ไหปีศาจ - บทที่ 583 ไม่เต็มใจที่จะเข้า
บทที่ 583 ไม่เต็มใจที่จะเข้า
บทที่ 583
ไม่เต็มใจที่จะเข้า
อาณาเขตวิญญาณเป็นความสามารถที่พิเศษอย่างยิ่ง
อธิบายคร่าว ๆ ก็คือ มันเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ของตัวเองทั้งหมดให้กลายเป็นอาณาเขต และการต่อสู้ในอาณาเขตของตัวเอง จะสามารถช่วยเสริมพลังในการต่อสู้ของตัวเอง ทำให้ปราบปรามคู่ต่อสู้ได้ในที่สุด
ขอบเขตของอาณาเขตวิญญาณนั้นมีขนาดใหญ่ เล็ก แตกต่างกันออกไปตามลักษณะการรับรู้ของผู้ใช้แต่ละบุคคล
โดยทั่วไปมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเพชรเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมอาณาเขตวิญญาณได้ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง มิติวิญญาณระดับทองขั้นสูงและระดับเพชร
แต่มันก็ไม่มีอะไรที่แน่นอน
หากมีสัตว์วิญญาณที่ดีละก็ บางทีมันอาจเกิดมาพร้อมกับทักษะอาณาเขตวิญญาณ
ตัวอย่างเช่นผีแห่งความแค้นที่ลั่วอู๋จับได้จากสุสานของราชาผี มันมีทักษะอาณาเขตวิญญาณระดับ S [อาณาเขตส่วนตัว] อยู่
เนื่องจากธาตุของมันคือธาตุโลหะ การใช้อาวุธและชุดเกราะทั้งหมดในอาณาเขตวิญญาณนั้นจะได้รับการเสริมพลัง
อย่างไรก็ตามทักษะอาณาเขตวิญญาณเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ผู้ใช้พลังวิญญาณหลายคนจึงอาจไม่ได้พบกับสัตว์วิญญาณที่มีทักษะประเภทอาณาเขตวิญญาณเลยชั่วชีวิต
หลังจากที่ลั่วอู๋รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณของทักษะวงล้อมแห่งดาบ เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงมัน
สิ่งนี้ดูเหมือนจะคล้ายกับอาณาเขตวิญญาณ
หลินเจิ้งเมื่อได้ยินคำพูดของลั่วอู๋เขาก็เงยหน้าขึ้น ก่อนหน้านี้เขาได้สอนทักษะดาบที่โดดเด่นที่สุดสองท่าของเขาให้กับลั่วอู๋ เขาจึงไม่มีความรู้สึกขัดใจอะไร
“มันก็เกือบจะเหมือนกับอาณาเขตวิญญาณนั่นแหละ” หลินเจิ้งกล่าวอย่างใจเย็น
เขาได้เห็นอาณาเขตวิญญาณของผู้คนมามากมาย ดังนั้นเขาจึงได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างทักษะดาบแบบนี้ขึ้นมา ซึ่งสามารถจัดได้ว่าเป็นอาณาเขตวิญญาณพิเศษของเขาก็ว่าได้
“ มีอะไรงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ถาม
“ ไม่รู้สิ” หลินเจิ้งส่ายหัว “ข้าแค่รู้สึกถึงข้อบกพร่องบางอย่าง”
ลั่วอู๋กลอกตา
เขาเริ่มเข้าใจในตัวของหลินเจิ้งแล้ว แม้ว่าเขาจะดูสบาย ๆ และดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ในความเป็นจริงเขานั้นจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
เรียกได้ว่าเขาเป็นคนจู้จี้จุกจิกจนเกินไปในการฝึกฝน เขาจึงไม่มีเวลาไปเสียกับสิ่งอื่น ๆ
การที่เขาบอกว่าวงล้อมแห่งดาบนั้นใกล้เคียงกับอาณาเขตวิญญาณ นั่นหมายความว่าตามตรรกะของเขาน่าจะหมายถึง “มันเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว”
ลั่วอู๋ได้ปลดปล่อยคลายการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณออก
ตอนนี้เขาได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับทองขั้นสูงแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้การผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ เพื่อสัมผัสถึงทักษะเหล่านั้น
“เจ้าอยู่ฝึกฝนเสี่ยวกงที่นี่ต่อไปซะ” ลั่วอู๋ กล่าว
หลินเจิ้งไม่สนใจ “อะไรก็ได้ ตามที่เจ้าต้องการ”
“หลังจากนี้ ข้าจะต้องออกเดินทาง และจะต้องพา เสี่ยวกงไปด้วย” ลั่วอู๋คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าพอจะเปลี่ยนสถานที่ฝึกได้ไหม”
หลินเจิ้งมองไปรอบ ๆ เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายเดือนจนเริ่มจะเคยชินแล้ว
“ เอาต้นไผ่ทั้งหมดไปด้วยก็ได้” ลั่วอู๋กล่าวอย่างรวดเร็ว
หลินเจิ้งดูเหมือนจะเข้าใจที่ลั่วอู๋สื่อ “เจ้ามีห้วงมิติส่วนตัว?”
