ไหปีศาจ - บทที่ 553 จุดตกต่ำของตระกูลลั่ว
บทที่ 553 จุดตกต่ำของตระกูลลั่ว
บทที่ 553
จุดตกต่ำของตระกูลลั่ว
ทุกคนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างร่าเริงไปตาม ๆ กัน
นายน้อยได้รับตำแหน่งขุนนางชั้นสูง และสำนักโล่พิทักษ์เองก็ได้กลายเป็นร้านค้าตัวแทนขององค์จักรพรรดิ นี่เป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง ทุกคนในสำนักโล่พิทักษ์ เมื่อพวกเขาเดินออกไปข้างนอก ต่างก็สามารถยืนมองร้านค้าของตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจในตัวตนของพวกเขา
แม้ว่าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา ๆ หากสวมตราของสำนักโล่พิทักษ์เดินอยู่ตามถนน เขาก็จะได้รับความสนใจจากสายตาของหญิงสาวมากมายในทันที
ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างตื่นเต้นและต้องการเข้าร่วมสำนักโล่พิทักษ์ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธ
ความภักดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งรัดกำชับจัดการคัดสรรบุคคลให้ดี ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มจำนวนพนักงานในขณะนี้
ภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา ลั่วอู๋ นั้นได้รับบัตรเชิญไปยังงานเลี้ยงหลายร้อยงานจากกองกำลังต่าง ๆ
ลั่วอู๋ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะได้กลายเป็นขุนนางชั้นสูง ตอนนี้จึงมีหลายคนเรียกเขาว่าท่านขุนนางชั้นสูง มันเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเขา
ทางเลือกของ ลั่วอู๋ เลยมีแค่พยายามเลี่ยงเรื่องราวต่าง ๆ และเก็บตัวเพียงเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังต้องประเมินความรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เขาได้รับในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเนื่องจากทางสำนักเฉียนหลงยังมีปัญหาเรื่องความไม่เสถียรของห้วงมิติที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอยู่ เขาจึงไม่สามารถย้อนกลับไปที่สำนักเฉียนหลงได้สักพักใหญ่ ๆ
อีกด้านหนึ่งที่คฤหาสน์ของตระกูลลั่ว เมื่อเทียบกับสำนักโล่พิทักษ์ แตกต่างราวกับฟ้ากับเหว
หากให้อธิบายเปรียบเทียบก็คงเป็น “จุดตกต่ำอันมืดมนที่สุด”
เสียงร้องครวญครางของลั่วฮันเชียงดังไปทั่วคฤหาสน์ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันได้ถูกมัดทิ้งไว้ที่ประตูหน้าห้องโถงบรรพบุรุษ รอชะตากรรมพิพากษาโทษทัณฑ์ของเขา
เหตุผลนั้นง่ายมากเป็นเพราะพฤติกรรมที่โง่เขลาของเขา ทำให้ตระกูลลั่วตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
เขาไม่เพียงทำลายความสัมพันธ์ที่มีกับลั่วอู๋ แต่ทำให้มันกลับไปตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ยังใช้นามของตระกูลลั่ว เข้าสนับสนุน หลี่ซวนซงอย่างเปิดเผยในการก่อกบฏ
หลังการก่อกบฏล้มเหลวลงองค์จักรพรรดิทรงไว้ชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ด้วยความเมตตา เพราะองค์จักรพรรดินั้นไม่ต้องการทำให้จักรวรรดิระส่ำระสายเพราะการก่อกบฏครั้งนี้
หากเขาต้องการจะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายเล็กจริง ๆ ทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิคนจะต้องกลายเป็นทะเลเลือด
ยิ่งไปกว่านั้นองค์จักรพรรดิเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมีกองกำลังจำนวนมากที่ผูกมิตรกับคฤหาสน์ องค์ชายได้ด้วยคำแนะนำของเขา
แต่ในรายการอภัยโทษทั้งหมดอันยาวเป็นหางเว่านั้นกลับไม่มีชื่อของ ศาลาไป่หยู่หรือตระกูลลั่วอยู่เลย
ที่แย่ที่สุดคือตระกูลลั่วไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่จะต้องรับโทษด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่าตระกูลลั่วเหมือนถูกลืมเว้นไว้โดยเจตนา พวกเขาไม่ได้รับการลงโทษและไม่ได้รับการอภัยโทษ มันจึงเป็นสถานการณ์ที่น่าอับอายอย่างยิ่ง
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมสำหรับตระกูลลั่ว ศาลาไป่หยู่เองก็เปิดให้บริการตามปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าสถานการณ์นั้นกลับมีแต่แย่ลง ประการแรกภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมืองแร่วิญญาณทั้งเจ็ดแห่งของตระกูลลั่วนั้น ยังคงถูกปิดเอาไว้อยู่ และจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้นตลอดศก
ประการที่สองเหล่ากองกำลังต่าง ๆ เริ่มไม่แน่ใจในความคิดขององค์จักรพรรดิที่มีต่อตระกูลลั่ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะติดต่อธุรกิจกับตระกูลลั่วเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับตัวพวกเขาเอง
ถ้าตระกูลลั่วถูกลงโทษจนหมดสิ้นคดีความ ชดใช้ความผิดแล้ว มันก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ตอนนี้พวกเขาถูกเมินโดยสิ้นเชิง มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมั่นในตระกูลลั่ว
“เจ้าโง่!” ในห้องโถงบรรพบุรุษ ผู้อาวุโสหลายคนต่างโกรธจัด บางคนถึงกับหักไม้ค้ำยันของเขาลงด้วยโทสะ
ลั่วฮันเชียง ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันทำได้เพียงแค่ทรุดตัวลงคุกเข่า
ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตระกูลของพวกเขากัน
ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลลั่วทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกคุมขัง ทว่าทันทีที่พวกเขาได้รับการปล่อยตัว พวกเขาก็ได้รับข่าวด่วนอันน่าสลดเช่นนี้เสียอย่างนั้น
ร่วมวางแผนก่อกบฏ?
