ไหปีศาจ - บทที่ 550 ศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 550 ศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 550
ศักดิ์สิทธิ์
สำนักเฉียนหลงเป็นมิติแยกที่เชื่อมต่อกับหลาย ๆ ที่
ทว่าอยู่มาวันหนึ่งพื้นที่ห้วงมิติของสำนักเฉียนหลงกลับถูกรบกวนโดยกองกำลังที่ไม่รู้จักทำให้ห้วงมิติไม่เสถียร และเป็นเหตุให้สำนักเฉียนหลงอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเข้าออกได้
หลังจากสำรวจห้วงมิติโดยรอบมาสักพัก หลี่หวู่หยวน ก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหา มันได้ทำการสั่นสะเทือนห้วงมิติ ส่งสำนักเฉียนหลงเข้าไปในห้วงมิติกลายเป็นเกาะที่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่าบางคนไม่ต้องการให้พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอก
มีการเปลี่ยนองค์จักรพรรดิแล้ว!
หลายคนเดาว่าเหตุการณ์ของโลกภายนอกน่าจะเป็นเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามเนื่องจากความไม่เสถียรของห้วงมิติได้ขึ้นไปถึงขีดสุด หากพวกเขาฝืนเปิดประตูห้วงมิติโดยฉับพลันละก็ สำนักเฉียนหลงนั้นอาจจะตกลงไปในความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด นำไปสู่การสูญเสียความเป็นไปได้ที่จะเข้า-ออกสำนักไปตลอดการ
ทว่าในขณะที่สำนักเฉียนหลงกำลังหมดสิ้นหนทาง เฉินหมิงหยู่ก็ได้ไปพบหลี่หวู่หยวนและเรียกเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่าออกมา
เฉินหมิงหยู่นั้นบังเอิญจับเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า สัตว์วิญญาณลึกลับที่เกิดจากห้วงมิติแห่งความว่างเปล่า มันสามารถดูดซับพลังวิญญาณมาเพิ่มความแข็งแกร่งจากห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าและสามารถระบุทิศทางต่าง ๆ ในห้วงมิติแห่งความว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย มันจึงเป็นจิตวิญญาณที่หายากและล้ำค่า
ด้วยความช่วยเหลือของเดรัจฉานแห่งความว่างเปล่า หลี่หวู่หยวนและเฉินหมิงหยู่ก็ได้หลบหนีออกมาผ่านความว่างเปล่า และระบุทิศทางมาสู่ที่ตั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิได้สำเร็จ
ในขณะที่กำลังเตรียมที่จะทำลายแหวกห้วงมิติ เข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิ ทันใดนั้นสัตว์วิญญาณตัวใหญ่ก็ได้คำรามเตรียมพุ่งเข้ามาทำให้หลี่หวู่หยวนหวาดกลัว
แน่นอนว่าแม้จะตกใจหลี่หวู่หยวน ก็เลือกที่จะต่อสู้กลับ เขาปล่อยพลังวิญญาณของสิงโตผู้กล้าหาญออกไป พร้อมผลักและเขย่าสัตว์วิญญาณตัวนั้นกลับไป
“ช่างเป็นเกียรติที่ได้พบท่านรองเจ้าสำนัก” ลั่วอู๋อุทานด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาไม่ได้เจอกันนานเลยทีเดียว และลั่วอู๋ก็คิดถึงเขามาก ๆ ๆ
“อืม ลั่วอู๋ เจ้าเองก็มาที่นี่เหมือนกันสินะ เจ้ามาถูกทางแล้วล่ะ” สายตาของ หลี่หวู่หยวน กวาดไปทั่วลานจัตุรัสซวนวู่ ทันทีที่เขาเห็นองค์จักรพรรดิ เขาก็ดูโล่งใจ “เจ้าไม่เป็นไรสินะ ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่สายเกินไป”
องค์จักรพรรดิเงียบไปครู่หนึ่ง “อันที่จริง เจ้ามาสายแล้ว”
“อย่างงั้นเหรอ” หลี่หวู่หยวน ประหลาดใจ “ไม่มีปัญหาอะไรแล้วหรือ?”
องค์จักรพรรดิดูเหมือนจะไม่ชอบ หลี่หวู่หยวน เท่าไหร่ เขาพูดอย่างเฉยเมย “ปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไขแล้ว”
“เป็นอย่างนั้นเองสินะ” หลี่หวู่หยวน ไม่สนใจท่าทีของเขา แต่รู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของเขาเสียมากกว่า “เจ้าฟื้นขึ้นมาบ้างแล้วรึ?”
