ไหปีศาจ - บทที่ 534 แล้วมันยังไงล่ะ
บทที่ 534 แล้วมันยังไงล่ะ
บทที่ 534
แล้วมันยังไงล่ะ
เย่เฟิงนั้นยังไม่ตาย
แม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกกลืนกินไปครึ่งหนึ่ง แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากเขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูง ระดับในฐานะสิ่งมีชีวิตของเขาจึงห่างไกลเกินกว่าคนทั่วไปมาก
ทว่าทะเลแก่นวิญญาณของเขาได้ถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น อีกทั้งร่างกายของเขายังไม่สมบูรณ์ เขาจึงไม่มีพลังในการต่อสู้เหลืออยู่อีกแล้ว ตอนนี้เขาจึงทำได้แค่นอนบนพื้นและโหยหวน
ลั่วอู๋มองไปที่เย่เฟิงอย่างเย็นชา
“ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่ฆ่าเจ้า เจ้าจะเป็นมนุษย์คนแรกที่ถูกกักขังในไหปีศาจ ทะเลแก่นวิญญาณของเจ้าพังทลาย และร่างกายของเจ้าก็ตกอยู่ในสภาพอนาถเช่นนี้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?”
ลั่วอู๋พูดประโยคนี้ด้วยความโกรธ จากนั้นก็ใช้พลังของ ไหปีศาจ
เขาจะใช้พลังของไหปีศาจกัดกร่อนเย่เฟิงจนไม่มีวันฟื้นตัวได้
หลังจากทั้งหมดนี้ ความโกรธของ ลั่วอู๋ ก็ได้คลายลงเล็กน้อย
เขาเองก็สภาพไม่ได้ดีเท่าไหร่
ความแข็งแกร่งของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงนั้นไม่ใช่เรื่องตลกเลย แม้จะเหลือร่างเพียงครึ่งเดียวพลังวิญญาณของเย่เฟิงก็ยังสามารถข่มเขาได้
ลั่วอู๋ทำได้เพียงแค่ชดใช้อาการบาดเจ็บด้วยการทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ในขณะนี้ร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผล นอกจากนี้เนื่องจากเขากลืนร่างกายของผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงไปครึ่งหนึ่งพลังวิญญาณส่วนเกินที่ได้รับจากการกลืนกินสวรรค์จึงทำให้เขาแทบระเบิด
ตัวเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณเหล่านี้ได้
เพราะมันห่างชั้นกันเกินไป
ช่องว่างระหว่างมิติวิญญาณของอีกฝ่ายกับเขามันมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะแปลงเป็นพลังวิญญาณที่ตัวเขาสามารถนำมาใช้งานได้
ลั่วอู๋จึงต้องดิ้นรนเพื่อกำจัดพลังวิญญาณที่มากเกินไปเหล่านี้
“แสงศักดิ์สิทธิ์”
ลั่วอู๋ยกมือขึ้นและใช้ทักษะรักษาอย่างแสงศักดิ์สิทธิ์
การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเกิดขึ้น เยียวยาอาการบาดเจ็บของ ลั่วอู๋ ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การสูญเสียของพลังวิญญาณนั้นคงต้องใช้เวลานานพอควร แม้ว่าจะกลืนยาวิญญาณเข้าไปก็ตาม
น้ำในสระสีทองถูกใช้ไปแล้วสองครั้ง ครั้งแรก 27 หยด ครั้งนี้ 10 หยด ตอนนี้มันจึงมีเหลือเพียง 93 หยด
ลั่วอู๋ประมาณไว้ว่าจำนวนเท่านี้ น่าจะสามารถจัดการกับ 13 นายพลเทพเจ้าได้อีก 5 คน
หลังจากฟื้นคืนพลังวิญญาณแล้ว ลั่วอู๋ก็รีบเดินทางไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีแนวป้องกันอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ มันถูกตั้งขึ้นโดยห้ามคนเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียง แต่คนเดินเท้าและพ่อค้าเท่านั้น ทว่าแม้แต่สมาชิกในตระกูลใหญ่บางคนเองก็ยังถูกปิดกั้น
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่สำคัญกำลังจะเกิดขึ้น
หลายคนเริ่มตื่นตระหนก
แม้แต่ลั่วอู๋ก็ยังต้องหยุด
ลั่วอู๋เหลือบมองและพบว่าเจ้าหน้าที่รักษาเมืองต่างสวมชุดเกราะมาตรฐานของกองทัพ ด้วยสีหน้าอันจริงจัง
“หยุดห้ามเข้า” กองทัพหมาป่าเข้ามาหยุดลั่วอู๋
ลั่วอู๋แสร้งทำเป็นงง “มีอะไรงั้นเหรอ?”
