ไหปีศาจ - บทที่ 544 การกระทำของหลินเจิ้ง
บทที่ 544 การกระทำของหลินเจิ้ง
บทที่ 544
การกระทำของหลินเจิ้ง
หลินเจิ้ง
นี่คือชื่อของบุคคลระดับตำนาน
ว่ากันว่าเขามาจากหมู่บ้านบนภูเขาที่อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ของจักรวรรดิ คนที่นั่นอยู่กันแบบพอเพียงเหมือนอยู่ในดินแดนดอกท้อ และแทบจะไม่มีการติดต่อใด ๆ กับโลกภายนอกเลย
พวกเขาไม่เคยได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกภายนอก ระดับที่ยังคงคิดว่าโลกภายนอกนั้นยังคงถูกปกครองด้วยราชวงศ์ซุยหยุน
หลินเจิ้งถูกเรียกว่า เจ้าโง่ ในสมัยที่เขายังเด็ก เพราะเขาชอบทำตัวมึนงงอยู่เสมอ ไม่เคยไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ ไม่ชอบสื่อสารกับใคร นอนหมอบใต้ต้นไม้เฝ้าดูมดเคลื่อนไหวทั้งวัน
มีคนถามเขาว่ามดมีอะไรดีนักหนาถึงได้เฝ้าดูมัน?
ทว่าหลินเจิ้งกลับงงงวยแล้วถามกลับไปว่า มดอะไร?
สายตาของเขาไม่ได้มองไปที่มด เขามองเห็นเพียงร่องรอยพลังวิญญาณที่แสดงออกมา
เขานั้นรู้สึกตัวถึงมันและกำลังฝึกฝน
แต่เพราะว่าเขาไม่ได้มีทักษะในการฝึกฝนพลังวิญญาณ กว่าเขาจะรู้ตัวเขาก็ได้มาถึงมิติวิญญาณระดับทองแล้วเมื่อเขาได้เดินทางออกมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ นั้น เขาพบก็ว่ามันสายไปแล้วสำหรับเขาที่เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณ เพราะเขาได้สูญเสียโอกาสที่จะมีสัตว์วิญญาณคู่พันธะสองตัวไปตลอดกาล
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพลาดขั้นตอนที่ดีที่สุดในการเสริมสร้างร่างกาย และการสร้างรากฐานลมปราณไปแล้วด้วยเช่นกัน เขาจึงแทบจะไม่สามารถบรรลุอะไรในศิลปะการต่อสู้ได้เลย
ทว่าหลินเจิ้งกลับได้ค้นพบวิธีใหม่จากเส้นทางการฝึกฝนวิชาแปลก ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาไม่ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณ ไม่ได้ฝึกฝนร่างกาย เพียงแต่มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาดาบเท่านั้น เพื่อที่ตัวเขาจะได้ไปถึงมิติวิญญาณระดับจักรพรรดิ
บางคนถึงกับกล่าวว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดและต่อกรได้ยากที่สุดโลก
แม้ว่าร่างกายของเขาจะดูอ่อนแอ และแย่กว่า ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทอง เพราะเขาเป็นเพียงแค่เชี่ยวชาญในวิชาดาบ เขาขาดพลังวิญญาณในการปรับแต่งร่างกายของเขา ถึงขนาดที่ว่ายาพิษระดับหกก็สามารถฆ่าเขาให้ตายได้
แต่ทว่าในเวลาเดียวกัน เขานั้นมีความเข้าใจในแก่นแท้ของดาบอันแข็งแกร่ง ซึ่งแทรกซึมเข้าไปในจุดลมปราณทั้งสามในร่างของเขา
การเคลื่อนไหวของลมและหญ้าไม่สามารถเล็ดลอดความสนใจของเขาไปได้ แม้ว่าเขาจะนอนหลับ แต่จิตวิญญาณแห่งดาบก็ยังคงอยู่ สิ่งใดก็ตามที่สามารถคุกคามเขาจะถูกฟันด้วยดาบพลังวิญญาณในทันที
ทุกตารางนิ้วทั่วร่างกายของเขาสามารถสร้างดาบพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งได้
ด้วยดาบพลังวิญญาณขนาดสามฟุตที่สามารถแผ่ออกไปรอบ ๆ ตัวของเขา ทำให้เขาสามารถฆ่าผู้ใช้พลังวิญญาณมิติวิญญาณระดับเพชร ได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ดาบสีเขียวในมือของเขายังเป็นดาบมนตรา อันดับสามในบรรดาดาบที่มีชื่อเสียงทั้งสิบในตำนาน เป็นผลที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในชายผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในโลก
อัจฉริยะผู้อยู่นอกเส้นทางทั้งมวล