“ฮึ่ม”องค์จักรพรรดิสบถ
หลี่หวู่หยวน หัวเราะ “เจ้าควรจะเคารพอาจารย์ของเจ้าหน่อยนะ สมัยก่อนข้าให้คำแนะนำแก่เจ้าไปตั้งเยอะ ไว้หน้าข้าบ้างสิ”
ผู้คนต่างประหลาดใจ
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องยากจะเข้าใจเท่าไหร่ เพราะหลี่หวู่หยวนนั้นได้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าสำนักเฉียนหลงมาหลายร้อยปีแล้ว
อีกทั้งองค์จักรพรรดิเองก็เป็นผู้ใช้วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ เมื่อหลายสิบปีก่อน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ หากเขาจะเคยเข้าร่วมสำนักเฉียนหลงเพื่อศึกษา มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้รับคำแนะนำจากหลี่หวู่หยวน
เห็นได้ชัดว่า หลี่หวู่หยวน ดูผ่อนคลายมาก เขามองไปที่สัตว์วิญญาณยักษ์ที่กำลังสั่นสะท้าน“ นี่มันตัวอะไรกัน?”
“เจ้านั่นคือเทพพิทักษ์เวหา” ลั่วอู๋อธิบาย
“ปรากฏว่าสัตว์วิญญาณยักษ์ตัวนี้คือเทพพิทักษ์เวหานี่เอง” หลี่หวู่หยวน ขมวดคิ้ว “เจ้ากล้าที่จะเพ่งเล็งไปที่สำนักเฉียนหลงของข้า สัตว์ร้ายเช่นเจ้าไม่สมควรได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
พลังวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหานั้นส่งผลกระทบต่อสำนักเฉียนหลงอย่างร้ายแรง และที่สำคัญที่สุดคือการที่มันกระทำสิ่งนั้นโดยปราศจากความกลัวและไม่อยู่ภายใต้การบังคับใด ๆ
องค์จักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ดูเหมือนว่าพวกเราจะเห็นตรงกันในเรื่องนี้”
เทพพิทักษ์เวหานั้นเป็นภัยต่อการปกครองอาณาจักรของเขาและมันจะต้องถูกกำจัด
แววตาของพวกเขาทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันน่าสยดสยอง
ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรที่มีพลังในการต่อสู้สูงสุดของจักรวรรดิ ในขณะนี้พวกเขาต่างหันหน้าไปทางเทพพิทักษ์เวหาพร้อม ๆ กัน
หลินกุย และ ฉูจานเทียน ที่อยู่ใกล้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยหนี
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่พวกเขาสามารถเข้าร่วมได้อีกต่อไป
เทพพิทักษ์เวหาคำรามด้วยเสียงต่ำ แล้วหดตัวกลับไปเป็นสุนัขสีแดง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเอื้อต่อการหลบหนีมากกว่า
“ อย่าคิดว่าจะหนีพ้น!”
องค์จักรพรรดิและหลี่หวู่หยวนระเบิดพลังออกมาในเวลาเดียวกัน หวังจะสังหารมัน
การต่อสู้กินเวลาไปเกือบสามชั่วโมง
ลมและเมฆปั่นป่วนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดสลัว ห้วงมิติอันว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธยังสั่นสะเทือนไปทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิ
เหล่าขุนนาง นายพล ทหาร ทั้งหมดต่างถอยกลับอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนลูกหลงในการต่อสู้ที่สั่นสะเทือนโลกนี้
พระราชวังเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้คาดว่าจะพวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างมันขึ้นมาใหม่
แต่ก็ยังมีคนที่ยังอยู่เพื่อชมการต่อสู้อีกมากมาย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจการต่อสู้ระดับนี้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากมัน
ลั่วอู๋เองก็อยู่ในคนพวกนั้นด้วย
วันนี้มีวิชาในการต่อสู้ให้เรียนรู้มากเกินไป
วิชามีดของ หลินกุย, วิชาดาบของ หลินเจิ้ง, แก่นแท้ทักษะแห่งความตายของ ฉูจานเทียน, อำนาจพลังวิญญาณกดขี่ขององค์จักรพรรดิ และพลังห้วงมิติของสิงโตผู้กล้าหาญของ หลี่หวู่หยวน นอกจากนี้ ลั่วอู๋ ยังได้รู้สึกถึงพลังแห่งการทำลายล้างของเทพพิทักษ์เวหาอีกด้วย
ลั่วอู๋หลับตาลบล้างทุกอย่าง เข้าสู่ดินแดนไร้ตัวตน สัมผัสถึงเส้นเลือดแห่งพลังทำลายล้างในจิตใจของเขา ซึ่งดูเหมือนจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
แก่นแท้ของทักษะลมหายใจมังกรแล่นเข้ามาผ่านสมอง