“ใช่” ลั่วอู๋พยักหน้า
แม้ลั่วอู๋จะบอกว่าตัวเองมีห้วงมิติส่วนตัว หลินเจิ้งก็ไม่ได้มีท่าทาแปลกใจเลย
“แสดงให้ข้าเห็นสิ” หลินเจิ้ง กล่าว
ด้วยเหตุนี้ลั่วอู๋ จึงนำ หลินเจิ้ง เข้ามามิติไห ไม่ต้องกล่าวถึงสภาพแวดล้อมของมิติไหเลย มันสวยงามชัดเจนราวกับต้นท้อบนภูเขา
แต่หลินเจิ้งกลับมองไปบนท้องฟ้าแล้วขมวดคิ้ว เขาดูไม่มีความสุขเท่าไหร่
นี่มันหายากมาก
หลินเจิ้งแทบไม่เคยแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาเลยสักครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วอู๋ถาม
“ ข้าไม่ชอบมิติ โลกใบเล็กของเจ้า” หลินเจิ้ง กล่าว
“ทำไม!”
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
หลินเจิ้งเข้มงวดกับสภาพแวดล้อมมากงั้นเหรอ?
คิ้วของหลินเจิ้งยังคงไม่ยืดกลับ “มิติโลกใบเล็กนี้มันเป็นอิสระเกินไป มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ของโลกหลัก”
โลกอิสระที่พัฒนาขึ้นโดยพื้นฐานแล้วมักจะต้องขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลกหลัก เมื่อโลกหลักถูกทำลายโลกใบเล็กเองก็จะหายไปด้วยตามธรรมชาติ แต่มิติไหนั้นเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าโลกหลักจะถูกทำลาย แต่มิติไหจะไม่ได้รับผลกระทบเลย
“ ไม่ดีงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ไม่เข้าใจ
หลินเจิ้งส่ายหัว แต่ไม่ได้บอกว่าทำไม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบอยู่ที่นี่
“ถ้างั้นข้าจะพาเจ้าออกไป” ลั่วอู๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาหลินเจิ้งออกจากมิติไห
เขาไม่มีทางอื่นจริง ๆ เพราะลั่วอู๋จะต้องเอาเสี่ยวกงไปด้วยในอนาคต หากหลินเจิ้งไม่เต็มใจที่จะไปด้วยเขาก็ต้องแยกกัน
“ เจ้าช่วยสอนเสี่ยวกงมากเท่าที่จะทำได้ในช่วงเวลาที่เหลือนี้ที” “ เมื่อข้าไปแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล” ลั่วอู๋พูด
หลินเจิ้งพยักหน้า
การสอน เสี่ยวกงไม่ได้ทำให้เขาเสียเวลาเท่าไหร่นัก
ลั่วอู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบหนังสือโบราณสองเล่มออกมา “หนังสือพวกนี้ถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิดาบ หนึ่งเล่มคือหนังสือทักษะ และหนึ่งบทความที่เขียนขึ้นโดยจักรพรรดิดาบ มันอาจมีประโยชน์สำหรับเจ้า”
มันไม่ได้มีแค่ทักษะของจักรพรรดิดาบ แต่ยังรวมถึงศิลปะการต่อสู้โบราณอีกด้วย จริง ๆ พวกมันก็ไม่มีประโยชน์มากนักโดยเฉพาะบทความ แต่มูลค่าที่แท้จริงนั้นคือประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่บันทึกไว้ แต่หลินเจิ้งนั้นไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์อะไรพวกนั้นเลย
อย่างไรก็ตามมันก็ยังสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมันเป็นหนังสือที่จักรพรรดิดาบเขียนด้วยตัวเอง
ความหมายของดาบในบันทึกนั้นคืออะไรที่มีค่าที่สุด
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ดวงตาของหลินเจิ้งก็สว่างขึ้นเล็กน้อย เขาหยิบหนังสือโบราณทั้งสองเล่มขึ้นมา จับจ้องไปที่พวกมันราวกับว่าจิตใจของเขาถูกตรึงอยู่กับมัน
