว่างตระกูลลั่วกับคฤหาสน์องค์ชาย ข้าไม่สนลิงเผือกตัวอื่น ๆ ได้ แต่ข้าไม่ยอมให้ใครมาพรากเสี่ยวกงไปจากที่นี่แน่”
แม้ว่าจะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน แต่ เสี่ยวกง ก็เป็น ลิงเผือกที่ลั่วอู๋หวงแหน
นี่มันต้องล้อกันเล่นแน่ ๆ
เขาเป็นคนให้ความหวังในการมีชีวิตอยู่กับมัน
เขาเป็นคนขุดพรสวรรค์ของมันออกมา
แม้แต่ดาบเสมือนเขาก็ยังมอบมันให้กับเสี่ยวกง
คิดจะแยกเขาออกจาก เสี่ยวกง งั้นเหรอ? คฤหาสน์องค์ชาย ?ต่อให้เป็นคำสั่งขององค์จักรพรรดิก็ไม่มีสิทธิ์
“เจ้ามันยโสโอหังเกินไปแล้ว เจ้าควรรู้สถานะของตัวเองบ้างนะ” ลั่วฮันเชียง ไม่สามารถช่วยได้ในที่สุด เมื่อถูกลั่วอู๋ดุเขาก็รู้สึกอับอายจนทนไม่ไหว
“ ข้าเป็นผู้นำตระกูล แม้ว่าเจ้าจะได้รับความเคารพนับถือจากท่านบรรพบุรุษ แต่เจ้ามันก็แค่ว่าที่เจ้าบ้านที่ยังเป็นเด็กน้อย”
“ลิงเผือกเป็นของตระกูลลั่ว ดังนั้นพวกมันต้องเป็นไปตามการจัดสรรของตระกูลลั่ว มันคือข้าไม่ใช่ที่เป็นตัวแทนของตระกูลลั่ว!”
“ ตอนนี้ข้าต้องการมอบ ลิงเผือก แห่งตระกูลลั่ว ให้กับคฤหาสน์ขององค์ชาย เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งข้าแนะนำให้ เจ้าเคารพข้าบ้าง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีคุณสมบัติได้เข้ามายังโรงปรับแต่งลับอีกในอนาคต ”
ใบหน้าของ ลั่วฮันเชียง ดุร้ายและเขาไม่สนใจอะไรอีกทั้งนั้น
ถ้าข้อตกลงนี้ประสบความสำเร็จตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขาจะมั่นคงขึ้นจน แม้แต่ท่านบรรพบุรุษก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่เขาออกไป ทำไมเขาต้องมาสนใจลั่วอู๋ด้วย
ในความคิดของเขา ความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลั่วอู๋ ก็แค่ท่านบรรพบุรุษเอ็นดูเขา
แต่ตอนนี้ท่านบรรพบุรุษไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
หากไม่มีความช่วยเหลือของตระกูลลั่ว ลั่วอู๋ก็คงเข้าไปในสำนักเฉียนหลงไม่ได้ และสำนักโล่พิทักษ์ของเขาก็คงไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในเมืองหลวงของจักรวรรดิได้แบบตอนนี้ ตระกูลลั่วนั้นเป็นสาเหตุที่เขาได้เขาไปในวังจนได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงเจียโรว
ลั่วอู๋จะกล้าหยาบคายกับผู้นำตระกูลอย่างลั่วฮันเชียวได้อย่างไรกัน เขาควรจะตอบแทนความเมตตาจากตระกูลลั่วด้วยซ้ำไปไม่ใช่เหรอ?
ลั่วฮันเชียงคิดว่าเขาสามารถทำให้ลั่วอู๋ล่าถอยได้
แต่น่าเสียดายที่เขาคิดผิด
เพราะเขาเข้าใจผิดคิดว่าลั่วอู๋ต้องการตระกูลลั่ว จึงไม่ได้หันหลัง
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ “ดี ข้าเองก็ไม่ค่อยได้เข้ามาในโรงปรับแต่งลับของตระกูลลั่วอยู่แล้ว ถึงตระกูลนี้เป็นตระกูลที่แม่ข้ารัก แต่ถ้าไม่ใช่เพราะท่านบรรพบุรุษ ข้าก็คงไม่มีทางห่วงตระกูลลั่วแบบตอนนี้แน่”
เขาไม่มีความรู้สึกสนใจในตระกูลลั่วมานานแล้ว
จนกระทั่งเขาได้รับความรักจากท่านบรรพบุรุษของตระกูลลั่ว และผู้อาวุโสสองสามคนของตระกูลลั่วในสำนัก เฉียนหลง ดังนั้นเขาจึงพยายามถนอมความสัมพันธ์กับตระกูลไม่ให้แย่จนเกินไป
“ เสี่ยวกง!” ลั่วอู๋คำราม “ตระกูลลั่วต้องการส่งเจ้าออกไป เจ้าอยากให้ข้าพาเจ้าไปแทนหรือไม่?”
