ไหปีศาจ - บทที่ 546 ข้าขอมอบทักษะดาบแห่งจักรพรรดิดาบให้แก่เจ้า
บทที่ 546 ข้าขอมอบทักษะดาบแห่งจักรพรรดิดาบให้แก่เจ้า
บทที่ 546
ข้าขอมอบทักษะดาบแห่งจักรพรรดิดาบ
ให้แก่เจ้า
ดาบไร้ลักษณ์ที่จักรพรรดิดาบหยางไคเทียนทิ้งเอาไว้ นั้นเป็นไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของลั่วอู๋ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับสิ่งนี้
แม้ว่าเขาจะพยายาม “ติดสินบน” หลินเจิ้ง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมาในทันที เพราะเขากังวลว่าไพ่ตายนี้ถูกเปิดเผย ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวและเตรียมการป้องกันได้ทัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับไพ่ตาย ก็คือความแข็งแกร่งและการที่มันถูกปกปิดเป็นความลับ
ไม่ว่าไพ่ตายนั้นจะทรงพลังแค่ไหน แต่ถ้าอีกฝ่ายเตรียมตัวรับมือไว้แล้วมันก็ยากที่จะใช้ได้ผลดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องรักษาความลับเกี่ยวกับไพ่ตายนั้น ๆ เอาไว้
พลังวิญญาณของจักรพรรดิดาบที่เก่าแก่กว่า 50000 ปีได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ทำให้เหล่าวีรชนต่างตื่นตระหนก และท้องฟ้ามืดมัวลง
พลังวิญญาณของดาบไร้ลักษณ์นั้นทรงพลังมาก ทรงพลังถึงขั้นที่พลังวิญญาณของมันกระจัดกระจายออกไปถึง 80000 ลี้ ปล่อยแรงกดดันอันน่ากลัวออกไปทุกหนทุกแห่ง จากนั้นดาบวิญญาณสีน้ำเงินก็สลายลงบนท้องฟ้า
เงาของดาบสีน้ำเงินนั้นคือร่างที่เกิดจากพลังของ ดาบหลิงเทียนของหลินเจิ้ง
นี่หมายความว่ามีพลังวิญญาณดาบที่สามารถปราบปรามหลิงเจี้งได้ปรากฏขึ้นแล้วงั้นเหรอ?
มันเป็นฉากที่น่าตกตะลึงมาก!
ทั่วอาณาจักรต่าง ๆ เหล่ามีผู้มีอำนาจต่างหันมองมาที่ทิศทางที่ตั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิ หัวใจของพวกเขาต่างสั่นไหว นี่มันพลังแบบไหนกัน? เป็นไปได้ไหมที่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับจักรพรรดินั้นได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกคนแล้ว?
แม้แต่หัวหน้าเผ่าเทียนหวู่ ใน ภูเขาแห้งแล้งที่มีอายุมากแล้วก็ยังตื่นตกใจ
ท่านหม่าเฉินผู้ซึ่งกำลังปิดตาของเขาอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ระเบิดแสงสีทองอันน่ากลัวออกมาจากในดวงตาของเขาราวกับมังกรผู้เดือดพล่านด้วยพลังวิญญาณอันรุนแรง ซึ่งน่ากลัวพอ ๆ กับการระเบิดของภูเขาไฟ แต่ในไม่ช้าเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างและค่อยๆหลับตาลง
“แค่วัตถุวิญญาณที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้งั้นเหรอ ช่างน่าเสียดาย … ”
ลมปราณของเขามาบรรจบกันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่จัตุรัสซวนวูผู้คนนับไม่ถ้วนต่างต้องสั่นสะท้าน เพราะพลังที่ไม่รู้จักนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้มุ่งเป้าไปที่พวกเขาก็ตาม
คนส่วนใหญ่ต่างมองเห็นแสงสว่างเพียงแสงเดียว
และที่จุดจบของแสงนั้นก็คือหลินเจิ้ง
ดาบไร้ลักษณ์ในมือของลั่วอู๋นั้นถูกสร้างขึ้นโดยตัวของจักรพรรดิดาบหยางไคเทียน ตราบใดที่พลังวิญญาณปล่อยลงไปในดาบ มันก็จะไปกระตุ้นพลังวิญญาณของจักรพรรดิดาบให้ เบ่งบานออกมา
แต่มันใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
พอใช้พลังวิญญาณที่เก็บเอาไว้ของจักรพรรดิดาบจนหมด มันก็จะไม่สามารถใช้ได้อีก เว้นแต่ว่าจะมีใครใส่เข้าพลังวิญญาณเข้าไปใหม่เพื่อปรับแต่งมันอีกครั้ง