ลั่วอู๋ทำหน้ารำคาญแล้วเดินถอยห่างออกไปอย่างเงียบ ๆ
มันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะเก็บหนังสือสองเล่มนี้ไว้กับตัว ลั่วอู๋จึงยกพวกมันให้กับหลินเจิ้ง
หากเขาเรียนรู้บางสิ่งได้จากมัน แล้วนำมาสอนเสี่ยวกง ลั่วอู๋ก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน
……
……
ลั่วอู๋ ออกจากบ้านพักของหลินเจิ้ง แล้วเดินออกไปจากสำนักโล่พิทักษ์
เขามุ่งไปยังฐานของหน่วยสยบมังกรที่ประจำการอยู่นอกเมือง
“ นายน้อย ข้าไม่อยากมาที่นี่เลยจริงๆ” ไร้หน้ามีสีหน้าดูไม่เต็มใจเท่าไหร่
เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำพร้อมสวมหน้ากากสีเงินครึ่งหนึ่ง บรรยากาศของเขาดูเย็นชา ความแข็งแกร่งทางพลังวิญญาณของเขาหลั่งไหลออกมา ราวกับว่าเขากำลังจะระเบิดพลัง
ไร้หน้ากำลังอยู่ในสภาวะที่กำลังจะเลื่อนขั้นมิติวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงมีบรรยากาศเช่นนั้น
ลั่วอู๋กล่าว “ข้าจะทำยังไงได้เล่า อาจารย์ของเจ้าจู่ ๆ ก็หายไปเลย แล้วข้าก็ไม่เจอใครที่น่าจะให้คำแนะนำกับเจ้าได้อีกแล้วนอกจากนาง เจ้าไม่ต้องการที่จะพัฒนามิติวิญญาณรึไง?”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ก็คือการขอคำแนะนำสำหรับการเลื่อนขั้นมิติวิญญาณของไร้หน้าจากผู้บัญชาการหลิงหลง
แม้ว่านางจะไม่ใช่นักรบ แต่ก่อนหน้านี้นางก็เป็นคนช่วยแก้ไขสร้างร่างกายใหม่ให้กับไร้หน้า นอกจากนี้นางยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลงเซี่ย นางจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ แต่ว่า … ”ไร้หน้ายังคงลังเล
“แต่อะไร!” ลั่วอู๋จ้องมองเขา “เจ้าโตขนาดนี้แล้ว อย่ามาทำเหมือนกับว่ากำลังมาโรงเรียนกับแม่เป็นครั้งแรกสิ มันไม่คอขาดบาดตายหรอก”
ไร้หน้าก้มศีรษะตกลงอย่างช่วยไม่ได้
ลั่วอู๋นั้นไม่ได้รับการต่อต้านใด ๆ เลย เมื่อเขาเดินมาขอเข้าพบผู้บัญชาการหลิงหลง กลับกันแล้ว เขาเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เหล่าทหารด้วยซ้ำ
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ดาบเลือดเดือดในมือของทหารเหล่านี้ล้วนมาจากลั่วอู๋
ลั่วอู๋ลองกวาดตามองผู้คนในค่ายทหารของหน่วยสยบมังกรแบบสุ่ม และพบว่าดาบเลือดเดือดส่วนใหญ่ที่อยู่ในมือของพวกเขานั้น ได้รับการยกระดับไปถึงระดับกลางกันหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีนายพลหลายคนที่มีดาบเลือดเดือดระดับสูงสุดของระดับมณฑลอยู่ในมืออีกด้วย
นี่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ในหน่วยสยบมังกรนั้นมีทหารอยู่ถึง 5000 คน
ต้องมีโจรภูเขาและสัตว์วิญญาณอันดุร้ายกี่ตัวกันที่ถูกฆ่า เพื่อใช้ในการยกระดับดาบเลือดเดือดทั้งหมดนี้
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลั่วอู๋และไร้หน้าได้เดินเข้าไปในค่ายของผู้บัญชาการหลิงหลง
ผู้บัญชาการหลิงหลงนั่งอยู่บนบัลลังก์ตำแหน่งหลัก นางมองลงไปที่ดาบเลือดเดือดบนโต๊ะ แม้ว่านางจะรู้ว่าลั่วอู๋เดินเข้ามา แต่นางก็ไม่ได้ยกเปลือกตาขึ้นมอง ด้วยความรำคาญ