เขาเป็นทหารที่ต่อสู้ตัวคนเดียวมาโดยตลอด มีเพียงบางครั้งที่เขาจะเข้าร่วมกลุ่มของเหล่าผู้แข็งแกร่งสูงสุด ตามคำเชิญของ เฉินซังเทียน เพื่อนที่ดีเพียงคนเดียวของเขา ดังนั้นชื่อเสียงของเขาจึงเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่รู้จักของบุคคลภายนอก
ไม่มีใครคิดว่าเขาจะมาปรากฏตัวในเวลานี้และเลือกที่จะช่วย หลี่ซวนซง
“ ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างเจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ในเรื่องแบบนี้” องค์จักรพรรดิกล่าวอย่างช้าๆ
หลินเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าเป็นหนี้บุญคุณองค์ชายเล็กอยู่สามครั้ง นี่เป็นครั้งที่สาม”
“ความโปรดปรานในตัวเขาเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้เจ้ามีส่วนร่วมในการกบฏได้เลยงั้นเหรอ ?” องค์จักรพรรดิมีสายตาอันเย็นชา
“ใช่ … ” หลินเจิ้งคิดเรื่องนี้แล้วพยักหน้า ดูเหมือนว่าเขาไม่มีปัญหาใด ๆ เลยกับการก่อกบฏ
ทุกคนต่างพูดไม่ออก
แต่นี่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
หลินเจิ้ง นักดาบอันดับหนึ่งของโลกให้ความสำคัญกับความมุ่งมั่น นี่เป็นอะไรที่ทุกคนต่างรู้กันดี
“ข้าจะไปเมื่อข้าทำธุระเสร็จ ข้าจะไม่อยู่ที่นี่นานนักหรอก” หลินเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสริมว่าเขาเองก็กังวลว่าตนเองจะก่อปัญหามากเกินไป
ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างแผดเสียงในใจ
ประเด็นคือคนระดับเจ้ามาอยู่ที่นี่ทำไมต่างหาก!
องค์จักรพรรดิถามอย่างใจเย็น “อะไรกันที่ทำให้นักดาบอันดับหนึ่งของโลกเป็นหนี้บุญคุณเขาได้ถึงสามครั้ง ข้าจะให้สิ่งที่คฤหาสน์ขององค์ชายให้กับเจ้าเป็นการหักล้าง”
เห็นได้ชัดว่าหลินเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจในการเจรจาดังกล่าว
หลี่ซวนซง หัวเราะเยาะ “อย่าฝันไปเลย เจ้าสามารถนำดาบที่ดีกว่าดาบมนตราหลิงเทียนในมือเขามาได้รึไง?”
ทุกคนต่างประหลาดใจ
ปรากฏว่าดาบมนตราหลิงเทียนถูกมอบให้กับ หลินเจิ้ง โดยองค์ชายเล็ก
ไม่น่าแปลกใจเลย ไม่น่าแปลกใจที่หลินเจิ้งยอมติดหนี้บุญคุณเขาถึงสามครั้ง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลี่ซวนซง แทบจะทำอะไรไม่ถูก
หลินเจิ้งไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา และเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ เขาทำได้เพียงแค่ขอความช่วยเหลือจากหลินเจิ้ง
แน่นอนว่ามันมีข้อ จำกัด เกี่ยวกับความช่วยเหลือนี้
องค์ชายนั้นสามารถขอให้เขาจับและฆ่าสัตว์วิญญาณแปลก ๆ หรือขอให้เขาพาเข้าไปในสถานที่อันตรายเพื่อเอาสมบัติได้ แต่องค์ชายจะไม่สามารถขอให้หลินเจิ้งปกป้องเขาตลอดไป หรือขอให้ทำอะไรที่กินเวลานานเกินไปได้
หลี่ซวนซง สามารถขอให้ หลินเจิ้ง ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เขาไม่สามารถขอให้หลินเจิ้งช่วยให้เขาเป็นจักรพรรดิ
เนื่องจากการกบฏนั้นเป็นกระบวนการที่ยาวนาน
มิตรภาพของนักดาบอันดับหนึ่งของโลกนั้นมีค่ามาก หากเลือกได้ หลี่ซวนซง ก็ไม่อยากจะใช้มันพร่ำเพรื่อ
ทว่าเนื่องจากมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรสองคนปรากฏตัวขึ้น และในฝั่งของพวกเขาเองก็เสียผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงไป ฝั่งของเขาที่สูญเสียประสิทธิภาพในการต่อสู้ไปจึงต้องยอมเรียกใช้หลินเจิ้ง
“แบบนั้นเองสินะ” องค์จักรพรรดินั่งลงช้าๆราวกับว่าเขาเห็นด้วยกับผลลัพธ์
ตอนนี้สถานการณ์ได้ถูกพลิกกลับอีกครั้ง