“เมื่อองค์จักรพรรดิถูกลอบโจมตี ทั่วบริเวณเมืองหลวงของจักรวรรดิจะต้องถูกปิดกั้น จนกว่ามือสังหารจะถูกจับได้ จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าและออกเมืองหลวง” ทหารกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
หัวใจของลั่วอู๋จมลง
มันยังไม่ชัดเจนว่าองค์จักรพรรดิถูกลอบสังหาร แต่เห็นได้ชัดว่าคฤหาสน์องค์ชายได้เริ่มดำเนินการแผนของพวกเขาแล้ว
เห็นได้ชัดว่า มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะรีบเข้าไป
แม้ว่าลั่วอู๋จะโกรธ แต่เขาก็ต้องยับยั้งตัวเองและไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ลั่วอู๋หันออกแล้วเดินจากไป
ครู่ต่อมาชายในชุดดำก็เดินเข้ามาหาทหารคนนั้นอย่างช้าๆ
“หยุด”
ชายในชุดดำถูกหยุดลง
“ต่อให้เป็นข้า เจ้าก็กล้าหยุดงั้นเหรอ?” ชายชุดดำเปิดผ้าคลุม แสดงใบหน้าที่แท้จริงของเขา
หลังจากนั้นนายพลอาวุโสของกองทัพหมาป่าก็รีบวิ่งเข้าไปเตือนทหารที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เขาคือท่านเย่เฟิง ปล่อยให้เขาเข้าไปเร็ว”
ชายชุดดำพยักหน้า เขาเดินผ่านการปิดกั้นเข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิไปอย่างง่ายดาย
แท้จริงแล้วเย่เฟิง นั้นกำลังถูก ลั่วอู๋ คุมขังไว้ในไหปีศาจ
ส่วนชายในชุดดำคนนี้ก็คือ ลั่วอู๋ ที่ปลอมตัวมาเป็นเขา
ทะเลแก่นวิญญาณของเย่เฟิงเสียหายมากจน ไม่สามารถหาข้อมูลอะไรได้จากทักษะค้นหาวิญญาณ อย่างไรก็ตามสัตว์วิญญาณอย่างค้างคาวโลหิตทิ่มแทงที่เขาเคยพบในนรกมนตรานั้น มีความสามารถพิเศษในการรับส่วนหนึ่งของความทรงจำจากอีกฝ่ายมา ผ่านเลือดของอีกฝ่าย
แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความทรงจำ แต่มันก็ทำให้ ลั่วอู๋ ได้รู้ถึงสิ่งต่างๆมากมาย
“ ไม่ต้องห่วง ๆ ” ลั่วอู๋อธิษฐานในใจ พลางวิ่งไปที่สำนักโล่พิทักษ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อเขามาถึงสำนักโล่พิทักษ์ ลั่วอู๋ก็รู้สึกหนาวสั่นในใจ
เพราะในขณะนี้สำนักโล่พิทักษ์ได้กลายเป็นซากปรักหักพังและผู้คนทั้งหมดก็หายไปจากที่นั่น
อาฟู, เสี่ยวชา, หลิวฮัว, หลี่หยิน
พวกเขาหายไปกันหมดแล้ว
บางสิ่งดูเหมือนจะระเบิดขึ้นในจิตใจของลั่วอู๋
“หลี่ซวนซง!”
ลั่วอู๋กัดฟัน เล็บของเขาจิกลงไปในเนื้อจนเลือดไหลออกมาจากตัวเขา
เจ้ายังต้องการที่จะเป็นจักรพรรดิสินะ?
