ไหปีศาจ - บทที่ 502 ลาก่อน
บทที่ 502 ลาก่อน
บทที่ 502
ลาก่อน
หยดน้ำสีทองนี้ถูกดึงมาจากทะเลแก่นวิญญาณของคุณ
แต่ละหยดมีพลังวิญญาณอันงดงามที่สามารถฆ่า ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง ได้อย่างง่ายดาย มันจึงเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
ลั่วอู๋ไม่แน่ใจว่าเขาสามารถใช้มันฆ่า ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงได้หรือไม่ เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการยิงหยดน้ำทองคำ 27 หยดตรง ๆ เพื่อโจมตีปังชิเย่
พลังของมันอันตรายมากจริงๆ
ปังชิเย่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้และเขาถูกสังหารในทันที
นี่เป็นการใช้งานหยดน้ำสีทองเป็นครั้งแรกของ ลั่วอู๋ เขาตกใจมากเพราะพลังดั้งเดิมของหยดน้ำนั้นดุเดือดมาก เขาคงต้องบันทึกเอาไว้ในภายหลังแล้วว่าความเสียหายนี่มันมากเกินไปรึเปล่า
ลั่วอู๋มีหยดน้ำทองคำทั้งหมด 130 หยด ตอนนี้เขาใช้มันไป 27 หยด จึงเหลือเพียง 103 หยดเท่านั้น
ลั่วฮันเชียงได้แต่ตกตะลึง
นี่มันอะไรกัน?
ลั่วอู๋สามารถฆ่าปังชิเย่ที่เป็นระดับทองขั้นสูง มิติ 4 ในชั่วพริบตา?
ปังชิเย่นั้นเป็นหนึ่งในสิบสามนายพลแห่งเทพเจ้าของคฤหาสน์องค์ชายชาย นายพลขององค์ชายคนนี้ไม่ใช่ ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงทั่ว ๆ ไป เขาเชี่ยวชาญในเรื่องการทำลายจิตใจของศัตรูและสามารถฆ่าคนได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจ
ทว่าคนเช่นนี้กลับถูกลั่วอู๋ฆ่าตายอย่างง่ายดาย
ลั่วอู๋ขี้เกียจไปดูสภาพปังชิเย่และพร้อมที่จะกลับไปเลยในทันที แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ลั่วฮันเชียงจะปล่อยเขากลับไป ลั่วฮันเชียงจึงบินขึ้นไปหยุดเขาเอาไว้ “หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ต้องการอะไร?” ลั่วอู๋พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ เจ้าฆ่าปังชิเย่โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่ความล้มเหลวในการร่วมมือระหว่างตระกูลลั่วและคฤหาสน์องค์ชาย”
“ความล้มเหลวของเจ้ามันเกี่ยวอะไรกับข้า” ลั่วอู๋ พูดอย่างไม่อดทนตระกูลลั่วได้ดีกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ”
“ไร้สาระน่า เจ้าเพิ่งฆ่านายพลคนสำคัญ และพยายามที่จะนำลิงเผือกตัวน้อยกลับออกไป เจ้าได้ก่ออาชญากรรมที่น่ากลัว ข้าไม่สามารถร่วมมือกับเจ้าได้แล้ว” “ลั่วฮันเชียงคำราม
“ บ้าไปแล้วเขาอยากจะฆ่าข้า ข้าป้องกันตัวไม่รึไง” ลั่วอู๋หันมากลอกตาสีขาว “ถ้าข้าถูกเขาฆ่า เจ้าจะสามารถรับผิดชอบได้เหรอ ?”
