ไหปีศาจ - บทที่ 622 นกโง่ที่กำลังจะวิวัฒนาการ
บทที่ 622 นกโง่ที่กำลังจะวิวัฒนาการ
บทที่ 622
นกโง่ที่กำลังจะวิวัฒนาการ
บ้านที่สร้างขึ้นโดยมิติไหนั้นมีอุปกรณ์ครบครันไม่ว่าจะเป็นห้องเล่นแร่แปรธาตุ คลังอาวุธและห้องตีเหล็กพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยที่สุด
น่าเสียดายที่ห้องตีเหล็กถูกปล่อยว่างเอาไว้รอคอยเจ้านายของมันอย่างโดดเดี่ยว
นอกจากนี้ยังมีแร่วิญญาณอันล้ำค่าจำนวนมากจากนรกมนตรา ซึ่งตอนนี้ในที่สุดมันก็จะได้ถูกนำมาใช้ในทางอื่นนอกจากการเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนสำหรับเงินเสียที
เมื่อมองไปยังห้องอันเพียบพร้อมนี้ หยางเฉาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย นี่คือสถานที่ที่ปรมาจารย์ช่างตีเหล็กทุกคนใฝ่ฝันถึง
หากมีสถานที่เช่นนี้ ใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนจนเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กได้ทั้งนั้น
“ เมื่อเจ้าฟื้นตัวจนหายดีแล้ว ที่นี่จะเป็นห้องทำงานของเจ้า” ลั่วอู๋ กล่าว
หยางเฉา ก้มศีรษะด้วยความเคารพ “ขอบพระคุณขอรับ นายน้อย”
“ ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำคนเดียวทั้งหมดไม่ได้ ข้าจะส่งลูกศิษย์มาให้ช่วยเจ้า” ลั่วอู๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วจึงพูดว่า “เจ้ามีข้อกำหนดอะไรไหม?”
“ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถแบกรับความยากลำบากได้ ก็ไม่มีปัญหา” หยางเฉาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การหลอมต้องใช้ความเชี่ยวชาญและความเคยชิน มันจึงยากที่จะคัดคนที่เหมาะสม จริง ๆ”
ลั่วอู๋พยักหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นแร่แปรธาตุหรือการหลอม เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนมีข้อกำหนดในการทำความเข้าใจ มันจึงยากสำหรับที่จะตัดสินใจคัดคนจากสัญชาตญาณ เนื่องจากเรื่องพวกนี้สามารถเรียนรู้ได้จากการฝึกฝนทำซ้ำ ๆ
ลั่วอู๋ได้เรียกเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดที่มีหน้าที่ดูแลความสะอาดของมิติไหมา
เนื่องจากตอนนี้มีคนเพียงพอแล้วในห้องเล่นแร่แปรธาตุ และพวกเขาจึงไม่มีโอกาสเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุ พวกเขาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการส่งให้เรียนรู้เครื่องมือการหลอมต่าง ๆ นอกจากนี้หากพวกเขาได้รับการฝึกฝน พวกเขาอาจจะพัฒนามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กก็เป็นได้
เมื่อลั่วอู๋อธิบายว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดก็รีบเข้ามาสมัคร
ตอนนี้พวกเขาต่างก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาเป็นแค่คนจัดการเรื่องจิปาถะ แม้ว่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีแต่ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ
ลั่วอู๋ครุ่นคิดแล้วจึงส่งผู้สมัครทั้งหมดให้หยางเฉาเลือก
หลังจากทั้งหมดนี้ในที่สุดลั่วอู๋ก็คลายความกังวลลงได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างกองทหารอาวุธมนตรา แต่ตอนนี้เขาสามารถที่จะผลิตอาวุธและชุดเกราะ มนตราดี ๆ ได้แล้ว เพื่อสวมใส่ให้กับกองทหารผี
หลังจากบอก ไป่ฉี เกี่ยวกับความคิดของเขาแล้ว ไป่ฉีเห็นด้วยและสนับสนุน นั่นก็เพราะแนวคิดนี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทหารผีได้เป็นอย่างมาก
ต่อจากนั้นลั่วอู๋ก็ได้มอบน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือให้เหวินเสี่ยว
หลังจากนี้เมื่อเขากลับไปที่สำนักเฉียนหลง เขาจะได้ขอให้ปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญในแก่นแท้ทักษะแห่งชีวิต สร้างร่างใหม่ให้กับเหวินเสี่ยว เพื่อที่จะแยกจิตใจทั้งสองออกจากกัน
แต่แล้วลั่วอู๋ก็นึกถึงคำถามหนึ่ง
“ แล้วจะทำยังไงเกี่ยวกับสัตว์วิญญาณ ตอนที่พวกเจ้าแยกร่างกันล่ะ?” ลั่วอู๋ ถาม
แม้แต่เหวินเสี่ยวก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่ได้คิดถึงปัญหานี้เลยสักนิด เขากล่าวอย่างครุ่นคิด “ตราพันธสัญญานั้นฝังอยู่ในแก่นวิญญาณ แม้ว่าพวกเราจะแยกแก่นวิญญาณกัน แต่ตรา พันธสัญญาก็ไม่น่าจะหายไป บางทีทั้งเขาและข้าอาจจะสามารถควบคุมสัตว์วิญญาณที่พวกเราครอบครองได้ทั้งคู่”
“แล้วถ้าพวกเจ้าสองคนทะเลาะกัน สัตว์วิญญาณ ของพวกเจ้าจะช่วยใคร” ลั่วอู๋ ถาม
“ ……”
เหวินเสี่ยวสับสน
ใช่แล้วมันมีปัญหานี้อยู่?
แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดถึงปัญหามาก่อน ที่จริงเรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อนด้วยซ้ำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับอนาคต
แม้ว่าลั่วอู๋จะไม่ได้เข้าสู่การทดสอบหินกลั่นหัวใจ แต่เขาก็ได้รับสิ่งดี ๆ มามากมายเช่นกัน
อย่างแรกคือความเข้าใจแก่นแท้ทักษะ
แก่นแท้ทักษะมนตรา
ทักษะระดับ SS [มิติเวทมนตร์] ที่ลั่วอู๋ไม่ได้ใช้เท่าไหร่ แต่เขาก็ยังพยายามปรับปรุงความเชี่ยวชาญอยู่เรื่อย ๆ จนถึง 30% แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หลังจากสร้างความเชื่อมโยงระหว่างหินกลั่นหัวใจและไหปีศาจ ความเข้าใจของลั่วอู๋เกี่ยวกับแก่นแท้ทักษะมนตราก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในช่วงเวลาสั้น ๆ หนึ่งถึงสองเดือนนี้ ความเข้าใจของลั่วอู๋เกี่ยวกับแก่นแท้ทักษะมนตราได้เลื่อนระดับไปสู่ระดับที่สองของ “ความเข้าใจเบื้องต้น”
ระดับความเชี่ยวชาญของทักษะจึงเพิ่มขึ้นเป็น 40% ทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
ที่สำคัญก็คือทักษะ “มิติเวทมนตร์” เป็นทักษะการโจมตีกลุ่มขนาดใหญ่ ตราบใดที่ความแข็งแกร่งเพียงพอ เขาก็จะสามารถขยายลงของมันครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างไม่สิ้นสุด
หลังจากตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองได้แล้ว ลั่วอู๋ ก็เตรียมตัวที่จะออกจากมิติไหและเดินทางไปที่ป่าแห่งอสูรกันต่อ พร้อมกับพรรคพวก แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงที่ไม่เป็นระเบียบดังขึ้นบนท้องฟ้า
ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นว่ามีกลุ่มนกวิญญาณบินไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ พวกมันต่างส่งเสียงร้องและกระสับกระส่ายบินไปมา
นกวิญญาณเหล่านี้บินปกคลุมท้องฟ้าเหมือนฝูงอีกา
ฉูจงฉวน ไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ ไม่รู้สิ” ลั่วอู๋ส่ายหัว
มีนกวิญญาณจำนวนมากในมิติไห เนื่องจากลั่วอู๋ได้จับนกวิญญาณมาเป็นจำนวนมากพิเศษ เพื่อให้พวกมันเป็นพี่น้องตัวน้อยและกองทัพอากาศเชื่อฟังคำสั่งโดยตรงของเจ้านกโง่
ภายใต้การควบคุมของนกโง่ พวกมันทั้งหมดต่างเชื่อฟังนกโง่และอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกมันไม่เคยก่อปัญหาอะไร เขาจึงไม่รู้ว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านกโง่?” ลั่วอู๋ส่งเสียงคำราม
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
ลั่วอู๋ขมวดคิ้ว ปกตินกโง่มักจะได้ยินเสียงเรียกอย่างรวดเร็ว
มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับนกโง่?