ทุกรายละเอียดเริ่มช้าลงและช้าลง ลั่วอู๋ดูเหมือนจะเข้าสู่พื้นที่แห่งสติสัมปชัญญะของเขาเอง ราวกับจมอยู่ใต้น้ำเฝ้าดูมังกรกำลังปล่อยลมหายใจออกมาอย่างระมัดระวัง
ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยหมอกบางเบาเปล่งพลังวิญญาณแห่งการทำลายล้างออกมา
“ ลั่วอู๋!” ฉูจงฉวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ฉูจานเทียน ขมวดคิ้วจากนั้นส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “อย่าไปรบกวนเขา เขากำลังทำความเข้าใจแก่นแท้ของทักษะอยู่”
ฉูจงฉวนนึกถึงประสบการณ์ที่เขาได้ทำการเข้าแก่นแท้ของทักษะไฟในหินหนืด เขาเข้าใจได้ในทันที พยักหน้าตอบปู่ของตนไปแล้วหยุดพูด
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองใช้เวลาไปนานแค่ไหน
แต่เมื่อลั่วอู๋ลืมตาขึ้นอีกครั้งการต่อสู้ก็สิ้นสุดลงเสียแล้ว
โดยไม่คาดคิดทุกคนต่างกำลังมองมาที่เขา ราวกับว่ากำลังรอให้เขารู้สึกตัว
“การต่อสู้จบแล้วเหรอ” ลั่วอู๋รู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นขึ้นมา และยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“จบไปแล้วล่ะ ตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว” ฉูจงฉวนยิ้มและมอบหินสีทองให้กับลั่วอู๋ “ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้ามีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับแก่นแท้ของทักษะแห่งการทำลายล้างแล้วล่ะ ประตูสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงได้เปิดขึ้นมาให้เจ้าแล้ว”
ลั่วอู๋ตอบสนองต่อคำพูดนั้น
ใช่แล้ว เขาเพิ่งได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง
มันเป็นความรู้สึกนั้นลึกลับ จนอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่ถูก
แต่ลั่วอู๋มั่นใจได้ว่า ตอนนี้เขาสามารถก้าวขึ้นสู่มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูง เพื่อกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงได้ทุกเมื่อด้วยความช่วยเหลือจากการรับรู้เมื่อครู่ของเขา
“มันน่าทึ่งมาก” ลั่วอู๋รับหินสีทองมา แล้วพูดถาม “เจ้าเอาหินพระธาตุนี่มาจากที่ไหนกัน เจ้าจะให้ข้าเอามันไปทำอะไร?”
ฉูจงฉวนหัวเราะ “เจ้าบื้อ นี่คือหินพระธาตุของตัวเจ้าเอง มันคือพลังวิญญาณของเจ้าที่ควบแน่นขึ้นมา เมื่อเจ้าตื่นขึ้น แน่อยู่แล้วว่าเจ้าคือเจ้าของดั้งเดิมของมัน”
จากนั้นลั่วอู๋ก็ตระหนักได้ว่าเขาเพิ่งเข้าถึงแก่นแท้ของทักษะวิญญาณ จนได้หินพระธาตุขึ้นมาโดยบังเอิญ
แม้ว่าไหปีศาจจะสามารถทำทุกอย่างที่หินพระธาตุนี้สามารถทำได้ แต่ลั่วอู๋ก็คิดว่ามันมีค่ามากพอที่เขาจะเก็บมันเอาไว้
หินพระธาตุนี้มีความหมายกับเขามาก
สิ่งที่ได้มาด้วยวิธีอื่นอาจจะไม่ลำบากเท่า แต่สิ่งที่ทำขึ้นมาด้วยตนเองได้จริง ๆ ย่อมมีคุณค่าที่ทางใจที่สำคัญยิ่ง
ขณะเดียวกันองค์จักรพรรดิก็เดินเข้ามา ด้วยไอพลังวิญญาณอันทรงพลังและเต็มไปด้วยความกดดัน “เจ้าทำได้ดีมาก ถ้าเจ้าไม่บังคับให้หลินเจิ้งกลับไป สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไปอีกแบบเลยก็เป็นได้”
“ข้าขอพูดตรง ๆ เลยนะ องค์จักรพรรดิ เจ้ามันใจร้าย ขี้เหนียวเกินไปแล้ว” ลั่วอู๋กระซิบ
สำหรับสงครามในครั้งนี้ เขาได้ใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มีออกมาจนเกลี้ยง
เรียกได้ว่าลั่วอู๋ได้รับการสูญเสียครั้งใหญ่
ทว่าแม้จะได้ยินเขาพูดเช่นนั้น องค์จักรพรรดิกลับไม่ได้โกรธและหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นคนแรกเลยที่กล้าพูดกับข้าว่าข้าขี้เหนียว”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้คนที่ภักดี องค์จักรพรรดิไม่เคยละเลยการให้รางวัล
“มันเป็นของเจ้าแล้ว” องค์จักรพรรดิยื่นมือขวาออกไป ในนั้นมีแก่นวิญญาณสีเทาอยู่ในมือของเขา มันเป็นสุนัขสีแดงขนาดเล็กที่ดูอ่อนแอมาก แต่ก็ยังคงมีร่องรอยของความโกรธเกรี้ยว
มันคือเทพพิทักษ์เวหา!