ลั่วฮันเชียงคิดคำพูดอยู่พักหนึ่ง
การโจมตีของปังชิเย่เร็วเกินไปที่เขาจะตอบสนองทัน
ถ้าลั่วอู๋ถูกฆ่าในคฤหาสน์ตระกูลลั่ว ท่านบรรพบุรุษจะต้องโกรธเขามากแน่ และชีวิตของเขาเองก็คงจะจบลงเช่นกัน
“ออกไปน่า อย่ามาขวางข้า” ลั่วอู๋ ใช้ทักษะทะลวงมิติโดยไม่สนใจลั่วฮันเชียง เขารีบออกไปในทันที
ลั่วฮันเชียงรู้สึกประหลาดใจและรีบวิ่งตามไปอีกครั้งและหยุดลงข้างหน้า ลั่วอู๋ “หยุดก่อน อย่างน้อยเจ้าก็ควรไปที่คฤหาสน์องค์ชายกับข้าเพื่อขออภัยโทษ”
เขายังคงคิดถึงเรื่องความร่วมมือกับคฤหาสน์องค์ชาย
เขาไม่สามารถสูญเสียสิ่งที่พยายามที่ทำมาเป็นเวลานานไปได้
ลั่วอู๋ไม่เต็มใจที่จะคุยกับเขาและโยนหยดน้ำทองคำออกมาหนึ่งหยด ซึ่งทำให้ลั่วฮันเชียงต้องหลบไปอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ลืมสาเหตุการตายของปังชิเย่
หยดน้ำทองนี้ช่างชั่วร้าย
แม้แต่เขาที่เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง มิติ 6 ยังไม่กล้าแตะหยดน้ำสีทองนี้ด้วยซ้ำ
ทั้งที่จริง ๆ นั้นหยดน้ำทองคำเพียงหยดเดียวไม่สามารถฆ่าผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงได้ แต่ลั่วอู๋ก็ได้ทำให้เขากลัวไปก่อนแล้ว
หลังจากลั่วฮันเชียงหยุดลงด้วยความหวาดกลัว ลั่วอู๋ก็อาศัยจังหวะนั้นบินจากไป
ลั่วฮันเชียงอยู่ในสภาพโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็หยิบเหรียญที่สลักด้วยลวดลายของลิงเผือกสีสดใสออกมา
มันคือสมบัติของตระกูล
สมบัติที่สามารถระดมกำลังพลในตระกูลทั้งหมดมาได้อย่างเร่งด่วน
ไม่ว่าจะใครคัดค้านอะไร พวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้นำตระกูลแล้วยอมเห็นด้วยกับคำสั่ง
แม้ว่าบุคคลระดับสูงคนอื่น ๆ จะไม่เห็นด้วยกับผู้นำตระกูล พวกเขาก็ต้องรอจนกว่าเรื่องจะจบ
“บ้าสงครามเจ้าจงช่วยข้าหยุดเขาซะ!” ลั่วฮันเชียงคำราม
เขาไม่กล้าจะลุยไปคนเดียวด้วยที่เขากังวลว่าจะถูกฆ่าด้วยวิธีแปลก ๆ ของ ลั่วอู๋ จึงส่งการต่อสู้ที่ดุเดือดให้กับลิงเผือกที่ทรงพลังที่สุด
บ้าสงครามดูเหมือนจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของที่นี่ แต่มันก็ขี้เกียจเกินไปที่จะจัดการ อย่างไรก็ตามในเวลานี้ ด้วยคำสั่งของผู้นำตระกูล ทำให้มันต้องยอมให้ความร่วมมือ
มันมีข้อตกลงกับ ลั่วฮันเชียง มันจึงต้องปฏิบัติตาม
“กรร!”