ขณะที่ลั่วอู๋กำลังเตรียมบินออกไปเพื่อค้นหามัน เขาก็ได้ยินเสียงร้องดังในท้องฟ้า ราวกับเสียงของนกในตำนาน
ทันใดนั้นเขาก็มองขึ้นไปและเห็นฝูงนกกระจัดกระจายออก แสงสาดส่องขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งเกิดจากการปลดปล่อยพลังวิญญาณอันทรงพลัง เขาสามารถมองเห็นมันเป็นรูปร่างของนกได้
ดูเหมือนว่าใจกลางแสงนั้นมีศักดิ์ศรี ความเย่อหยิ่งและความเข้มแข็ง ซึ่งทำให้เหล่านกวิญญาณต่าง รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ แล้วต้องทำความเคารพอย่างอธิบายไม่ได้
“ เจ้านกโง่!” ทุก ๆ คนร้องอุทาน
เพราะลั่วอู๋มักเรียกมันว่านกโง่ และไม่ได้ตั้งชื่อให้กับมันทุกคนจึงเรียกมันแบบนั้น
สถานการณ์แบบนี้เป็นอะไรที่พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจ
การพัฒนามิติวิญญาณที่เรียบง่ายไม่สามารถทำให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ได้ นกโง่ต้องกำลังอยู่ในขั้นตอนวิวัฒนาการเป็นแน่
ลั่วอู๋มองไปที่แสงนั้นพลางกระซิบกับตัวเอง “ในที่สุดเจ้าก็จะวิวัฒนาการแล้วสินะ”
เขาเห็นได้ว่ากลุ่มแสงนั้นสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ และขนาดร่างกายของมันก็ขยายขึ้นมาด้วย ท้องฟ้าทั้งผืนดูเหมือนจะกลายเป็นแสงสว่างเข้าปกคลุมทุกสิ่ง
มันเป็นเสียงร้องอันยาวนาน ชัดเจนและสูงส่ง
แสงกระจัดกระจายออกไป
ดั่งฝนตกปรอยๆ ล่องลอยไปในอากาศ
กลิ่นอายของมิติไหพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงก่อตัวเป็นกระแสออร่าขนาดใหญ่ หลั่งไหลเข้าสู่แสงสว่างนั้นอย่างรวดเร็ว
ทุกคนรู้สึกว่าได้ถึงแรงกดดันที่มากกว่าปกติ
“ทั้ง ๆ ที่มันเพิ่งทะลุมิติวิญญาณทองขั้นสูง แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกถึงแรงกดดันนกโง่ตัวนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ” ฉูจงฉวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลั่วอู๋หัวเราะ “ยังไงซะมันก็เป็นสัตว์วิญญาณที่มีวิวัฒนาการมาตลอด มันถูกแยกออกจากจุดกำเนิดมานานแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นไปอย่างไรในอนาคต”
หลินยูหลัน ดูครุ่นคิด สัตว์วิญญาณของนางคือนกยูงฮัวเที่ยน และบรรพบุรุษของมันคือนางพญานกยูงในตำนาน
ดังนั้นนางจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับนกวิญญาณมาก
“มันจะวิวัฒนาการเป็นนกวิญญาณในตำนานได้ รึเปล่า ?” กลุ่มแสงนั้นพราวเกินไป หลินยูหลันหรี่ตาและกระซิบ
มีนกในตำนานอยู่หลายชนิด
นางพญานกยูง นกอมตะเจ็ดสี อีกาทองสามขา ฯลฯ ลูกหลานของนกศักดิ์สิทธิ์ หลายตัว หากโชคดีพอ ก็อาจจะวิวัฒนาการต่อไปได้ถึงระดับบรรพบุรุษ
ลั่วอู๋ส่ายหัว “มันเป็นไปไม่ได้น่า มันไม่มีเลือดนกของนกระดับพระเจ้า มันเป็นเพียงแร้งทรายกลายพันธุ์เท่านั้น”
หลินยูหลันมองไปที่ลั่วอู๋ด้วยความประหลาดใจ
แร้งทราย? มันน่าเหลือเชื่อที่ สัตว์วิญญาณ ระดับทองแดงจะวิวัฒนาการมาได้ถึงระดับนี้
“บางที … ” หลินยูหลันครุ่นคิด “ด้วยเส้นทางการวิวัฒนาการตลอดมานี้ มันอาจจะกลายเป็นนกเทพเจ้าชนิดใหม่ก็ได้”
ลั่วอู๋หัวเราะ “นกโง่ตัวนี้ไม่โชคดีอย่างนั้นหรอก”
มันยากเกินไปที่จะเกิดการวิวัฒนาการจนกลายเป็นสัตว์วิญญาณระดับจักรพรรดิอีกหนึ่งตัวบนโลก
หากลั่วอู๋จำไม่ผิด ดูเหมือนตลอดเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะมีเพียงลิงศักดิ์สิทธิ์และแมวปีศาจจิวหมิงเท่านั้นที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ พวกมันไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ แต่พัฒนาไปถึงจุดสูงสุดด้วยความพยายามของพวกมันเอง