ทว่าล้มเหลว!
มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขาเลยสักนิด
ลั่วฮันเชียง กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “องค์จักรพรรดิได้ทำการนิรโทษกรรมให้กองกำลังต่าง ๆ ถ้วนหน้า บางทีท่านอาจจะพลาดตระกูลลั่วไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทำไมพวกท่านถึงกังวลกันอีกล่ะ?”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกงั้นเหรอ!” ลั่วฮันฉิง ตัวแทนผู้นำตระกูลชั่วคราวตะโกนด้วยความโกรธ
“เจ้าไม่เห็นรึไงว่าองค์จักรพรรดิกำลังสนองความโกรธในส่วนของลั่วอู๋ และตั้งใจมุ่งเป้ามาที่ตระกูลลั่วของพวกเรา แม้ว่าเจ้าจะยังคงหลอกตัวเองได้ แต่ความเป็นจริงแล้วตระกูลลั่วกำลังหมดหนทาง ตอนนี้พวกเราได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครกล้าทำธุรกิจด้วยไปแล้ว!”
“ใช่”
“งง อะไรนักหนา”
“รายได้ของพวกเราลดน้อยลงทุกเดือน”
“ กำจัดเขาซะ กำจัดเขาเลยเถอะ” ผู้คนของตระกูลลั่วต่างพูดด้วยความโกรธเคือง
ลั่วฮันเชียง พยายามยืดตัวขึ้นและตะโกน “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จัดการกับข้า ข้าเป็นผู้นำตระกูล” ด้วยที่เขาเป็นผู้นำตระกูลที่ท่านบรรพบุรุษเป็นคนแต่งตั้ง อย่างน้อย ๆ เขาก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงผู้นำตระกูล
ทว่าในขณะนี้นั้นตระกูลลั่วกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ตำแหน่งผู้นำตระกูลนั้นสามารถถูกถอดถอนออกได้ก็ต่อเมื่อมีการลงคะแนนตามโดยผู้อาวุโส 7 คนตามขั้นตอนการลงคะแนนเพียงเท่านั้น
จากเดิมที่มีผู้อาวุโสเจ็ดคน สองคนได้โกรธและตื่นเต้นมากจนเสียชีวิตไปด้วยโทสะ
ตอนนี้ทางตระกูลจึงทำได้เพียงแค่มัดเขาไว้ เพราะพวกเขาไม่มีทางที่จะลงโทษลั่วฮันเชียงได้
ทันใดนั้นร่างสีขาวก็เข้ามายังคฤหาสน์ตระกูลลั่ว
“ มีอะไรงั้นเหรอ ? ข้าไม่ได้กลับมาสอง สามเดือนแล้ว ทำไมท่าทีของคนในตระกูลถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้กัน? ทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิเองก็ด้วย”
ผู้คนของตระกูลลั่วต่างมีความสุขเมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเขารู้ได้ทันทีว่าท่านบรรพบุรุษได้กลับมาแล้ว
มีเพียงใบหน้าของลั่วฮันเชียง เท่านั้นที่ซีดเซียว
แผนการที่จะหาโอกาสหลุดพ้นจากปัญหาของเขาพังพินาศลงไปแล้ว
ใช่แล้ว ในที่สุดลั่วไป่เหาก็ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้พลังวิญญาณคนอื่น ๆ เพื่อซ่อมแซมผนึกในส่วนลึกของ ป่าหวงชาจนเสร็จสิ้น และกลับมายังคฤหาสน์ตระกูลลั่ว
แต่เขาดูเหนื่อย เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเสียพลังวิญญาณไปมากกับภารกิจนั้น
“ ท่านบรรพบุรุษ” ทุกคนในตระกูลลั่วต่างคุกเข่าลง
เหล่าผู้อวุโสเองก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะอายุมากแล้วและดูมีอาวุโสสูง ในความเป็นจริงพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานของลั่วไป่เหา
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน พวกเจ้ามาทำอะไรที่หน้าห้องโถงบรรพบุรุษ?” ลั่วไป่เหาดูงงงวย