เสี่ยวกงมองไปที่ปังชิเย่ จากนั้นมันก็พยักหน้าโดยไม่ลังเล
พ่อแม่? หลังจากที่มันให้กำเนิดพี่น้องสามคน ก็ทิ้งพวกมันไว้ให้ตระกูลลั่วเลี้ยงดู เนื่องจากพวกมันแทบไม่เคยปรากฏตัว เสี่ยวกง จึงไม่รู้เกี่ยวกับพ่อแม่ของมัน
มีเพียงพี่น้องอีกสองตัวที่เป็นเหมือนคู่แข่ง
นอกจากนี้คนในตระกูลลั่วเองก็มีความสนิทสนมน้อยกว่าลั่วอู๋มาก
“ ดีแล้วตามข้ามา” ด้วยการโบกมือของเขา ลั่วอู๋ก็ทำให้ เสี่ยวกง เข้าสู่มิติไห
ลั่วฮันเชียง ตกใจและเส้นเลือดสีเขียวของเขาก็ระเบิดออกมาพร้อมคำราม “โอหังเจ้ากล้าที่จะลักพาตัวลิงเผือก โดยไม่ได้รับอนุญาตงั้นเหรอ ? เจ้าได้ละเมิดกฎร้ายแรงข้อแรกของตระกูลที่ไม่สามารถละเมิดได้แล้ว จงปล่อยลิงเผือกตัวน้อยออกมาซะ”
ลั่วอู๋ไม่สนใจเขาและบินออกไป
ปังชิเย่เยาะเย้ย “ท่านผู้นำตระกูลลั่ว ดูเหมือนว่าท่านจะไม่มีศักดิ์ศรีใด ๆ เสียแล้ว ลืมมันไปเถอะ ข้าจะจัดการทำความสะอาดประตูให้กับท่านผู้นำตระกูลลั่วเอง”
ปังชิเย่ถึงกับรีบตามออกไป
ลั่วฮันเชียง ตกใจ “ปังชิเย่ไม่จริงน่า!”
แม้ว่าเขาจะหันหน้าไปทางอื่นและไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะฆ่าลั่วอู๋จริงๆ มิฉะนั้นท่านบรรพบุรุษจะต้องโกรธมาก หากเป็นเช่นนั้นต่อให้เขาจะประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาก็คงจะถูกลงโทษอย่างหนักแน่
เงาที่ดูเหมือนช้าง ของสัตว์ร้ายหมิงเต๋า ที่เปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณปรากฏขึ้นอย่างช้าๆด้านหลังของปังชิเย่
“เจ้าทำเหมือนข้าเป็นคนโง่สินะ!” ใบหน้าของ ปังชิเย่ แสดงรอยยิ้มอันโหดร้าย มือของสะบัดไปราวกับว่าจะทำให้ภูเขาจะถล่ม
ทักษะระดับ s [สงบวิญญาณ]
พลังวิญญาณอันทรงพลังรวมตัวกันเป็นแก่นแท้ ราวกับผนึกขนาดเท่าภูเขาตกลงมาจากท้องฟ้าเหมือนว่าเขาตั้งใจจะใช้มันสังหารลั่วอู๋
อย่างไรก็ตามทักษะนี้ไม่ได้เป็นอันตรายต่อร่างกาย มันเป็นทักษะที่ใช้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อจิตวิญญาณ
ลั่วอู๋สัมผัสได้ถึงการโจมตีจากด้านหลัง แววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ปังชิเย่ หนึ่งในสิบสามนายพลแห่งเทพเจ้าที่เชี่ยวชาญในเรื่องการโจมตีทางจิตวิญญาณ
มิติวิญญาณ ระดับทองขั้นสูง มิติ 4
เขาคิดว่าเขาจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองต้องการจริงๆหรือ?
“ เจ้าคิดว่าตัวเองมีจิตใจที่เข้มแข็งจริง ๆ งั้นเหรอ ?” ลั่วอู๋สะบัดนิ้ว 27 ครั้งติดต่อกัน
ในเวลาเดียวกันหยดน้ำสีทอง 27 หยดปรากฏขึ้นจากอากาศบาง ๆ และบินออกไปเหมือนอาวุธลับ
ทว่าปังชิเย่ก็ยังไม่หยุดโจมตี
เขาไม่คิดว่าลั่วอู๋จะสามารถต่อสู้กับตัวเองได้
แต่แล้วในวินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
หยดน้ำสีทองยี่สิบเจ็ดหยดลงบนร่างของเขา จากนั้นคลื่นสีทองก็พัดมาเหนือเขากลืนกินเขาไปในพริบตา
โดยไม่มีสัญญาณใด ๆ พลังวิญญาณขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นในแก่นวงจรพลังวิญญาณของเขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ร่างของ ปังชิเย่ แข็งตัวไปในทันที ทวารทั้งเจ็ดของเขามีเลือดไหลออกมา เขาตกลงมาจากท้องฟ้าจนร่างของเขาแหลกเละ
และแล้ว ปังชิเย่ หนึ่งในสิบสามนายพลแห่งเทพเจ้าก็เสียชีวิตลงไปตรงนั้น