ไหปีศาจ - บทที่ 570 แก่นวิญญาณพยัคฆ์ขาว
บทที่ 570 แก่นวิญญาณพยัคฆ์ขาว
บทที่ 570
แก่นวิญญาณพยัคฆ์ขาว
การสนทนาระหว่างเหล่าราชาผีได้สิ้นสุดลง
พวกราชาผีค่อย ๆ สลายไปอย่างช้าๆ
บรรยากาศของเหล่าราชาผีผู้เย่อหยิ่งได้เงียบหายไป เหลือเพียงเหล่าผีร้ายทั่ว ๆ ไป รอบข้าง
“ จบแล้วเหรอ?” “นี่หมายความว่ายังไง?” ราชาผีเฮนเทียนคำรามด้วยความเกลียดชัง “สุสานแห่งราชาผี ควรจะถูกละเมิด ผู้รุกรานจะต้องถูกสาปแช่ง! ”
เสียงอันน่ากลัวดั่งไปทั่วสุสานของราชาผี
เหล่าผีระดับต่ำต่างตกใจกลัวตัวสั่น
แต่พวกราชาผีกลับสงบ เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคยชินกับฉากเช่นนี้กันแล้ว
แม้ว่าพวกเขาราชาผีจะกลายเป็นเพียงวิญญาณไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงมีความทรงจำและอารมณ์มากมายอยู่ ทำให้ไม่สามารถควบคุมความโกรธแค้นอันรุนแรงในร่างกายได้เท่าไหร่นัก
ฮวงซุ้ยนี้ที่จริงแล้วไม่ได้ ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อผนึกพวกเขาไว้เท่านั้น
แต่ก็เพื่อที่จะช่วยระงับอารมณ์ความแค้นเหล่านั้นของราชาผีเฮนเทียนไว้ในร่างกาย
หรือก็คือ ถึงแม้ว่าพวกราชาผีตนอื่น ๆจะดูดุร้ายรุนแรง แต่มันก็เป็นเพียงการแสดง แท้จริงแล้วพวกเขาสามารถระงับความขุ่นเคืองได้ และยังมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่
ทว่าราชาผีเฮนเทียนนั้นแตกต่างออกไป
เขาได้ดูดซับเป็นเศษเล็กเศษน้อยของพลังวิญญาณต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชรผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ ซึ่งดูดซับผีจำนวนมากเขามาในร่างจนกลายเป็นอีกระดับหนึ่งของวิญญาณผี ความเคียดแค้นของเขามันหนักหนาสาหัสเกินไป จนแม้แต่หลุมฝังศพก็ไม่สามารถระงับมันเอาไว้ได้
เมื่อผู้บัญชาการหลิงหลงจากไปพลังวิญญาณอันดุร้ายตามธรรมชาติของเขาจึงได้กลับมาอีกครั้ง
แน่นอนว่าตอนนี้ ผีและราชาผีที่เหลืออยู่ในสุสานก็ได้กระจัดกระจายกันไปแล้ว
เหตุผลที่พวกเขาไม่ต้องการให้สุสานถูกทำลาย ก็เพราะหากมันถูกทำลาย พวกเขาทั้งหมดนั้นจะได้รับผลกระทบจากความแค้นในวิญญาณ จนต้องกลายเป็นวิญญาณผีชั่วร้าย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อ พวกเขาและราชาผีเฮนเทียนหลุดจากผนึกนี้ ความแค้นอันรุนแรงที่พวกเขามีจะต้องทำให้ทั้งทวีปสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
เหล่าราชาผีล้วนเคยเป็นผู้พิทักษ์มวลมนุษยชาติในอดีต โดยธรรมชาติพวกเขาจึงไม่ต้องการให้สุสานนี้ถูกทำลาย
เหล่าราชาผี นั้นดูเหมือนจะเคารพราชาผีเฮนเทียน แต่จริงๆแล้วพวกเขานับถือในอำนาจโบราณของสุสานเสียมากกว่า
เสียงคำรามแห่งความเกลียดชังของราชาแห่งผีเฮนเทียน ดังไปทั่วสุสานของเหล่าราชาผี
ราวกับว่าเขาไม่ได้สำมะเลเทเมาเช่นในวันนี้มานานแล้ว
……
……
อีกด้านหนึ่ง ลั่วอู๋ได้เดินออกมาจากสุสานของราชาผี
ฉูจงฉวน โค้งคำนับให้ ท่านหญิงหยู่ อย่างสุดซึ้ง “ท่านหญิงหยู่ ข้าขออภัยที่เคยพลาดพลั้งทำให้ท่านต้องถูกผนึกเอาไว้ที่นี่โดยราชาผี”
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่เขามาฝึกวิชาที่นี่ หากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านหญิงหยู่ ฉูจงฉวนคงจะถูกราชาผีฉีกเป็นชิ้น ๆ ไปนานแล้ว
ฉูจงฉวนจึงทำได้เพียงแสดงความขอบคุณและละอายใจในตัวเอง