ข้าจะทำลายแผนการและความฝันทั้งหมดของเจ้า
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาคนใดคนหนึ่งละก็ ข้าจะให้เจ้าได้เจอประสบการณ์ที่แย่เสียยิ่งกว่าความตาย
ด้วยทรงจำของเย่เฟิง ลั่วอู๋ จึงรีบมุ่งไปยังทิศทางที่คฤหาสน์ขององค์ชาย
……
……
ตอนนี้เมืองหลวงของจักรวรรดินั้นถูกปิดตาย แต่ส่วนพระราชวังก็ยังคงอยู่ในความสงบสามัคคี
การเปลี่ยนแปลงของทหารผู้พิทักษ์เมืองนั้นได้ทำการไปอย่างแอบแฝงมาก จนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเลย หรือไม่ก็…ไม่มีใครให้ความสนใจกับมัน
วันนี้เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดได้มาถึงพระราชวัง องค์ชายเจ็ดองค์และราชวงศ์ต่างๆเองก็เช่นกัน
ผู้มีอำนาจทุกคนต่างมาที่นี่กันเกือบหมด
แม้แต่ประธานร้านค้าชั้นนำหลายแห่งเองก็ได้ถูกรับเชิญ
ศาลาไป่หยู่ , กลุ่มหุ้นส่วนหลี่เฉิง, กลุ่มธุรกิจเฉิงหยาน ฯลฯ ล้วนเป็นร้านค้าชั้นนำ อย่างไรก็ตามกลับไม่เห็น คฤหาสน์ชวนเทียน ไม่รู้ว่าพวกเขาจงใจลืม หรือปฏิเสธคำเชิญกันแน่
เหนือลานจัตุรัสซวนวู
ทหารองครักษ์สิบสองคนของพระราชวังได้ทำการเฝ้าบริเวณโดยรอบ ใบหน้าของพวกเขาเย็นชาเคร่งขรึมและดุร้ายมาก
ในการปกป้องพระราชวังกองทัพต้องห้ามเป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุด ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไม่น้อยไปกว่าหน่วยสยบมังกร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังภักดีต่อองค์จักรพรรดิอย่างยิ่งและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนความภักดีของพวกเขาได้
กำแพงเหล็กเนื้อดีตั้งสูงตระหง่านอย่างงดงาม มันสลักด้วยเส้นมนตราพิเศษ ที่แม้แต่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้ได้
นี่คือการป้องกันด่านสุดท้ายอันแข็งแกร่งที่สุดของพระราชวัง
ตั้งแต่สมัยโบราณแล้วไม่เคยมีใครสามารถทะลุทะลวงผ่านมันไปได้
ถึงอย่างนั้นบางคนก็ยังกระซิบ บางคนก็หลับตา บางคนก็กระสับกระส่าย
พวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพราะเสียงเรียกขององค์จักรพรรดิ
องค์จักรพรรดินั้นเก็บตัวมาเกือบสามเดือนแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการเรียกเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเข้ามาด้วย
พวกเขาต่างเริ่มกังวลเล็กน้อย เพราะพวกเขารอกันมานาน แต่ก็ยังไม่ได้เห็นองค์จักรพรรดิ
“ท่านเป็นอะไรรึเปล่านะ นี่ก็นานแล้วองค์จักรพรรดิยังไม่ออกมาเลย” ชายชราผมขาวหนวดเครายาว ถามทหารองครักษ์รอบ ๆ ตัวเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
ชายชราคนนี้คือ เฒ่าชู ปรมาจารย์จากสำนักฮังหลิน เขาได้เรียนรู้วิชามามากมาย จนมีความสามารถมาก เขาเก่งในการวาดภาพและมีตำแหน่งเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา
เขาเคยขัดแย้งกับองค์จักรพรรดิอยู่หลายครั้ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รับการลงโทษใด ๆ เขามีบารมีสูงมาก ในหมู่ประชาชน ลูกศิษย์ และแม้แต่ในเหล่าขุนนาง
เมื่อองครักษ์รอบ ๆ ได้ยินคำถามพวกเขาก็ไม่พูดอะไรนอกจากยืนเฝ้าอยู่เงียบ ๆ
“ แปลกจริง ข้าต้องเข้าไปถามให้ได้ความเสียแล้ว” เฒ่าชู คิดและพูดออกมา “องค์ชายเล็ก โอ้ไม่สิ ไม่ควรเรียกแบบนั้นแล้ว องค์ชายหลี่ซวนซง”
หลี่ซวนซง กล่าวอย่างแผ่วเบา “ไม่ ๆ เฒ่าชู”
“หืม ทำไม”
“เพราะไม่ใช่องค์จักรพรรดิหรอกที่เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ แต่เป็นข้า” หลี่ซวนซง กล่าว
เฒ่าชูตกใจมาก
ทหารองครักษ์ พลเรือนและทหารทุกคนต่างแสดงสีหน้าที่ตกตะลึง
แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่สงบปนอยู่ด้วย
เฒ่าชู ขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ”
“ข้าก็ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ” หลี่ซวนซง ยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากำลังส่งต่อคำสั่งมาจากองค์จักรพรรดิงั้นสิ” เฒ่าชู ลูบเคราพลางจ้องมองไปที่เขา “นี่เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว”
แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่
หลี่ซวนซง มองไปทางพระราชวังของจักรวรรดิ ดวงตาของเขาสงบ น้ำเสียงของเขาดูไม่แยแสแต่เปี่ยมไปด้วยการประชดประชัน
“ใช่ แล้วมันยังไงล่ะ ?”
ทุกคนต่างสิ้นใจไปชั่วขณะหนึ่ง