บ้าสงครามกลายเป็นแสงสีเงินและดับลง มันไม่ได้บินไป แต่ด้วยความเร็วและความแข็งแกร่งที่น่ากลัว ก็ทำให้มันสามารถระเบิดทางอากาศและบินออกไปได้
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
เขามีการคาดเดาสองสามอย่างว่าใครจะมาเป็นศัตรูกับเขา
แต่เขาไม่คิดว่าบ้าสงครามจะเขามาหาเขาเช่นนี้
พลังอันน่าสยดสยองเข้าปกคลุมลั่วอู๋ อากาศหยุดนิ่งลงทำให้ลั่วอู๋หายใจลำบากและอยากจะเป็นลม
“ ไม่!” ลั่วอู๋กัดปลายลิ้นของเขา ความเจ็บปวดช่วยทำให้สติของเขากลับมา
โชคดีที่ที่นี่เป็นโรงปรับแต่งลับ
และเขาก็อยู่ใกล้กับทางออกของที่นี่แล้ว
ใช้งานทักษะระดับ SS [หลอกหลอน]
ร่างของลั่วอู๋กลายเป็นภาพลวงตาเงาดำแล้วจึงหายไปอีกมิติชั่วพริบตา
ทักษะทะลวงมิตินั้นอาจถูกขัดจังหวะได้ แต่ทักษะหลอกหลอนจะไม่มีปัญหาเช่นนั้น ในขณะที่ใช้มันผู้ใช้จะหลบหนีไปยังอีกมิติ และเข้าสู่สถานะที่อยู่ยงคงกระพัน
ข้อเสียของทักษะหลอกหลอนก็คือมันไม่สามารถพาคนอื่นไปด้วยได้ และระยะทางในการเคลื่อนไหวก็สั้นกว่ามาก
ทว่าตอนนี้ลั่วอู๋อยู่คนเดียวและอยู่ใกล้กับทางออกของโรงปรับแต่งลับแล้ว
บ้าสงครามตกใจมันไม่คาดคิดว่าลั่วอู๋จะสามารถหนีรอดจากมันไปได้ จากนั้นมันก็เกาหัว อย่างสับสนพร้อมมองไปที่ลั่วฮันเชียงพึมพำสองครั้งแล้วค่อยๆเดินกลับไปในป่าไผ่
มันแพ้เสียแล้ว
นี่ถือจึงว่าภารกิจเสร็จสิ้น มันไม่มีธุระอะไรที่จะต้องตามตัวลั่วอู๋ที่กำลังหลบหนีต่อ
“นี่ … ” ลั่วฮันเชียง ตกใจและโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะสั่งการ บ้าสงครามต่อ เพราะเขารู้ดีว่าหากบ้าสงครามโกรธขึ้นมานั้น มีเพียงไม่กี่คนในจักรวรรดิที่สามารถควบคุมมันได้
ลั่วฮันเชียง ทำได้เพียงปล่อยมันกลับไป จากนั้นก็รีบตรงไปยังทางออกของโรงปรับแต่งลับ กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว
โรงปรับแต่งลับได้กลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม
โดยมีเพียงลิงเผือกตัวน้อยหนึ่งตัวหายไป
……
ลั่วอู๋กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วและกำลังจะจากไป แต่ก็มีเสียงดังมาจากด้านบนท้องฟ้า
“ด้วยคำสั่งของข้า จับตัวลั่วอู๋เอาไว้ซะ!”
มันคือเสียงของลั่วฮันเชียง
ผู้คนในตระกูลลั่วต่างตกใจเสียงของลั่วฮันเชียง ทว่าผู้นำตระกูลก็ย้ำคำสั่งของเขาอีกครั้ง “ตระกูลลั่ว ทั้งหมดจงเชื่อฟังคำสั่งของข้า จับลั่วอู๋เข้าไว้ซะ เขาขโมยลูกลิงเผือกไป”
ทั้งตระกูลลั่วต่างตกใจ!
ลิงเผือกเป็นหนึ่งในสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลลั่ว
หากใครขโมยลูกลิงเผือกย่อมไม่มีวันได้ตายดีแน่
แต่ทำไมลั่วอู๋ถึงได้คิดจะขโมยมันไปล่ะ?