การมีอยู่ของหลินเจิ้งเพียงพอแล้วที่จะปราบปรามทุกคนในที่นี้
“ ข้าขยับล่ะ ข้าจะจ่ายหนี้คืนให้เจ้าแน่” หลินเจิ้ง กล่าว
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกไปเงาของดาบขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พลังวิญญาณแห่งดาบอันน่ากลัวออกมาครอบคลุมทั้งลานจัตุรัสซวนหวู แม้แต่ทหารยามที่เฝ้าประตูกำแพงที่เกือบจะได้โอกาสพลิกสถานการณ์มาชนะกองทัพหมาป่าด้านนอกเองก็ยังต้องหมดกำลังใจ
ไม่มีทางที่พวกเขาจะเทียบได้เลย
ตัวตนของหลินเจิ้งนั้นได้ปราบปรามทุกสิ่งทุกอย่าง
ฉูจานเทียน และ หลินกุยต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
พวกเขาไม่สามารถต้านชายคนนี้ได้ ความแตกต่างเพียงมิติวิญญาณเล็ก ๆ ในระดับเพชร นั้นต่างกันราวสวรรค์กับนรก
ฉูจานเทียน นั้นเพิ่งเข้าสู่มิติวิญญาณระดับเพชรได้ไม่นาน และ หลินกุยเองก็เพิ่งก้าวข้ามไปได้เพียงมิติวิญญาณ สองขั้นเล็ก ๆ วิชามีดวิญญาณแปดเล่มคือขีดจำกัดของเขา
เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าหลินเจิ้ง ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรชั้นยอด ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของพลังการต่อสู้แล้ว
ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันพวกเขาก็คงพ่ายแพ้
“ทำไมต้องพวกเราจะต้องสังเวยคนมากมายไปกับเรื่องนี้ด้วย” หลี่ซวนซง จ้องมองที่องค์จักรพรรดิและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขาได้ลงมือก่อกบฏไปแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เขาจะล้มเหลว
องค์จักรพรรดิส่ายหัว แม้ว่าลมปราณของเขาจะไม่ได้รุนแรงอีกต่อไป แต่คำพูดของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม “ข้ายังมีชีวิตอยู่ที่นี่ ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถพอก็มารับมันไป”
องค์จักรพรรดินั้นยังไม่ยอมสละบัลลังก์
“จะมัวดิ้นอะไรนักหนา” หลี่ซวนซง ตะโกน “เจ้ากำลังจะตาย มีเพียงข้าเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุด เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็คิดอย่างนั้น เจ้าจึงยกให้ข้าจัดการทุกอย่าง ข้ามีทุกอย่างพร้อมอย่างที่เจ้าต้องการ แต่แล้วทำไมเจ้ายังลังเลอยู่”
องค์จักรพรรดิเงียบ
ดูเหมือนว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด
หลายคนสงสัยต่างว่าเหตุใดองค์ชายจึงมั่นใจนักว่าองค์จักรพรรดิกำลังจะสิ้นพระชนม์
นั้นก็เพราะมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงเรื่องคำสาป
มีผู้คนต้องเสียชีวิตเพื่อปกปิดเรื่องนี้มากมาย
“โอหัง!” ในที่สุดเฒ่าชู ก็อดไม่ได้จนต้องลุกขึ้นยืน เขายังมีสภาพจิตใจที่สูงส่ง ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อด้วยความโกรธ “องค์จักรพรรดิยังมีสุขภาพดี เขาจะตายได้อย่างไร เจ้ากำลังพูดถึงอะไรไร้สาระ …. ”
เขาไม่สามารถอดใจไว้ได้
แม้ว่าเขาจะต้องถูกฆ่าโดยหลินเจิ้งก็ตาม
แต่ตัวเขานั้นเป็นขุนนางเก่า เขารู้ดีว่าองค์จักรพรรดิของเขาน่าประทับใจและแข็งแกร่งงดงามเพียงใด เพียงแค่ตอนได้ขึ้นครองราชย์ไม่นานเขาก็มีความสามารถที่จะปราบปรามทั้งอาณาจักร
เมื่อได้ยินเช่นนี้ใบหน้าขององค์ชายก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมา
ใบหน้าของ หลี่ซวนซง มีร่องรอยของการเยาะเย้ย “เฒ่าชู เจ้าเหมาะกับการเขียนและวาดภาพเท่านั้น การวาดภาพทิวทัศน์ นกและสัตว์เป็นสิ่งที่เจ้าทำได้ดีมาก ในเมื่อเจ้าไม่รู้ ข้าก็จะบอกให้เอง พวกเจ้าทุกคนเองก็ด้วย รู้ไว้ซะ ”