ทว่าจักรพรรดิดาบหยางไคเทียนได้ตายไปนานแล้ว จึงไม่น่าจะไม่มีใครสามารถปรับแต่งดาบไร้ลักษณ์เล่มนี้ให้กับเขาได้อีก
รูม่านตาของหลินเจิ้งหดตัวลงเล็กน้อย
เขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณอันคุ้นเคย
เขาฝึกดาบมาเป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว ซึ่งระหว่างนั้นโดยบังเอิญ เขาเคยได้รับอัฐิของจักรพรรดิดาบ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงลมปราณของจักรพรรดิดาบ
นั่นทำให้เขาได้รู้ว่า เมื่อหลายหมื่นปีก่อนมีชายผู้นี้ที่ทรงพลังมาก และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิชาดาบ เขาคนนั้นมองเห็นสัจธรรมของโลกและยากที่จะหาผู้ใดมาเป็นคู่ต่อสู้ได้ ดาบวิญญาณของเขามีพลังพอที่จะทำให้คนทั้งโลกต้องตกใจและลุกโชนด้วยความกลัวไปทั้งยุค
ดาบต้านสวรรค์ซึ่งเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง ดาบอันดับหนึ่งในบรรดาดาบชั้นดีทั้งสิบ แท้จริงแล้วก็เคยเป็นดาบของจักรพรรดิดาบหยางไคเทียนเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงตามหาสิ่งที่จักรพรรดิดาบหยางไคเทียนได้ทิ้งเอาไว้ และพยายามฝึกฝนทักษะดาบของตัวเขาเอง ผ่านแก่นแท้แห่งดาบตามจักรพรรดิดาบไป
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับดาบวิญญาณอันน่าทึ่งของจักรพรรดิดาบตรง ๆ
ใช่แล้ว เขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณของดาบไร้ลักษณ์
ไม่มีใครนอกจากจักรพรรดิดาบหยางไคเทียน ที่จะครอบครองพลังวิญญาณดาบอันน่ากลัวเช่นนี้ได้
ร่างกายของเขาเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว
มันไม่ได้มีเพียงแค่ความกลัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความตื่นเต้นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ด้วย ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างสดใสราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ความหมองคล้ำเดิมได้หายไปจนหมด เขาเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างเคร่งขรึม
เขาไม่สามารถหลบจากพลังวิญญาณของดาบเล่มนี้ไปได้
เพราะนี่คือดาบของจักรพรรดิดาบ
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการที่จะป้องกันมันด้วย
เขามีทางเลือกมากมายในชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าการเลือกทางเลือกที่ตนเองจะไม่มาเสียใจภายหลังนั้นย่อมเป็นหนทางที่ยากที่สุด และทำให้เขามีความสุขที่สุด
ดาบสีเขียวในมือของหลินเจิ้ง แสดงพลังวิญญาณให้เห็นถึงความคมของมันออกมา มันปล่อยเสียงของวิญญาณดาบอันดุร้ายแผดไปทั่ว จากนั้นหลินเจิ้งก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับดาบในมือโดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่หรูหราใด ๆ มีเพียงการแทงอันเรียบง่ายและธรรมดา
เป็นเรื่องธรรมดาของดาบที่จะต้องทิ่มแทงฟาดฟันไปข้างหน้า
เมื่อเข้าใจถึงมันแล้ว ก็จะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของดาบได้ตลอดชีวิต
ดาบหนึ่งเล่มพุ่งออกไป จากนั้นดาบวิญญาณอีกหนึ่งหมื่นเล่มก็พุ่งออกมาพร้อม ๆ กัน
การเคลื่อนไหวนี้มีชื่อว่า “หยินเหนียน” มันคือการฟาดฟันที่สร้างมีภาพลักษณ์ของดาบหมื่นเล่มออกมา มันเป็นวิชาดาบที่เขาสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์หลายปี และเป็นเพียงท่าโจมตีเดียวที่เขารู้สึกพึงพอใจกับมันอย่างแท้จริง
หลินเจิ้งขอเสนอวิชาดาบนี้ ให้กับวิชาของจักรพรรดิดาบ
กรุณาให้คำแนะนำของท่านด้วย!
ดาบพลังวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ปลุกปั่นสายลมและหมู่เมฆคำรามไปทั่วสวรรค์
ดาบอันทรงพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ ถูกฟาดฟันเข้าด้วยกันราวกับพายุที่ต่อต้านกัน ความโกลาหลกวาดออกไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ไม่มีใครเห็นว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น
แม้แต่ ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรอย่าง หลินกุย และ ฉูจานเทียนเองก็เห็นได้เพียงแค่เงาของดาบสองเล่ม ที่เหมือนจะทำลายกฎเกณฑ์ทั้งมวลของโลกและเข้าปะทะกัน
นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาเห็น
พลังวิญญาณดาบที่ปะทะกันทำให้เกิดความผิดปกติของแก่นแท้ทักษะวิญญาณ ซึ่งปิดกั้นการรับรู้ของพวกเขา
ฉูจานเทียนมองไปทางหลินกุยในสภาพที่สั่นกลัว “หลินกุย เจ้าเห็นมันไหม?”
“ก็นิดหน่อย” หลินกุย ปลอบประโลมพร้อมกำมีดสีดำในมือของเขาแน่น เนื่องจากพลังวิญญาณของดาบไร้ลักษณ์ที่เบ่งบานออกมาเพลงเป็นเวลานาน ทำให้จิตวิญญาณแห่งมีดในมือของเขาต้องการที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย “มิติวิญญาณของ หลินเจิ้งนั้นสูงกว่าเรามากแน่นอน ส่วนดาบวิญญาณของจักรพรรดิดาบเองก็น่ากลัวจริงๆ ต่อให้พวกเราร่วมมือกันก็คงไม่สามารถรับดาบวิญญาณนั้นได้”
“ งั้น … เจ้าคิดว่าเขาทำได้ไหม?” ฉูจานเทียน ถามด้วยเสียงต่ำ
หลินกุย ส่ายหัว “สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะไปเดาได้ที่ไหนเล่า”
พายุดาบโหมกระหน่ำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็เริ่มสลายไป ณ ใจกลางของพายุมีชายคนหนึ่งที่ถือดาบสีเขียวในมือยืนอยู่
เขายืนนิ่งในชุดเสื้อสีฟ้า ใบหน้าของเขาซีดเซียงลงเล็กน้อย แต่แววตาของเขาก็ยังคงดูน่าทึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หลินเจิ้งนั้นยังไม่ตาย
เขายังคงหยิบดาบขึ้นมาได้อีก
ผู้คนต่างเดือดพล่าน ชายคนนี้นั้นสมเป็นตำนานจริง ๆ!
หลี่ซวนซง ไม่เคยเห็นฝีมือของ หลินเจิ้งจริง ๆ มาก่อน แต่ตอนนี้เขานั้นสามารถมั่นใจได้แล้ว “หลินเจิ้ง เจ้าปลอดภัยดีใช่ไหม?”