ด้วยสถานะของเขา ที่เป็นผู้สืบทอดของท่านบรรพบุรุษ มันแน่นอนอยู่แล้วว่า เขาจะต้องได้ลิงเผือกสัตว์วิญญาณตัวที่สี่ การที่เขาจะได้มีสัตว์วิญญาณตัวที่สี่เป็นระดับเพชร ทำให้คนในตระกูลลั่วหลายคนต้องอิจฉา แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความสามารถเพียงพอสำหรับสิทธิ์นั้น
แม้ว่าจะสับสน แต่เมื่อคำสั่งของผู้นำตระกูลถูกสั่งออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถขัดได้ เหตุผลที่แท้จริงสามารถถามเอาได้ก็ต่อเมื่อหลังจากจับลั่วอู๋ได้แล้วเท่านั้น
ลมปราณอันรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วคฤหาสน์ตระกูลลั่วหลายสิบครั้ง
ลั่วอู๋ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มผู้ใช้พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งและน่ากลัวหลายสิบในชั่วพริบตา อย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้คิดที่จะโจมตีอะไรเขา เพียงแค่ต้องการหยุดลั่วอู๋
เพราะตระกูลลั่วทุกคนรู้ดีว่าท่านบรรพบุรุษของพวกเขาให้ความสำคัญกับลั่วอู๋มากแค่ไหน
ในเวลานี้ ลั่วอู๋ ก็ได้รู้รายละเอียดกำลังพลของตระกูลลั่ว ที่นี่มีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรสองคน และมีผู้ที่แข็งแกร่งระดับทองขั้นสูงมากกว่า 30 คน
สมแล้วที่พวกเขาเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากในเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ลั่วฮันเชียง บินไปหา ลั่วอู๋ และพูดด้วยถ้อยคำที่ชอบธรรม “จงคืนลูกลิงเผือกมา แล้วตามข้าไปยังคฤหาสน์องค์ชายเพื่อขอโทษ”
“ถ้าข้าไม่ต้องการล่ะ” ใบหน้าของลั่วอู๋จมลง
ลั่วฮันเชียง กัดฟันและพูดว่า “เจ้าจะถูกจัดการตามกฎหมายของตระกูล”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่า ข้าเป็นคนของตระกูลลั่วของเจ้าจริงๆหรือ?” ลั่วอู๋หัวเราะแล้วพูดอย่างเย็นชา “ออกไปจากทางของข้า”
แม้จะเผชิญหน้ากับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงของตระกูลลั่วจำนวนมากลั่วอู๋ก็ไม่กลัวเลย
กลับกันแล้วพวกเขาต่างหากที่กำลังลังเล
เพราะท่านบรรพบุรุษได้บอกพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาควรปล่อยให้ ลั่วอู๋ มีความรู้สึกอันเป็นอิสระเทียบเท่ากับผู้นำของตระกูลลั่ว
แต่ตอนนี้มันแย่ไปหน่อย
นับประสาอะไรกับความเป็นเจ้าของ นี่เป็นสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องแตกหักกันได้อย่างชัดเจน
เนื่องด้วยคำสั่งของผู้นำตระกูล ทุกอย่างจึงต้องเป็นไปตามคำสั่งของผู้นำตระกูล และพวกเขาเองก็ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎของตระกูลได้เช่นกัน
ในขณะที่พวกเขากำลังลังเล ลั่วอู๋ ก็ดึงหินทะลวงมิติออกมา
“ไม่ยอมที่จะหลบทางให้ข้าสินะ งั้นก็ลาก่อน เจ้าจงจำในสิ่งที่ตนเองเลือกไว้ในวันนี้ซะ” ลั่วอู๋พูดอย่างเย็นชาจากนั้นก็บดหินทะลวงมิติในมือ
นี่เป็นการเตือนสุดท้ายของ ลั่วอู๋
“หยุดเขาซะ!” ลั่วฮันเชียง อุทานด้วยความประหลาดใจ
ไม่มีใครคิดว่าลั่วอู๋จะมีหินทะลวงมิติ
ทุกคนคิดว่าลั่วอู๋คงหนีรอดไปไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกดดันและไม่มีการป้องกันใด ๆ ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดู ลั่วอู๋ หนีเข้าหายไปในความว่างเปล่า
เขาหายไป
จากนั้นเหล่าแนวหน้าของตระกูลลั่วก็ทำได้แค่หันมามองหน้ากัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!