ท่านหญิงหยู่ส่ายหัว “เจ้าไม่เป็นอันตรายก็ดีแล้ว ข้าตั้งใจจะช่วยเจ้าเอง มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเก็บไปคิดเลย”
เกี่ยวกับท่านหญิงหยู่นั้น ลั่วอู๋ได้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้กับ ฉูจงฉวนรู้ มันจึงทำให้เขารู้สึกผิด
ฉูจงฉวนพูดอย่างจริงจัง “ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยังเป็นคนช่วยให้ข้าได้มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้อยู่ดี”
“ ไม่เป็นไร” ท่านหญิงหยู่นั้นได้เดินออกจากสุสานแห่งนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นางในตอนนี้นั้นเป็นอิสระจริง ๆ จึงทำให้นางมีเวลาได้คุยกับฉูจงฉวนเช่นนี้
นางมองไปรอบ ๆ พื้นที่ราวกับเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่มาก่อน
เนินลาดเล็ก ๆ ก็สวย
ไม้เก่า ๆ ใกล้หักก็ยังดูดี
แอ่งน้ำสกปรกขนาดเล็กนี้ก็ดูดี
แม้แต่สัตว์วิญญาณที่วิ่งผ่านไปผ่านมาในป่าเองก็ยังดูน่ารักมาก
ท่านหญิงหยู่รู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยเป็นปรากฏมาก่อน
มันเป็นเรื่องดีที่จะได้มีอิสระ
แต่ปัญหาก็คือท้องฟ้าเริ่มค่อย ๆ สว่างขึ้นแล้ว แสงแดดยามเช้าได้สาดส่องลงมาจากบนท้องฟ้า เผยให้เห็นรัศมีที่แล่นผ่านหมู่เมฆลงมา
ลั่วอู๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหญิง ให้ข้าได้พาท่านออกไปจากตรงนี้ก่อน ฟ้านั้นใกล้จะสว่างเต็มทีแล้ว”
ท่านหญิงหยู่รู้สึกสับสน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านางเองก็เป็นหนึ่งในราชาผี แม้ว่าแสงอาทิตย์จะไม่สามารถทำร้ายนางได้ แต่นางก็จะอ่อนแอลงอย่างมากหากโดนมัน
“ตกลง” ท่านหญิงหยู่พยักหน้า
ลั่วอู๋ รับนางเข้าสู่มิติไหอย่างเป็นธรรมชาติ
ทิวทัศน์อันสวยงามในมิติไห น่าจะช่วยให้นางได้เพลิดเพลินกับมันไปสักพัก และฉูจงฉวนก็ได้เสนอตัวเป็นคนคอยแนะนำเรื่องต่าง ๆ ในมิติไหให้กับนาง เพื่อตอบแทนที่นางช่วยชีวิตเขาเอาไว้
จากนั้นหลินกุย และ ฉูจานเทียน ก็ได้เดินจากไป
การที่พวกเขาได้รู้สึกถึงพลังวิญญาณของราชาผี ทำให้พวกเขาได้รับแนวทางในการพัฒนามิติวิญญาณ พวกเขาจึงต้องรีบกลับไปทำความเข้าใจกับมัน ไม่เช่นนั้นโอกาสนี้จะน่าเสียดายจนเกินไป
“ขอขอบคุณ ผู้บัญชาการหลิงหลง สำหรับความช่วยเหลือของท่าน” ลั่วอู๋ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พูดสุภาพไปก็เท่านั้น หนี้ของข้าที่มีต่อเจ้ามันจบแล้ว” ผู้บัญชาการหลิงหลงเหลือบไปมองลั่วอู๋ “ในอนาคตหลังจากนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้”
ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้ม “ไม่จำเป็นต้อง โหดร้ายกันขนาดนั้นก็ได้ พวกเราเองก็มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันเล็กน้อยแล้วนี่นา”
“ฮึ่ม” ผู้บัญชาการหลิงหลงฮัม “มิตรภาพนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าไปช่วยเจ้าอีกได้หรอกนะ ข้าไม่ใช่คนที่จะช่วยเจ้าฟรี ๆ แน่”
หนี้สามครั้ง คำขอสามอย่าง ได้รับการเติมเต็ม
ผู้บัญชาการหลิงหลงได้ปฏิบัติตามคำขออย่างดีที่สุด โดยไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการชดใช้หนี้ทั้งสามครั้งของนาง
“เฮ้เฮ้” ลั่วอู๋กระซิบ “คราวหน้า ให้ข้าเอาอะไรดี ๆ มาเสนอเจ้าอีกไหมล่ะ?”
ผู้บัญชาการหลิงหลงหัวเราะเบา ๆ “เจ้ามีสมบัติอะไรที่จะทำให้ข้าสนใจได้กัน?”