“ข้าเหรอ?” หลินเจิ้งส่ายหัว “ไม่เป็นไร”
หัวใจของลั่วอู๋เย็นลง
แม้แต่ดาบไร้ลักษณ์ที่จักรพรรดิดาบหยางไคเทียนทิ้งเอาไว้ก็ยังฆ่าเขาไม่ได้งั้นเหรอ? ใครหน้าไหนจะหยุดเขาได้กัน
หลี่ซวนซง ดีใจมาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรแก้ปัญหาเหล่านี้ซะ”
“ข้าเกรงว่ามันจะยากเกินไปสักหน่อย” หลินเจิ้งพูดออกมา
หลี่ซวนซง ขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
“ข้าหมดสภาพแล้ว” หลินเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็ใช้ดาบหลิงเทียนพยุงร่างของเขาไว้ “ข้าขยับไม่ได้นิดหน่อย”
เขากำลังยิ้ม แต่ที่มุมปากล้นกลับมีเลือดสีแดงไหลออกมา
หากตั้งใจดูอย่างละเอียด ก็จะเห็นว่าที่หน้าท้องของเขามีคราบเลือดไหลออกมาเป็นสีแดงสด
ทะเลแก่นวิญญาณของเขานั้นได้รับความเสียหายจนถูกทำลาย เขาหมดสภาพแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการมีอยู่ของดาบวิญญาณในมือเขา จึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปหาหลินเจิ้ง เพราะถ้าหากพลาดไปเพียงนิดเดียว ก็อาจจะถูก หลินเจิ้งสับคอขาดได้ในทันที ดังนั้นหลังจากที่เขาพูดแบบนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเขาไปพิสูจน์อยู่ดีว่า หลินเจิ้งพูดจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตามที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
ลมปราณของเขาลดลงอย่างหนักถึงขั้นที่เทียบกับผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองแดงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
ลั่วอู๋ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล
ลั่วอู๋มองลงไปที่มือของเขาและเห็นว่าดาบไร้ลักษณ์ในมือของเขาได้กลายเป็นเพียงดาบโลหะซึ่งไม่มีพลังวิญญาณอะไรหลงเหลืออยู่เลย
การแสดงออกบนใบหน้าของ หลี่ซวนซง เปลี่ยนไปมาก เขาพูดด้วยความโกรธ “แล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่าเจ้าไม่เป็นไร?”
หลินเจิ้งไม่ได้โกรธเขาแค่หัวเราะ
วันนี้คงเป็นวันที่เขายิ้มออกมาได้มากที่สุด
“ การได้สัมผัสดาบของจักรพรรดิดาบเป็นการส่วนตัวทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจเนื่องจากข้ามีความสุขมาก มันจึงถือว่าข้าไม่เป็นไรแล้ว” หลินเจิ้งอธิบาย
ความจริงที่แปลกประหลาดนี้ทำให้ หลี่ซวนซง พูดไม่ออก
หลินเจิ้งหยิบดาบขึ้นมาบนไหล่ของเขาแล้วพยายามฝืนความเจ็บปวด จากนั้นเขาก็เขากล่าวขอโทษ “ข้าไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว ข้าช่วยเจ้าไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ข้าคงต้องขอตัวกลับไปก่อน”
พูดจบเขาก็โค้งให้หลี่ซวนซงแล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ
ดาบในมือของเขาหนักมาก ทำให้เขาต้องเดินอย่างยากลำบาก แต่เขาก็ยังคงเดินต่อไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่าการที่ทะเลแก่นวิญญาณของเขาถูกทำลายนั้นไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า
อย่างไรก็ตามแม้ว่าอีกฝ่ายจะหมดสภาพถึงขนาดนี้ กองทัพต้องห้ามก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เพราะเขาคือ หลินเจิ้งนักอันดับหนึ่งของโลก เกียรติยศนั้นทำให้พวกเขาได้แต่หลีกทางและเฝ้าดูหลินเจิ้งเดินจากไปอย่างช้าๆ
ทุกคนในลานจัตุรัสซวนวู มองไปที่แผ่นหลังของเขา มองเขาเดินจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ
สภาพของอีกฝ่ายนั้นไม่รู้จะตายวันหรือตายพรุ่ง
นักดาบคนนั้นหมดสภาพแล้วจริง ๆ