ดวงตาของ หลี่ซวนซง กวาดไปทั่วลานจัตุรัส มองใบหน้าอันสับสนของผู้คนนับไม่ถ้วน
หลายคนเองก็คงเดาไว้อยู่แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสุขภาพขององค์จักรพรรดิ ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงต้องมาเข้าเฝ้ากันที่พระราชวังหลวงมากมายขนาดนี้
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่พวกเขากล้าผูกมิตรกับคฤหาสน์องค์ชาย และทำให้พวกเขาส่วนใหญ่กล้าเข้าร่วมกับคฤหาสน์องค์ชาย
ทว่าไม่มีใครกล้าพูด คุยหรือถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
พวกเขาจึงไม่รู้ว่ามีเกิดอะไรขึ้นกับองค์จักรพรรดิ
แต่ตอนนี้พวกเขาจะรู้กันแล้ว เพราะหลี่ซวนซงได้ตะโกนออกมา “องค์จักรพรรดิถูกสาปโดยสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิ และตอนนี้คำสาปนั้นได้แตกออกมาแล้ว หากไม่มีหนทางในการแก้คำสาป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นเขาได้สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ไป และจะไม่มีวันให้กำเนิดองค์ชายคนใหม่ออกมาได้”
ทุกคนต่างตกตะลึง
แน่นอนปฏิกิริยาแรกคือไม่เชื่อ
แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วพวกเขาก็เหงื่อแตก ดูเหมือนว่านี่เป็นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว
มิฉะนั้นมันคงจะเป็นเรื่องยากในการหาเหตุผลมาอธิบายว่าทำไม แม้พลังของเขาจะแข็งแกร่งและชีวิตของเขาก็ยืนยาว กลับปล่อยให้คฤหาสน์ขององค์ชายเติบโตขึ้น ไม่มีองค์ชายอื่น
นอกจากนี้ตั้งแต่องค์หญิงเจียโรวที่ถือกำเนิด ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทายาทคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอีกเลย
องค์จักรพรรดิไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแต่สงบนิ่ง
หลายคนที่กำลังต่อสู้กับกองทัพของ หลี่ซวนซง ในใจของพวกเขาต่างหมดหวังลงไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฒ่าชู ที่หมดความคิดใด ๆ ไปเลย สายตาของเขาว่างเปล่าและยืนอยู่ที่เดิมดูเหมือนบ้านที่ผุพังไปนานหลายสิบปี หรือตะเกียงที่น้ำมันหมด เขาดูเหี่ยวเฉาเหมือนกำลังจะตายด้วยความเหนื่อยล้าทางจิตใจได้ทุกเมื่อ
หลี่ซวนซง พอใจกับปฏิกิริยานี้มาก
เขามองไปที่เฒ่าชู อย่างเข้มแข็งและเหนือกว่าพลางพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าบอกว่าใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจะต้องถูกฆ่า ในเมื่อเจ้ากล้ายืนขึ้นต่อต้านแล้ว ก็อย่าได้หันหลัง”
หลี่ซวนซงเหลือบมองไปที่หลินเจิ้ง
หลินเจิ้งตะลึง “เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?”
“ข้าขอให้เจ้าช่วยข้าควบคุมสถานการณ์ และตอนนี้ก็มีคนทำให้มันวุ่นวายแล้ว” หลี่ซวนซง กล่าว
เขาจะทำมันด้วยตัวเองก็ได้
อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นต้องแสดงจุดยืนของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้ทุกคนในที่นี้หวาดกลัวอย่างแท้จริง
“โอ้” หลินเจิ้งดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จากนั้นก็สร้างดาบวิญญาณขึ้นมาที่ปลายนิ้ว
ถึงเวลาที่จะต้องลงมือฆ่าแล้ว
พลังของเขานั้นเกินพอที่จะกวาดล้างผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงในการฟาดฟันครั้งเดียวนับประสาอะไรกับชายชราธรรมดา ๆ
ลั่วอู๋ไม่สามารถทนมองสถานการณ์นี้ต่อไปได้
เขามายืนขวางอยู่ตรงหน้าของเฒ่าชู “พอได้ได้แล้ว!”