“แก่นวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหาล่ะว่าไง?” ลั่วอู๋กล่าว
ผู้บัญชาการหลิงหลงนั้นรู้เพียงแค่ว่าเทพพิทักษ์เวหาถูกสังหารโดยองค์จักรพรรดิและหลี่หวู่หยวน นางจึงไม่คาดคิดว่าแก่นวิญญาณของเทพพิทักษ์เวหาจะอยู่ในมือของลั่วอู๋
“นั่นมันก็มีค่ามากจริงๆแหละ” ผู้บัญชาการหลิงหลงส่ายหัว “แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า”
ลั่วอู๋ผิดหวังและถามว่า “ถ้างั้น เจ้าต้องการอะไรล่ะ ข้าจะพยายามหามาให้”
ผู้บัญชาการหลิงหลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จำเป็นในตอนนี้”
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง
คนระดับนาง มีความต้องการในวัตถุวิญญาณต่าง ๆ น้อยมาก
เว้นแต่ว่า ลั่วอู๋จะสามารถจัดหาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถช่วยนางในการยกระดับมิติวิญญาณขึ้นเป็นขั้น จักรพรรดิ มาได้
น่าเสียดายที่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอะไร ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับจักรพรรดิ มาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
“ได้เลย” “ว่าแต่พยัคฆ์ขาวที่พวกราชาผีพูดถึงหมายความว่ายังไงกัน มันยังไม่ตายงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ถาม “ทำไมมันถึงกลายเป็นแหล่งพลังวิญญาณของเจ้า ”
ผู้บัญชาการหลิงหลงขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพยัคฆ์ขาวตายแล้ว”
“ข้าได้ยินมา”
ผู้บัญชาการหลิงหลง มองไปที่ ลั่วอู๋ ด้วยสายตาแปลก ๆ ในดวงตาของนาง “เจ้าดูเหมือนจะรู้ข้อมูล หลายอย่างนะ น่าแปลกใจจริง ๆ ถึงข้าจะไม่เคยไปที่หอสมุดของสำนักเฉียนหลงมาก่อน อย่างไรก็ตามมันก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีข้อมูลของสิ่งเหล่านี้บันทึกอยู่ ข้ารู้สึกว่าเจ้ารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในอดีตมากกว่า หลี่หวู่หยวน เสียอีก”
“… ” ลั่วอู๋เงียบไปครู่หนึ่ง “จะแลกเปลี่ยนข้อมูลว่าข้ารู้อะไรบ้างไหมล่ะ”
ผู้บัญชาการหลิงหลงฮัม “ไม่เป็นไร ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่”
“ถ้างั้นพอจะบอกสิ่งที่เจ้ารู้ได้ไหม ข้าค่อนข้างสนใจในเรื่องนี้” ดวงตาของลั่วอู๋สว่างขึ้นเล็กน้อย
ผู้บัญชาการหลิงหลงดูเหมือนจะไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ แต่นางก็กล่าวขึ้นมา“ พยัคฆ์ขาวได้ตายไปแล้ว แต่แก่นวิญญาณของมันนั้นยังคงอยู่”
ลั่วอู๋แปลกใจเล็กน้อย
หลายพันปีผ่านไปทำไมแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาวยังคงอยู่ครบถ้วนได้อีก!
“ใช่แล้ว หลังจากการตายของพยัคฆ์ขาว มีใครบางคนเก็บแก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาวเอาไว้เงียบ ๆ ” ผู้บัญชาการ หลิงหลงกล่าว
ลั่วอู๋สงสัย “ใครกัน”
ในยุคสมัยเฉกเช่นในเวลานั้น ไม่น่าจะมีคนที่มีเวลาว่างในการทำสิ่งดังกล่าว อีกทั้งการตายของพยัคฆ์ขาว เองก็น่าจะอยู่ในช่วงต้นถึงช่วงกลางของยุคอันปั่นป่วนวุ่นวาย หลังจากภัยพิบัติสิ้นสุดลงนั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การที่แก่นวิญญาณของพยัคฆ์ขาวนั้นได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดีเรียกได้ว่าพวกเขาโชคดีมากที่ทำสำเร็จ”
“พวกเขาคือบรรพบุรุษของข้า.” ผู้บัญชาการหลิงหลงกล่าวอย่างเรียบ ๆ
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้
แข็งแกร่ง!
“ตระกูลของเจ้าแข็งแกร่งมากสินะ” ลั่วอู๋ กล่าว
ผู้บัญชาการหลิงหลงครุ่นคิดและขมวดคิ้ว “ก็คงใช่ ข้าจำไม่ได้เท่าไหร่”
“ จำไม่ได้งั้นเหรอ ?” ลั่วอู๋ตะลึง
“ใช่” ผู้บัญชาการหลิงหลง ยังเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง “ตระกูลของข้าถูกทำลายไป ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเลยจำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้”
ลั่วอู๋มองไปที่ผู้บัญชาการหลิงหลง
เรื่องนี้ไม่ต่างจากแผลเป็นในใจของนาง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากเขาจะถามเรื่องแบบนี้
แต่ลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ศัตรูของเจ้าเป็นอย่างไรแล้วตอนนี้ … ”
“โอ้ เขางั้นเหรอ?” ทันใดนั้นผู้บัญชาการหลิงหลงก็หัวเราะราวกับกำลังคิดถึงบางสิ่งที่ไร้สาระ “ข้าทำลายร่างวิญญาณจักรพรรดิหวู่ของเขา ราวกับปลิดชีพสุนัข เพื่อไม่ให้มันหลบหนีไปได้”