ผู้อาวุโสของตระกูลลั่วคนหนึ่งคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความละอาย “ท่านบรรพบุรุษ ลูกหลานอกตัญญูคนนั้นได้ปล่อยให้ตระกูลลั่วประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ ตอนนี้พวกเราอยากจะมาขอให้ท่านบรรพบุรุษช่วยลงทัณฑ์แก่เขาด้วย”
“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วไป่เหา ขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงทุ้ม “เจ้าพูดอธิบายมาแค่นี้ ข้าจะเข้าใจได้อย่างไร”
ลั่วฮันฉิงตัวแทนผู้นำตระกูลรีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วอธิบายสถานการณ์เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมดให้ลั่วไป่เหาฟัง
เมื่อเขาได้ยินว่าลั่วอู๋ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลลั่วด้วยโทสะต่อสาธารณชน ลั่วไป่เหาก็โกรธมาก “เจ้าโง่คนไหนตัดสินใจ ไล่ให้เขาออกจากตระกูลกัน”
“เจ้านั่นขอรับ ท่านบรรพบุรุษ” มีคนตอบด้วยเสียงสั่น
ลั่วไป่เหาสังเกตเห็นว่าลั่วฮั่นเชียงถูกมัดทิ้งไว้ที่ประตูห้องโถงบรรพบุรุษ ดูเหมือนว่าคนที่ก่อเรื่องทั้งหมดจะเป็นผู้นำของตระกูลลั่วอีกแล้ว
“เจ้าโง่!” ลั่วไป่เหา พูดอย่างโกรธ ๆ “ข้าเลือกของเสียเช่นเจ้า มาเป็นผู้นำตระกูลได้ยังไงกัน จับมันไปแขวนเดี๋ยวนี้”
ลั่วฮันเชียง สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว ในใจของเขารู้สึกถึงเพียงแสงแห่งความหวังอันริบหรี่
ท่านบรรพบุรุษกล่าวเพียงแค่ว่าจะแขวนเขา และไม่ได้พูดอะไรอีก บางทีเขาอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ก็เป็นได้?
ลั่วไป่เหา กล่าวด้วยความโกรธ “ไหนเจ้าลองเล่ามาสิ”
ลั่วฮันเชียง รีบเล่าทุกอย่างออกไป
“กักขังผู้อาวุโสทุกคน แล้วเข้าร่วมการก่อกบฏ?” ลั่วไป่เหา ไม่สามารถควบคุมลมปราณอันรุนแรงของเขาได้อีกต่อไป ในทันใดนั้นทั้งตระกูลลั่วก็ต้องสั่นสะท้าน เสียงของเขาเย็นชาจนน่ากลัว “ช่างเป็นเจ้าโง่ที่เสียของจริง ๆ”
หัวใจของ ลั่วฮันเชียง เย็นลงอย่างกะทันหัน
มันจบแล้ว
“หากจะแต่งตั้งผู้นำตระกูลคนใหม่ พวกเจ้ามีใครในดวงใจกันบ้าง” ลั่วไป่เหาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “พวกเจ้าจงไปเลือกกันมาซะ”
ผู้คนในตระกูลลั่วต่างมองหน้ากัน
ผู้อาวุโสหลายคนได้ทำการพูดคุย จากนั้นก็ยืนยันที่จะแนะนำ ลั่วฮันฉิง ซึ่งเป็นตัวแทนผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน
“ดี ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเป็นผู้นำตระกูลไปซะ” ลั่วไป่เหากล่าว
นี่ดูเหมือนเป็นเรื่องตลก
แต่นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากฎของตระกูล มันเป็นกฎดั้งเดิมของตระกูลลั่ว
คำพูดของลั่วไป่เหาคือกฎทองที่ไม่มีใครสามารถหักล้างได้
ลั่วฮันฉิง ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านบรรพบุรุษ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี เหมืองแร่วิญญาณทั้งเจ็ดแห่งของตระกูลลั่ว ยังคงถูกปิดผนึกอยู่ และทางองค์จักรพรรดิเองก็ยังไม่ได้ออกคำสั่งลงโทษอะไรมา สถานการณ์ตอนนี้ของตระกูลลั่วนั้นตกระกำลำบากมาก”
ลั่วไป่เหา ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าข้าจะทำได้เพียงแค่กำจัดเจ้าขยะนี่ทิ้งไปเท่านั้น”
พริบตาต่อมาเขาก็ฆ่าลั่วฮันเชียงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว จากนั้นจับลั่วฮันเชียงที่ตายเยี่ยงสุนัขบินไปยังสำนักโล่พิทักษ์